xs
xsm
sm
md
lg

ทรัมป์พลิกจากตั้งรับ มาบิดเบือนปั้นน้ำเป็นตัวโจมตีโอบามา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร

น่าจะเป็นยุทธวิธีที่ใช้ได้ผลในการโต้วาที และโดนัลด์ ทรัมป์นำมาใช้ โดยการบิดเบือนกลับมากล่าวหาโจมตีโอบามาว่าได้สั่งการให้แอบดักฟังโทรศัพท์ของเขาที่อาคารทรัมป์ นิวยอร์กในช่วงหาเสียง ทั้งๆ ที่ไม่มีการอ้างอิงหลักฐานใดๆ อย่างที่หนังสือพิมพ์แนวหน้าและนักวิเคราะห์การเมืองแบบ Carl Bernstein (ที่เป็น 1 ใน 2 คน ร่วมกับ Bob Woodward ที่เปิดโปงการกระทำของอดีตประธานาธิบดีนิกสัน และพรรครีพับลิกันว่าแอบดักฟังการวางแผนหาเสียงของพรรคเดโมแครต) เรียกโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าเป็น “A Serial Liar” คือ นักโกหกต่อเนื่อง-ปั้นน้ำเป็นตัว

3 อาทิตย์แรกที่เขาเข้ามาบริหารประเทศ รายชื่อ ครม.ของเขาประสบปัญหาในการผ่านการรับรองจากคณะกรรมาธิการวุฒิสภา เพราะเขาเสนอชื่อแต่มหาเศรษฐีที่ออกมาสนับสนุนเขาตอนหาเสียง ในขณะที่ ส.ว.และผู้อาวุโสในพรรครีพับลิกันต่างเบือนหน้าหนีเขาในตอนนั้น

ทำให้เขาต้องบริหารแบบหัวเดียวกระเทียมลีบ คือไม่มีรัฐมนตรีมาช่วยบริหาร นอกจาก 2 กระทรวงที่ผ่านมา คือกลาโหมและความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ

ขณะนี้เวลาผ่านไปถึงเกือบ 50 วัน คือครึ่งหนึ่งของช่วงสำคัญ 100 วันแรก ยังไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันที่จะช่วยคะแนนนิยมของเขาเลย นอกจากท่าทีสงบเสงี่ยมตอนแถลงนโยบายครั้งแรกในสองสภาร่วม ที่ทำให้คะแนนนิยมพุ่งจาก 40% เป็น 78%

ครม.ก็ยังคลอดออกมาไม่ครบ และรัฐมนตรีหลายคนเพิ่งผ่านวุฒิสภาและสาบานตนยังไม่ได้เริ่มงานเลย งานสำคัญๆ เช่น แผนการลดภาษีคนรวยและคนชั้นกลางก็ยังไม่เป็นรูปธรรม แม้ตลาดวอลล์สตรีทจะวิ่งทะยานรับรู้ล่วงหน้าเลย 21,000 จุดไปแล้ว รวมทั้งแผนการทุ่มงบสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อไปก่อสร้างซ่อมแซมถนน, ทางรถไฟ (สายเก่าและสายใหม่แบบ Bullet Train) สะพาน, เขื่อน, ท่าเรือ, ท่าอากาศยาน, ระบบไอทีอีกมากมายยังไม่คลอดออกมา หรืออาจคลอดยาก แม้ฝ่ายเดโมแครตจะเห็นด้วย แต่นโยบายที่รัฐจะทุ่มงบมหาศาลนี้ น่าจะเป็นนโยบายฝ่ายเดโมแครตมากกว่าของรีพับลิกัน ผู้อาวุโสทางรีพับลิกันต่างพากันส่ายหัว (ต่างกับส.ส./ส.ว.ของไทยที่มักยินดีถ้ารัฐจะมอบงบก้อนโตกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นอย่างฉับพลัน เพราะส.ส./ส.ว.ไทยมักได้ประโยชน์มากจากงบก้อนโตนี้)

สำหรับผลงานที่สร้างความตะลึงและการประท้วงทั่วสหรัฐฯ และขยายเป็นวงกว้างทั่วยุโรปและออสเตรเลีย คือคำสั่งประธานาธิบดีห้ามคนเข้าเมืองจาก 7 ประเทศอิสลาม โดยใช้ศาสนาเป็นตัวตัดสิน นโยบายนี้ทำเอาต้องปะทะกับอำนาจตุลาการที่ให้ระงับคำสั่งของประธานาธิบดีชุดนี้ชั่วคราว ทำเอาทรัมป์เสียหน้ามากๆ

แต่คนอย่างโดนัลด์ ทรัมป์นั้น แพ้ไม่เป็น ด้วยเป็นลูกเศรษฐีเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์แห่ง Queens ขณะนี้เขาได้ปรับปรุงคำสั่งเดิมแก้ไขให้นำออกมาใช้ให้ได้เพื่อแก้หน้า โดยจะไม่เอาศาสนาอิสลามมาเป็นข้อกำหนดห้ามเข้าเมือง จะประกาศใช้ในอาทิตย์นี้แหละ นับเป็นผลงานชิ้นแรกที่เป็นชิ้นเป็นอันตามที่ได้หาเสียงไว้ (แต่ก็ต้องทบทวนสาระสำคัญ ซึ่งผู้สนับสนุนของเขาจะเชื่อแบบหัวปักหัวปำว่าเขาทำถูก และเขาไม่เสียหน้า เพียงแต่ถูกขัดขวางจากผู้พิพากษาต่างหาก)

เรื่อง ACA หรือ Affordabal Care Act อันเป็นกฎหมายช่วยคนจนด้านประกันการรักษาพยาบาลถ้วนหน้า ซึ่งเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของโอบามา และทรัมป์ได้หาเสียงไว้จะเลิกกฎหมายนี้ เพราะไปสร้างปัญหาให้ผู้ประกอบการที่จะต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายให้กับลูกจ้างที่ประกันสุขภาพ รวมทั้งค่าใช้จ่ายก้อนโตที่รัฐต้องแบกไว้เพื่อจ่ายสมทบให้แก่ผู้ตกงานหรือรายได้น้อย เพื่อได้โอกาสในการประกันรักษาพยาบาล มีจำนวนถึงเกือบ 30 ล้านคน

และทางฝ่ายพรรครีพับลิกันโดยเฉพาะกลุ่ม Tea Party ต้องการยกเลิกกฎหมายนี้…..จนแล้วจนรอดก็ยังเลิกไม่ได้ เพราะจะเกิดผลตามมาแบบพัวพันอีรุงตุงนังกับคนเกือบ 30 ล้าน (เท่ากับ 10% ของประชากรทั้งหมด) ที่ทำประกันและกำลังรอการผ่าตัด, รอรับการรักษาพยาบาล ซึ่งถ้าทรัมป์และสภาลงมติเลิกกฎหมายนี้ ก็ต้องมีอะไรมาแทน ตอนนี้ยังไม่มีกฎหมายที่จะมาแทน

แต่เรื่องใหญ่ที่สุดที่ทรัมป์กำลังตั้งรับ คือการแอบติดต่อระหว่างทีมหาเสียงของทรัมป์และทางการรัสเซีย ซึ่งอาจโยงถึงการแทรกแซงทางการเมืองของรัสเซียที่มีต่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ และทีมหาเสียงของทรัมป์ (ซึ่งอาจลามไปถึงตัวทรัมป์เอง) ที่อาจตกเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับการกระทำแบบจารกรรมและทรยศต่อชาติทีเดียว

ทรัมป์ได้เสียขุนพลไปแล้ว 1 คน จากเรื่องนี้คือนายพลไมเคิล ฟลินน์ ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งที่ปรึกษาด้านความมั่นคงประจำทำเนียบขาว

ขุนพลอีกคนที่ร่วมหัวจมท้ายมากับทรัมป์ตั้งแต่เมื่อออกหาเสียง คืออดีต ส.ว.รัฐอลาบามา Jeff Sessions ที่วันนี้ผ่านการกลั่นกรองจากวุฒิสภา และมานั่งในตำแหน่งสำคัญยิ่ง คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อคอยปกป้องประธานาธิบดีด้านข้อกล่าวหาต่างๆ

เขาจำใจต้องขอถอนตัวจากการดูแลงานไต่สวนของกระทรวงยุติธรรม ที่กำลังสอบสวนเรื่องทีมงานทรัมป์ได้ติดต่อถึงทางการรัสเซีย ผ่านทางทูตรัสเซียประจำดี.ซี.

เพราะถ้าเขาไม่ถอนตัว ก็จะกลายเป็นตัวรัฐมนตรีสอบสวนตัวเขาเอง ซึ่งเป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน

Jeff Sessions ต้องเสียหน้าและนำความน่าเชื่อถือของประธานาธิบดีทรัมป์ตกต่ำลงทันที เพราะเขาอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายกำหนดยุทธศาสตร์การหาเสียงของทรัมป์ แล้วแอบไปพบกับทูตรัสเซียถึง 2 ครั้งช่วงหาเสียง ทุกคนอยากรู้ว่าเขาไปพูดอะไรกับทูตรัสเซีย สาระจะเป็นเรื่องการยกเลิกคว่ำบาตรรัสเซีย เมื่อทรัมป์เข้ามาเป็นประธานาธิบดีใช่หรือไม่? เขาไปเสนอให้รัสเซียช่วยเจาะข้อมูลแครตหรือไม่? เขาไปเสนอให้รัสเซียช่วยทรัมป์ในการชนะเลือกตั้งใช่หรือไม่? ล้วนเป็นคำถามหนักๆ ที่ขณะนี้กำลังรอการสอบสวนที่รัฐสภาอเมริกัน

Jeff Sessions น่าจะโดนข้อหา “ให้การเท็จด้วย” เพราะขณะที่เขาไปให้การที่วุฒิสภา ขณะผ่านการตรวจสอบกลั่นกรองเพื่อเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เขาได้พูดโกหกว่าเขาไม่เคยได้พบปะกับทูตรัสเซียช่วงหาเสียงของทรัมป์ จนหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ ออกมาพร้อมหลักฐานชัดว่า เขาพบกับทูตรัสเซียถึง 2 ครั้ง

คนแพ้ไม่เป็นแบบทรัมป์ กำลังโกรธมากที่รัฐมนตรียุติธรรมไปประกาศถอนตัวจากการดูแลคดีสอบสวนเรื่องทีมทรัมป์ติดต่อทูตรัสเซีย ทรัมป์บอกว่าการถอนตัวคือการยอมรับผิด

แต่ทรัมป์ก็ไม่ยอมแพ้อยู่ดี ขณะนี้เขาออกมาทวิตตอนรุ่งสางวันเสาร์ที่ผ่านมา ว่าโอบามาแอบดักฟังโทรศัพท์ของเขา ซึ่งเป็นเรื่องที่เลวทรามมาก เขาทวิต 4 รอบ กล่าวหาโอบามาอย่างรุนแรง เป็นการเบี่ยงเบนประเด็นและปั้นน้ำเป็นตัวเสร็จสรรพ ทำให้การตั้งรับทีมงานของเขากลายเป็นเริ่มโจมตีด้วยเรื่องใหม่ที่เล่าร้อนกว่าเรื่องเก่าที่เขากำลังพยายามกลบเกลื่อน

โฆษกของโอบามาออกปฏิเสธทันที และเรื่องการสั่งดักฟังการติดต่อของใครก็ตาม จะต้องผ่านการอนุมัติของผู้พิพากษา แม้จะเป็นกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่ของสหรัฐฯ ก็ตาม ซึ่งคงต้องไปตามกันดูว่าทรัมป์จะหาหลักฐานนี้ได้ไหม

ผอ. FBI ก็ออกมาปฏิเสธทันทีว่าโอบามาไม่ได้สั่ง และ FBI ก็ไม่ได้ดักฟังโทรศัพท์ที่ทรัมป์ ทาวเวอร์

นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า ทรัมป์คำนวณแล้วว่าโอบามาคงไม่กล้าฟ้องทรัมป์ว่าโกหกหรือหมิ่นประมาท เพราะโอบามาเพิ่งออกจากตำแหน่ง และคงเป็นเรื่องไม่เหมาะสมที่จะฟ้องประธานาธิบดีคนใหม่ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่ง เพราะคนที่เพิ่งจากไป ต้องให้โอกาสแก่คนใหม่ที่มารับหน้าที่แทน

เป็นการ Pivot หรือ Spin ของทรัมป์ ที่พลิกจากสถานะตั้งรับกับเรื่องร้ายแรงมาเป็นฝ่ายรุก แม้จะเป็นการปั้นน้ำเป็นตัวก็ทำได้

ช่างไม่ต่างกับนักการเมืองประเภทรักยมที่ต้องเก็บผักบุ้งริมรั้วรามฯ มาต้มกินกับบะหมี่สำเร็จรูปในวันนั้น และได้ร่ำรวยจากการมีอาชีพเป็นนักปั้นน้ำเป็นตัว บิดเบือนประเด็นตลอดเวลา เปลี่ยนจากรับมาเป็นรุกครั้งแล้วครั้งเล่า และสร้างความวุ่นวายให้กับประเทศไทยจนต้องติดหล่มอยู่ในขณะนี้.
กำลังโหลดความคิดเห็น