xs
xsm
sm
md
lg

1 ข่าวใหญ่กับอีก 3 ข่าวสำคัญที่ไม่เป็นข่าวในบ้านเรา

เผยแพร่:   โดย: ประสาท มีแต้ม

ผมไม่ทราบหรอกครับว่าในวงวิชาการสื่อสารมวลชนเขามีหลักการอย่างไรในการจัดลำดับความสำคัญกับข่าวสารที่ตนจะนำเสนออย่างไร แต่ผมทราบว่านักวิทยาศาสตร์และนักคิดชั้นนำของโลกได้ถือว่า “ปัญหาใหญ่ที่สุดที่มนุษย์เรากำลังเผชิญอยู่คือการทำลายสิ่งแวดล้อม” (ข้อความจาก Noam Chomsky)

ดังนั้น สำหรับผมซึ่งได้ให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อมีข่าวที่ส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมีนัยสำคัญ ผมจึงถือว่าข่าวประเภทนี้เป็นทั้งเป็นข่าวใหญ่และข่าวสำคัญครับ แต่ที่น่าเสียดายที่ข่าวประเภทนี้ไม่เป็นข่าวในบ้านเรา ผมจึงขอนำเสนอโดยย่อรวม 4 ข่าว ดังนี้

หนึ่งข่าวใหญ่และสำคัญมาก คือ รัฐบาลประเทศจีนได้ประกาศยกเลิกโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินจำนวน 104 โครงการ โดยมีกำลังการผลิตรวมกันถึง 1.2 แสนเมกะวัตต์ (มูลค่า 62,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในจำนวนนี้มากกว่าครึ่งหนึ่งอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง เรียกว่าเขาไม่เสียดายต่อเงินก้อนใหญ่ที่ได้ลงทุนไปแล้ว

โรงไฟฟ้าที่ถูกยกเลิกไปนี้กระจายอยู่ใน 13 จังหวัดทางตะวันตกและทางตอนเหนือของประเทศซึ่งเป็นแหล่งที่มีถ่านหินมาก

เหตุผลที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ประกาศต่อที่ประชุม World Economic Forum เมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้วว่า ประเทศจีนมีความมุ่งมั่นที่จะนำหน้าในการลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก

ความจริงแล้วรัฐบาลจีนมีแผนจะกำจัดโรงไฟฟ้าถ่านหินจำนวน 150 โรง ในช่วง 5 ปีจาก 2016-2020 แต่ผมเข้าใจว่าที่ได้ขยับมาเร็วขึ้นส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะว่า เป็นผลมาจากการกล่าวหาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกาที่ไม่เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศเป็นเรื่องจริงและเป็นแผนการหลอกลวงของประเทศจีน

เออ! ก็ดีนะครับ ถ้าพญาช้างสาร 2 ตัว ทะเลาะกันแล้วรู้จักแข่งกันทำความดี

ก่อนที่จะไปยัง 3 ข่าวสำคัญ ผมขอตั้งข้อสังเกต 3 ประการ คือ

(1) ประเทศจีนได้เริ่มแสดงให้ชาวโลกได้เห็นทั้งจากคำประกาศครั้งล่าสุด และข้อมูลการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปี 2015 ว่าได้ลดลงแล้วจริง ไม่ใช่ประกาศเพื่อเอาหน้าต่อชาวโลก

(2) แม้ที่ได้เริ่มการก่อสร้างแล้ว ในพื้นที่ที่มีถ่านหินเป็นของตนเอง แต่ก็ยังยกเลิกโครงการได้

(3) ประเทศไทยเราได้ประกาศว่าจะลดการปล่อยก๊าซ แต่ในความเป็นจริงยังคงปล่อยเพิ่มขึ้น (ในภาพบนทางขวามือ) และยังมีโครงการจะสร้างเพิ่มอีกเกือบ 8 พันเมกะวัตต์ ทั้งๆ ที่ต้องนำถ่านหินเข้าจากต่างประเทศ พูดตามภาษาปักษ์ว่า “เมร่อ 2 ชั้น”

ข่าวสำคัญที่หนึ่ง ในปี 2016 ประเทศเยอรมนีซึ่งมีแสงแดดน้อยกว่าประเทศไทย แต่เขาสามารถผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ได้ถึง 4 เท่าของโรงไฟฟ้าถ่านหินบีแอลซีพี (1,434 MW)

เรื่องนี้ แม้แต่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเองซึ่งควรจะรับฟังข้อมูลจากทุกฝ่ายอย่างใคร่ครวญก่อน แต่กลับพูดว่า แสงแดดไม่มั่นคง ไม่เสถียร มีจำนวนน้อยและราคาแพง แต่ความจริงอยู่ในแผ่นภาพ (พร้อมแหล่งอ้างอิง) ความเชื่อที่ว่ามีน้อยนั้นเป็นความจริง แต่เมื่อ 10 ปีที่แล้วครับท่าน!

ข่าวสำคัญที่สอง ข่าวนี้มาจากรายงานเรื่อง “การคิดใหม่เรื่องพลังงาน 2017” ซึ่งจัดทำโดยองค์กรที่ชื่อว่า International Renewable Energy Agency (IRENA) มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองดูไบก่อตั้งเมื่อปี 2009 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนทั่วโลก ผู้ร่วมก่อตั้งคนสำคัญ Dr.Hermann Scheer ซึ่งผมเองได้มีโอกาสฟังการบรรยายอย่างประทับใจมากของเขาเมื่อปี 2004 จนต้องติดตามผลงานมาจนถึงทุกวันนี้

คนไทยเราได้ถูกโฆษณาชวนเชื่อโดยผู้คุมนโยบายพลังงานรวมทั้งนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันด้วยว่า พลังงานแสงอาทิตย์มีราคาแพง หากติดตั้งกันมากๆจะทำให้ค่าไฟฟ้าแพง เป็นภาระกับผู้มีรายได้น้อย

ขอท่านผู้อ่านโปรดดู 2 ภาพข้างนี้ครับ ว่าคำโฆษณาดังกล่าวเป็นจริงหรือเปล่า ข้อมูลนี้เป็นราคาประมูลซึ่งจะต้องส่งไฟฟ้าในปี 2018 จากแสงอาทิตย์ ชีวมวล และกังหันลม เกือบจะทั่วทุกภูมิภาคของโลก

ช่วยดูซิครับว่า มีประเทศใดบ้างที่รับซื้อราคาไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในราคาที่แพงกว่าประเทศไทยเรา


นอกจากจะไม่แพงอย่างที่ได้หลอกคนไทยแล้ว ประเทศไทยเรายังรับซื้อจากโซลาร์ฟาร์มในราคาที่แพงกว่าชาวโลก (ยกเว้นประเทศแคนาดาซึ่งไม่ค่อยจะมีแสงแดด) นี่เป็นการทำความชั่วแล้วมาอ้างเอาความดีอีก

ข่าวสำคัญที่สาม องค์การสหประชาชาติได้ตั้ง “เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน-SDG” ไว้ 17 เป้าหมาย แต่ไม่ได้จัดลำดับความสำคัญ และไม่ได้ให้น้ำหนักความสำคัญ

องค์กร IRENA ได้เชื่อมให้เห็นว่า หนึ่งในเป้าหมาย 17 ข้อนั้น ล้วนมีความสัมพันธ์กับเป้าหมายที่ 7 คือ “พลังงานสะอาดและความสามารถในการจ่าย” (ดังภาพประกอบ)

ทุกสรรพชีวิตในน้ำไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำหรือทะเล (เป้าหมายที่ 14) จะมีปัญหาหากมีการใช้ถ่านหิน เช่น ปะการังฟอกขาว ความหิวโหย (เป้าหมายที่ 2) จะเกิดขึ้นเพราะผลผลิตทางการเกษตรลดลงหรือการไม่มีงานทำ เป็นต้น ล้วนเชื่อมโยงกับปัญหาพลังงาน เพราะกิจการพลังงานหมุนเวียนมีการจ้างงานเยอะมาก

รัฐบาลนี้กำลังจะวางยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดีครับ แต่หากขาดการมีส่วนร่วมที่แท้จริงของประชาชน มีการบิดเบือนข้อมูล (ดังข่าวสำคัญที่ 1 และ 2) ด้วยอำนาจเงินและอำนาจการบริหาร รวมทั้งขาดการวิเคราะห์อย่างลุ่มลึกของเป้าหมายการพัฒนา (ข่าวสำคัญที่ 3) ขาดความรับผิดชอบต่อโลก (พระราชดำรัสรัชกาลที่ 9 เมื่อ 4 ธ.ค. 2532 ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในศาสตร์ของพระราชา) ก็อาจจะนำไปสู่ความล้มเหลวและเสียเกียรติภูมิของประเทศได้โดยง่ายครับ

ผมจำไม่ได้ว่าใครเป็นผู้พูดครั้งแรกว่า “ศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของความรู้ไม่ใช่ความโง่เขลาของคน แต่มันคือการบิดเบือนความรู้” (The greatest enemy of knowledge is not ignorance, it is the illusion of knowledge.) คนไทยจึงต้องพยายามรู้ให้ทันกับเล่ห์เพทุบายเหล่านี้ครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น