xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ถอดรหัสปรองดอง "คสช." สองขั้วเจอกันก่อนนิรโทษฯ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ออกมาปฏิเสธกันเพียบ กับสูตร “รัฐบาลแห่งชาติ”ที่มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างกันมาพักใหญ่ หลัง“บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ออกมาปฏิเสธเสียงแข็งว่า ไม่เคยดีลกับใคร ไม่เคยนัดใคร เพราะไม่สามารถรอดพ้นสายตาของผู้คนที่เยอะประหนึ่งตาสับปะรดได้ หรือแม้แต่ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็ออกมาปัดข่าวดังกล่าว

เอาเป็นว่าไม่มีใครยอมรับไม่เป็นไร แต่เรื่องนี้ไม่มีมูลหมาไม่ขี้แน่ เพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่เราได้ยินกันกับสูตรที่ว่า นายกรัฐมนตรีคนต่อไป อย่างไรก็ยังมีการพูดคุยเพื่อให้“บิ๊กตู่”เป็นนายกรัฐมนตรี อีกสมัย เพื่อประคองประเทศไปก่อน เนื่องจากความขัดแย้งยังหยั่งรากลึกฝังใน พร้อมกับล็อกเก้าอี้สำคัญๆ ไม่ว่าจะเป็นรมว.กลาโหม รมว.มหาดไทย ให้กับเหล่าท็อปบูต

แต่นั่นเป็นเรื่องหลังการเลือกตั้ง ผู้มากบารมีในรัฐบาลชุดนี้จะปฏิเสธอย่างไรก็ได้ ตราบใดที่ยังไม่ถึงวันนั้น เพราะก้าวแรกก่อนที่จะไปถึงขั้นนั้น ก่อนอื่นต้องทำให้ฝ่ายการเมืองยินยอมเสียก่อน เพื่อสงบศึกให้ประเทศเดินต่อไปได้ ซึ่งก็คือภารกิจที่ “บิ๊กป้อม”กำลังปูทางให้เกิดความปรองดองในปัจจุบัน ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่า สุดท้ายจะเป็นวิธีไหนกันแน่ ที่ทำให้ฝ่ายการเมืองยอม เพราะยังไม่มีใครปริปาก แม้แต่ตัวผู้รับผิดชอบอย่างพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์

แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้สัญญาณจากนักการเมืองดูจะขานรับกันพรึบพรับแล้ว
 
สูตรไหนยังไม่รู้ เพราะกี่ครั้งก็ออกมาปฏิเสธว่าไม่มีการนิรโทษกรรม จนทำคนงงว่า คสช.จะใช้ยาวิเศษขนานไหน นักการเมืองถึงอ่อนเป็นงูโดนเชือกกล้วยในเวลาอันรวดเร็ว พรรคเพื่อไทย และแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่เคยแข็งกร้าว กลายเป็นอยากเข้าร่วมวง ทั้งที่ไม่มีเรื่องนิรโทษกรรมที่ตัวเองปรารถนามาตลอด ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ และ สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการ กปปส. ตอนแรกทำท่าไม่เอาด้วย แต่สุดท้ายเสียงอ่อยลงไปแล้ว

ไม่ต้องนับรวมพรรคขนาดเล็ก พรรคขนาดกลาง พวกนี้ไม่มีปัญหาอะไร พวกไหลตามน้ำทุกเมื่อ ขอให้ตัวเองอยู่ในวงจรอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นเก้าอี้เล็กเก้าอี้ใหญ่ ตามคอนเซปต์ไม่สร้างศัตรูเพิ่ม และพร้อมเป็นมิตรกับทุกคน ทุกพรรค และทุกฝ่าย

แต่การที่พรรคเพื่อไทย และนปช. ขานรับเที่ยวนี้ เชื่อได้อย่างหนึ่งว่า ไม่ใช่เพราะกลัวตกขบวน แต่เป็นเพราะข้อเสนอมันต้องหอมหวานพอรับได้ แม้ไม่ได้ถึงกับนิรโทษกรรม แต่มันต้องได้อะไรมากกว่าเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเฉยๆ แน่ ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ ตกที่นั่งเดียวกันกับทุกพรรคการเมือง ที่การปรองดองครั้งนี้ไม่สามารถปฏิเสธได้ซึ่งจับอาการ “บิ๊กตู่”ที่จัดเป็นพวกไม่ซับซ้อน ก็เริ่มจะหลุดๆ มาให้ตีความเหมือนกัน หลังให้สัมภาษณ์เมื่อต้นสัปดาห์ ถึงแนวทางในการสร้างความปรองดอง
 
“ฝ่ายกฎหมายก็ไปดูเรื่องคดีที่อ้างกันว่าไม่เป็นธรรม ว่ามีคดีอะไรบ้าง และสร้างการรับรู้แก่สังคมให้ได้ ส่วนจะทำอย่างไรก็ไปว่ากันอีกที ซึ่งไม่ใช่นิรโทษกรรม ทุกคนต้องไปเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมให้ได้ก่อน เพราะมีกฎหมายเดิมอยู่แล้ว ต้องเข้าสู่การพิจารณาของศาล เมื่อศาลตัดสินและรับโทษแล้วพอสมควร มันก็จะเป็นลดโทษ นิรโทษกรรมไปในแนวทางนี้มากกว่า อย่ามามองว่า อยู่ดีๆ ยังไม่เข้ากระบวนการแล้วให้ออกคำสั่ง มาตรา 44 นิรโทษกรรม ทำไม่ได้ ต้องถามประชาชนด้วย”

ถอดรหัส “บิ๊กตู่”แน่นอนว่า ทุกคดีไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ทั้งที่อยู่แล้ว และยังไม่ได้อยู่ หรือของฝ่ายใด จะต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม อย่างไรก็หลบเลี่ยงไม่ได้ หรือจะให้ยกโทษกันเลย อย่างนั้นปิดประตูไม่มีทาง ตรงนี้อย่างไรเสีย พรรคเพื่อไทยและนปช. ก็ไม่เอา ทว่าท่อนนี้ค่อนช้างชัด “ต้องเข้าสู่การพิจารณาของศาล เมื่อศาลตัดสินและรับโทษแล้วพอสมควร มันก็จะเป็นลดโทษ นิรโทษกรรมไปในแนวทางนี้มากกว่า”

ตรงนี้เหมือนเป็นการลดราวาศอกให้กับพรรคเพื่อไทยและนปช. เหมือนกัน เพราะเมื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว อย่างไรเสียก็มีคำมั่นว่า เมื่อผ่านพ้นไประยะหนึ่งจะมีการช่วยเหลือ ดังที่“บิ๊กตู่”บอกว่ามันก็จะเป็นการลดโทษ ซึ่งนี่อาจเป็นเหตุผลว่า ทำไมพรรคเพื่อไทยและนปช. ยอมร่วมวงปรองดองครั้งนี้

แล้วถ้าสังเกตมาตรการนี้จัดเป็นมาตรการกลางๆ ที่เอาสองขั้วที่เห็นไม่ตรงกันมาอยู่ตรงกลาง ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ และ กปปส. สู้มาตลอดว่า อย่างไรทุกคดีต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่ยอมให้นิรโทษกรรมเด็ดขาด ส่วนพรรคเพื่อไทย และนปช. ต้องการการนิรโทษกรรม เพราะเห็นว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรม

การรับโทษไปก่อนแล้วค่อยลดโทษ จึงเป็นตรงกลางให้ทั้งสองฝ่ายเข้ามาร่วมวงในครั้งนี้ให้ได้ เพราะถ้าเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งแบบสุดไปเลย โอกาสจะเกิดม็อบบนถนนอีกก็มีสูง

เพียงแต่พรรคเพื่อไทยและนปช. จะเอาจริงแค่ไหนกับการยินยอมร่วมวงปรองดองครั้งนี้ เพราะแว่วกันหนาหูมากว่า การเจรจาครั้งนี้ ไม่มีชื่อของ“นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร ที่เหล่าท็อปบูตไม่มียินยอมเด็ดขาด เพราะรู้ว่า การให้บุคคลดังกล่าวปรากฏในการปรองดอง นอกจากไม่สำเร็จแล้ว อาจยิ่งเละ ขณะที่เจ้าตัวเองก็ไม่ยอมติดคุกแน่ๆ เหมือนที่สู้มาตลอด

บรรยากาศปรองดองวันนี้จึงเอาแน่เอานอนไม่ได้ เพราะจะว่าไปก็ไม่ใช่ปรองดองที่แท้จริง ไม่ใช่การปรองดองระหว่างประชาชนด้วยกัน แต่เป็นการปรองดองระหว่างนักการเมือง กับทหาร เพื่อให้ประเทศเดินต่อหน้าเท่านั้น
 
อีกทั้งพ่อตัวดีแดนไกลก็ไม่ได้ประโยชน์ สงสัยงาน“บิ๊กป้อม”จะสำเร็จแค่แป๊บเดียวหรือเปล่า !!!


กำลังโหลดความคิดเห็น