ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ในอารมณ์ “บิ๊กตู่”ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เผชิญปัญหาทุกทิศทาง ทั้งงานปฏิรูปล้มเหลวถูกชายใส่เสื้อกั๊กด่าฟรี ในทำนองบริหารประเทศแบบเตี้ยอุ้มค่อม หากฝืนกอดคอกับพี่ชายค่ายบูรพาพยัคฆ์กุมบังเหียนประเทศด้วยพฤติกรรมแบบเดิมๆ ต่อไป มิช้านานรัฐนาวาคงเกยหาดแน่นิ่ง
ปมร้อนการหาตัวผู้นำเครือข่ายธรรมกายยังเงียบ ถูกด่าว่าใช้งบบานตะไท แต่ยังไม่ได้ตัว“พระธัมมชโย”เรื่อยไปจนถึงเรื่องปากท้อง ที่สงสัยทีมเศรษฐกิจจะหมดมุก ต้องหันไปพึ่งพาบรรดาสำนักโพล ให้ออกมานั่งเทียนเขียนเรื่องงมงายหลอกประชาชนไปวันๆ
แต่ละเรื่องล้วนพัลวัน มะรุมมะตุ้ม สุ่มเสี่ยงทำให้รัฐบาลคสช.พลาดท่า กระทบคะแนนนิยมลดจนตกม้าตาย
แต่ไฉนจู่ๆ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จึงสวมบททนายหน้าหอตามถนัด จัดการตีปี๊บการทะลุกลางอุณหภูมิร้อน แต่งตั้ง“คณะกรรมการพัฒนาพรรคการเมืองเพื่อการปฏิรูปประเทศตามรัฐธรรมนูญ”ลงนามโดย นายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต.
ชูโรงโดย “เอนก เหล่าธรรมทัศน์”เป็นประธาน มีคนดังจากพรรคการเมืองร่วมแจมอีกเป็นกุรุด
ที่สุดจะเซอร์ไพรส์ คือการที่แกนนำฝ่ายนักเลือกตั้งตัวเอ้อย่าง “อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ชำนิ ศักดิเศรษฐ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายนิกร จำนง ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ฯลฯ” ถึงยอมเข้าร่วมนั่งเป็นพระอันดับครบครัน
แสดงให้เห็นว่า การแต่งตั้งทีมพัฒนาการเมืองชุดนี้ ไม่ได้ตั้งมาแค่โก้ๆ
น่าจะมีการดิวประสานงาน ชนิดปูเสื่อนั่งซดน้ำชาพูดคุยกันไปกอดคอกันไปมาก่อนหน้านี้แล้วแน่นอน !!!
แม้ ตัวแทนกกต.จะออกมาบอกปัดว่าไม่มีใบสั่งจากรัฐบาลให้ตั้งทีมชุดดังกล่าว แต่การที่นายกรัฐมนตรี โทรโข่งรัฐบาลอย่าง“เสธ.ไก่อู”พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด และ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ทำตัวผิดวิสัย ไม่ให้สัมภาษณ์ปฏิเสธ หรือตอบรับ เท่ากับส่งสัญญาณเปิดทางเป็นนัยยะครั้งสำคัญ
คงไม่ใช่ตั้งทีมขึ้นมาเพื่อปฏิรูปพรรคการเมืองตามที่ กกต.อ้างอย่างเดียวแน่
แต่เป็นสัญญาณเกี๊ยเซียะ ระหว่าง นักเลือกตั้งที่กระสันอยากลงสนาม กับรัฐบาลทหาร ที่อยู่ในช่วงปูทางลงหลังเสือโดยที่ไม่ต้องถูกเสือแว้งกัด
มีเป้าหมายอันใหญ่หลวง กำหนดทิศทางชี้ชะตาสนามการเมืองได้ วางไว้อยู่เป็นเดิมพัน
โมเดลการตั้งทีมชุด “เอนก”เป็นจิ๊กซอว์ที่วางแล้วทุกฝ่ายสามารถไปต่อได้อีกหลายสเต็ป แม้ว่าส่วนใหญ่จะเข้าง่ามนิ้ว คสช. และเครือข่ายในการกดปุ่มไปสู่การเลือกตั้งอย่างราบรื่นก็ตามที แต่มีบางข้อที่ทำให้นักการเมืองมั่นใจได้ว่า ต่อไปทหารจะตุกติกยากขึ้น
ทิศทางการต่างตอบแทนผลประโยชน์ประมาณว่า จากเดิมที่ กกต.ไม่เคยมีตัวตน เป็น 5 เสือในองค์กรที่โลกลืม ไร้ประโยชน์กับบ้านเมืองที่ยังไม่มีการจัดการเลือกตั้ง จะกลับมายืนหยัดมีตัวตนอีกครั้ง
แถมที่เคยถูกโจมตีเรื่องบินไปเที่ยวนอก ใช้งบประมาณหลวงกินหรูอยู่ฟรีจนเอียงกระเท่เร่ สุ่มเสี่ยงถูกสลัดทิ้งกลางอากาศ จะค่อยๆซา คลี่คลายสถานการณ์ และ กกต.ชุดนี้ ฟอกสถานะไปสู่ส่วนหนึ่งของกลไกการขับเคลื่อนบ้านเมืองในระนาบเดียวกับคสช.
คสช.จะสลัดภาพขังลืมนักการเมืองออกทันที จากนี้จะเริ่มอ้างกับคนไทยและชาวโลกได้ถนัดขึ้นว่า กำลังเปิดเวทีให้พรรคการเมืองได้ผ่อนคลายเชือกที่มัดปากออก ก่อนปล่อยม้าลงสนามตามกติกา โดยที่คสช.ไม่ต้องสั่งคลายกฎเหล็กห้ามพรรคการเมืองประชุมอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ
การตั้งทีมชุดนี้ มีผลกับการเปิดเวทีเวทีปรองดองครั้งต่อๆไป จากท่าทีการเปิดช่องระดมความเห็นถึงสาเหตุปัญหาความขัดแย้ง หาทางออกสมานแผลรอยร้าวของบ้านเมืองครั้งแรก ยังถูกพรรคการเมือง โดยเฉพาะตัวแสบ อย่างพรรคเพื่อไทยทั้งหลายแหล่ครหาว่า รัฐบาลยังใจแคบ ขู่เข็ญแกมบังคับ
และนับจากนี้ ทีมชุดดังกล่าว จะมีผลต่อการเคลียร์ทางชงโมเดลทางออกทั้ง “การอภัยโทษ พักโทษถ้าเข้าสู่กระบวนการยอมรับผิด หรือแม้แต่โมเดลร้อนๆ อย่างนิรโทษสุดซอยเปลี่ยว”ตามที่บางฝ่ายเคยเสนอแน่ๆ
อย่างไรก็ตาม ยังมีนัยยะสอดประสานส่งผลพอดิบพอดีกับการแก้ไขช็อตยื้อที่กำลังบีบกันหน้าเขียว เกี่ยวกับร่างกฎหมายลูกประกอบกติกาการเลือกตั้งครั้งต่อไป ระหว่างกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กับ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่ขบเหลี่ยมในท้องเรื่องตาม มาตรา 77 วรรค 2 ของร่างรัฐธรรมนูญ ที่กำลังจะประกาศใช้อย่างเป็นทางการ
กำหนดว่า ต่อจากนี้การร่างกฎหมายใหม่จะต้องซาวเสียงความคิดเห็นจากประชาชน ศึกษาผลกระทบ ฟังผู้มีส่วนได้เสียก่อนนำความเห็นมาประกอบการตัดสินใจตีตราประทับผ่านกติกาบ้านเมือง
หลายฝ่ายเกรงว่า มาตราข้างต้นอาจเป็นเหตุให้การออกกฎหมายลูก 4 ฉบับ ที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งล่าช้า จนทำให้การประกาศวันคิกออฟ ต้องกระเถิบยาวออกไปจากโรดแมปที่ผู้มีอำนาจประมาณการณ์ไว้ว่า อีก 12 บวก 1 เดือน หลังร่างรัฐธรรมนูญประกาศใช้อย่างเป็นทางการ จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น
ถ้าจะตีความตามเหลี่ยมกฎหมาย นักการเมืองมีความชอบธรรมตามกติกาใหม่ที่ กรธ.และ สนช. จะต้องเงี่ยหูฟังไปเต็มๆ
จินตนาการล่วงหน้าได้เลยว่า กฎหมายลูก 4 ฉบับ จะไม่คลอดตรงตามกำหนดนัดของหมอตำแยแน่นอน
มีเสียงกระซิบแผ่วๆว่า ขณะนี้ สนช.กำลังแก้ลำ โดยหาทางให้สถาบันพระปกเกล้าเป็นเจ้าภาพเปิดเวทีรับฟังความเห็นจากนักการเมือง เรื่องกฎหมายลูกเลือกตั้ง เพื่อลดแรงเสียดทาน
หรือถ้าจวนตัวจริงๆ จะใช้โมเดลที่ 2 คือกำลังชั่งใจว่า ควรแบ่งปันสัดส่วนให้นักการเมืองเข้ามาร่วมร่างกฎหมายลูกในกมธ.อย่างเป็นทางการ ใน สนช.หมดเรื่องไปเลยดีหรือไม่
ซึ่งโมเดลหลัง ไม่มีใครการันตีว่า ยี่ห้อนักการเมืองจะไม่ป่วนจนเสียกระบวนทัพ นอกจากปากกระบอกปืนแล้ว ไม่มีใครชี้นิ้วสั่งการนักการเมืองได้ง่ายๆ แต่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องยังพอจะเบาใจ เพราะธรรมชาตินักการเมืองอยากเลือกตั้งอยู่แล้ว
นอกจากมาตรา 77 วรรค 2 จะทำให้วันเลือกตั้งให้ยืดออกไปได้แล้ว ยังกระทบชิ่ง มีผลกับความพยายามปูทางขุดลอกแม่น้ำสายที่ 6 ของรัฐบาลทหาร ที่จะทำหน้าที่คู่ขนานไปกับรัฐบาลในอนาคตอีกด้วย
แม่น้ำสายนี้จะเกิดหลังจากรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ประกาศใช้ จะมีการตรา พ.ร.บ.2 ฉบับ คือ 1. พ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติ ต้องทำให้เสร็จภายใน 1 ปี และที่น่ากลัวสุดขีด มีอำนาจคับฟ้ายิ่งกว่า ส.ว.ลากตั้ง 250 คน คือ ข้อ 2 . การร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยแผนและขั้นตอนในการดำเนินการปฏิรูปประเทศ ต้องทำให้เสร็จภายใน 120 วัน
ที่น่ากลัวเพราะประมาณการณ์กันว่า องค์กรที่เกิดขึ้นใหม่ตามข้อ 2 จะมีอำนาจตรวจสอบฝ่ายนิติบัญญัติ และตรวจสอบนโยบายของฝ่ายบริหารได้ ผ่านการชงเรื่องไปที่องค์กรอิสระให้ตรวจสอบได้ตามรัฐธรรมนูญ
แน่นอนว่า นักการเมืองจมูกไวไม่โง่ รู้ทันแผนนายพรานขี้ระแวงอยู่แล้ว แต่ทำไมถึงเข้าร่วมดีลสำคัญครั้งนี้ครบทุกพรรค
ถ้าไม่ใช่กำลังตบตาประชาชน ปากก็ตะโกนปาวๆ ให้ คสช.รีบเลือกตั้งโดยพลัน แต่ในใจนั้นขาสั่นกลัวตกขบวน ตอนนี้เอาไงก็เอากัน ไม่อยากถูกโดดเดี่ยวลอยแพเป็นฝ่ายค้านอดอยากปากแห้ง หัวเดียวกระเทียมลีบในรัฐสภาอนาคต จึงเรียงเข้ามากันหน้าสลอนอย่างที่เห็น !!!