xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

โลกรุมประณาม “ทรัมป์” แบนวีซ่ามุสลิม เซียนพนันฟันธง “อยู่ไม่ครบปี”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ยังคงตกเป็นข่าวคึกโครมแทบไม่เว้นแต่ละวันสำหรับผู้นำสุดห้าวแห่งสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งล่าสุดประกาศคำสั่งคว่ำบาตรพลเมืองจาก 7 ประเทศมุสลิม และงดรับผู้ลี้ภัยเป็นการชั่วคราว เรียกเสียงประณามอย่างอื้ออึงจากประชาชนและองค์กรสิทธิทั้งในและนอกสหรัฐฯ

คำสั่งบริหารที่ ทรัมป์ ประกาศเมื่อวันที่ 27 ม.ค. กำหนดให้ผู้ลี้ภัยชาวซีเรียถูกห้ามเข้าสหรัฐฯ โดยไม่มีกำหนด ขณะที่พลเมืองอิหร่าน อิรัก ลิเบีย โซมาเลีย ซูดาน ซีเรีย และเยเมน ก็ถูกห้ามเข้าอเมริกาเป็นเวลา 90 วัน

มาตรการนี้มีข้อยกเว้นสำหรับ “ผู้นับถือศาสนากลุ่มน้อย” ใน 7 ประเทศดังกล่าว ซึ่งหมายความว่าอาจจะมีการผ่อนผันเป็นกรณีพิเศษให้แก่ผู้ลี้ภัยชาวคริสต์

จำนวนผู้ลี้ภัยทั้งหมดที่สหรัฐฯ จะรับเข้าประเทศในปีงบประมาณ 2017 จะถูกจำกัดไว้ไม่เกิน 50,000 คน ลดลงจากเดิมที่รับถึง 110,000 คน

สหรัฐฯ ยังระงับโครงการยกเว้นการสัมภาษณ์เพื่อขอวีซ่า โดยก่อนหน้านี้ผู้ที่เดินทางเข้าสหรัฐฯ บ่อยสามารถขอต่อวีซ่าได้โดยไม่ต้องมีการสัมภาษณ์ซ้ำ

ทรัมป์ ซึ่งเป็นนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ และไม่เคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ มาก่อนยืนยันว่ารัฐบาลจำเป็นต้องมีระบบคัดกรองที่เข้มข้น (extreme vetting) เพื่อปกป้องอเมริกาให้ปลอดภัยจากผู้ก่อการร้ายอิสลามหัวรุนแรง

อาเบด เอ. อายูบ ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายและนโยบายของคณะกรรมการต่อต้านการกีดกันอเมริกัน-อาหรับ ชี้ว่าคำสั่งของผู้นำสหรัฐฯ ก็คือการคว่ำบาตรชาวมุสลิมดีๆ นี่เอง

“สิ่งที่ ทรัมป์ และรัฐบาลกำลังทำไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องความมั่นคงของชาติเลย แต่เกิดจากความเกลียดชังอิสลาม และความเกลียดกลัวชาวต่างชาติ” เขากล่าว

บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่างแอมะซอนและไมโครซอฟต์ต่างออกมาแสดงจุดยืนสนับสนุนหน่วยงานท้องถิ่นที่เตรียมจะฟ้องร้องเอาผิดประธานาธิบดีในข้อหาละเมิดรัฐธรรมนูญ

“คำสั่งนี้เป็นสิ่งที่เราไม่สนับสนุน เราเป็นประเทศของผู้อพยพ ความหลากหลายทั้งด้านภูมิหลัง แนวคิด และมุมมอง หล่อหลอมเราให้เป็นประเทศมานานกว่า 240 ปี” เจฟฟ์ เบซอส ซีอีโอของแอมะซอน กล่าว

กฎหมายคนเข้าเมืองและสัญชาติของสหรัฐฯ ให้อำนาจอย่างกว้างขวางแก่ประธานาธิบดีในการสั่งห้ามคนต่างด้าวเข้าประเทศ “เมื่อใดก็ตามที่ประธานาธิบดีเห็นว่าการเดินทางเข้าประเทศของคนต่างด้าวกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจะบั่นทอนผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกา”

อย่างไรก็ตาม เนื้อหาอีกส่วนของกฎหมายฉบับนี้ก็ระบุเอาไว้ชัดเจนว่า “จะต้องไม่มีการเลือกปฏิบัติหรือให้สิทธิพิเศษในการออกวีซ่าแก่ผู้อพยพเพียงเพราะเชื้อชาติ เพศ สัญชาติ สถานที่เกิด หรือสถานที่พำนักของบุคคลนั้นๆ”

ทางการรัฐวอชิงตัน แมสซาชูเซตส์ นิวยอร์ก และเวอร์จิเนีย รวมถึงนครซานฟรานซิสโก ได้ยื่นฟ้องศาลเพื่อขอล้มล้างคำสั่งของทรัมป์ ขณะที่นักการทูต 900 คนในกระทรวงการต่างประเทศก็ ทำบันทึกคัดค้าน ส่วน อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการใหญ่ยูเอ็น ก็วิจารณ์ว่าเป็นมาตรการที่ “มืดบอด”

อดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช เคยงดรับผู้ลี้ภัยเข้าสหรัฐฯ เป็นเวลา 3 เดือนหลังเกิดเหตุวินาศกรรม 9/11 เมื่อปี 2001 แต่การแบนพลเมืองแบบเจาะจงประเทศเช่นนี้นับเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในสหรัฐฯ

เมื่อวันที่ 30 ม.ค. ทรัมป์ ได้สั่งปลด น.ส. แซลลี เยตส์ รัฐมนตรียุติธรรมของ บารัค โอบามา ซึ่งปฏิบัติหน้าที่รักษาการอยู่ เนื่องจากไม่พอใจที่ เยตส์ สั่งให้เจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรมฝ่าฝืนคำสั่งแบนผู้ลี้ภัยและชาวมุสลิม โดยทำเนียบขาวได้ติเตียนรัฐมนตรีหญิงรายนี้ว่า “อ่อนแออย่างยิ่ง” ต่อผู้อพยพผิดกฎหมาย และ “ทรยศ” ต่อกระทรวงด้วย

ในวันเดียวกันนั้น อดีตประธานาธิบดี บารัค โอบามา ก็ได้ออกมาเคลื่อนไหวเป็นครั้งแรกหลังจากที่อำลาตำแหน่งไปไม่ถึง 2 สัปดาห์ โดยประณามคำสั่งกีดกันชาวมุสลิมของทรัมป์ พร้อมสนับสนุนให้ชาวอเมริกันทั่วประเทศออกมาใช้สิทธิ์ประท้วงคำสั่งที่ไร้ความชอบธรรมนี้

โอบามายังปฏิเสธข้ออ้างของ ทรัมป์ ที่ว่าคำสั่งแบนพลเมืองมุสลิม 7 ประเทศนั้นคล้ายคลึงกับกรณีที่ โอบามา เคยห้ามออกวีซ่าให้แก่ผู้ลี้ภัยชาวอิรักเป็นเวลา 6 เดือน เมื่อปี 2011

โฆษกของ โอบามา ยืนยันว่า อดีตประธานาธิบดี “ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งต่อการเอาศาสนามาเป็นพื้นฐานแบ่งแยกบุคคล”

ผลสำรวจของรอยเตอร์/อิปซอสที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 31 ม.ค. พบว่ามีชาวอเมริกันไม่ถึง 1 ใน 3 ที่เชื่อว่ามาตรการของ ทรัมป์ จะช่วยให้อเมริกาปลอดภัยขึ้น และส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า รัฐบาลไม่ควรให้สิทธิพิเศษใดๆ แก่ผู้ลี้ภัยชาวคริสต์ ในขณะที่ชาวมุสลิมถูกกีดกัน

การปรับนโยบายคนเข้าเมืองอย่างกะทันหันของสหรัฐฯ ครั้งนี้ยังสร้างความโกลาหลแก่สายการบินทั่วโลก ซึ่งต่างร้องเรียนว่าประสบปัญหาในการบังคับใช้กฎเกณฑ์ที่ยังไม่มีความชัดเจน ซ้ำยังต้องเสี่ยงกับการถูกฟ้องเรียกค่าปรับหากดำเนินการใดๆ ผิดพลาดไป

สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) ซึ่งเป็นองค์กรตัวแทน 265 สายการบินทั่วโลก แถลงเมื่อวันที่ 30 ม.ค.ว่า รัฐบาลทรัมป์ประกาศคำสั่งบริหารโดยไม่แจ้งเตือนให้สายการบินต่างๆ ทราบล่วงหน้า ก่อให้เกิดความสับสนในหมู่ผู้โดยสารและเจ้าหน้าที่การบินซึ่งมีหน้าที่จะต้องบังคับใช้กฎเหล่านั้น

กาตาร์แอร์เวย์สได้แจ้งไปยังผู้โดยสารจาก 7 ประเทศมุสลิมที่ถูกแบนว่า พวกเขาจำเป็นต้องมี “กรีนการ์ด” หรือไม่ก็วีซ่าการทูตเท่านั้นจึงจะเดินทางเข้าสหรัฐฯ ได้ ขณะที่สายการบินเคแอลเอ็มของเนเธอร์แลนด์ก็ยอมรับต่อสำนักข่าวซีบีเอสว่า ได้ปฏิเสธที่จะออกตั๋วให้แก่ผู้โดยสารจากกลุ่มประเทศที่ถูกแบนแล้วบางส่วน

นโยบายที่สุดโต่งเกินจะรับไหว ตลอดจนกระแสต่อต้านที่รุนแรงขึ้นทุกวันทั้งในสหรัฐฯ และระดับนานาชาติ ทำให้นักเสี่ยงโชคหลายร้อยคนในอังกฤษเริ่มวางเดิมพันกันว่า ทรัมป์ น่าจะอยู่ในตำแหน่งได้ไม่เกิน 1 ปี

แลดโบรคส์ (Ladbrokes) ร้านรับพนันถูกกฎหมายของอังกฤษ กำหนดราคาแทง 1 จ่าย 4 ในกรณีที่ ทรัมป์ จะถูกบุคคลอื่นเข้ามาแทนที่ตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2017 และแทง 10 จ่าย 11 ในกรณีที่เขาถูกถอดถอนหรือลาออกในสมัยแรก

สถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเวลานี้ดูเหมือนจะเป็นเพียงปฐมบทของความยุ่งยากอื่นๆ ที่จะตามมาในอนาคตอันใกล้ ทรัมป์จะรักษาสัญญาที่เคยให้ไว้แก่ฐานเสียงของตน พร้อมๆ กับประคับประคองรัฐบาลให้อยู่รอดท่ามกลางกระแสต่อต้านได้หรือไม่ เป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายจะต้องจับตามองกันต่อไป



กำลังโหลดความคิดเห็น