xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ดีลลับปรองดอง ภาค 2 เมื่อ “บิ๊ก คสช.” จูบปาก “นักเลือกตั้ง”??

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวเรือใหญ่ของฝ่าย คสช.ในการเดินเกมปรองดอง
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ก็เป็นไปตามที่ “ผู้จัดการสุดสัปดาห์” เปิดหัวไว้เมื่อฉบับก่อนหน้าในท้องเรื่อง ดีลลับ “ปรองดอง” ทักษิณ-เนวิน “บิ๊ก คสช.” รู้หรือยัง?? ทิ้งเบาะแสความเคลื่อนไหวทำนอง “เกี๊ยะเซียะ” ของบรรดาขุมข่าย “นักการเมือง” ในจังหวะที่ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ประกาศติดเครื่องเดินหน้าเรื่องปรองดองสมานฉันท์เต็มสูบ

ผ่านไปเพียงไม่ถึงสัปดาห์ ก็ปรากฎร่องรอย-เบาะแสที่ชี้ว่า “ดีลลับปรองดอง” ไม่ใช่เพียงแค่มีอยู่จริง หากแต่ยังมีเรื่อง “ลับๆ” ที่เป็นวาระซ่อนเร้นอยู่อีกหลายเรื่องและหลายตัวละคร(เดิมๆ) เคลื่อนไหว

หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้า คสช. ลงนามในคำสั่ง คสช. ที่ 3/2560 เรื่อง การขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง ใช้อำนาจตามมาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญชั่งคราว พ.ศ. 2557 กำหนดกรอบการทำงานของ คณะกรรมการคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) ขึ้น

โดย พล.อ.ประยุทธ์ นั่งเป็นประธานเอง แต่ก็มอบหมายให้ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม รับเป็นโต้โผคุมงานทำยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความปรองดองอย่างเต็มตัว

ในความเป็นจริง รัฐบาล คสช.เองก็รู้อยู่เต็มอกว่า การสร้างความปรอดองสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในภาวะที่กระแสธารความขัดแย้งเชี่ยวกราดนั้นเป็นไปได้ยาก หากง่ายดายเพียงแค่พลิกฝ่ามือ หรือเพียงแค่ตั้งคณะทำงานอย่าง ป.ย.ป.ขึ้นแล้วเรื่องจะจบ ก็คงทำตั้งแต่วันแรกที่เข้ามายึดอำนาจ ไม่ต้องรอให้เวลาผ่านมานานนมจนเข้าขวบปีที่ 3 จึงตกผลึกเป็นคณะทำงานที่หน้าตาก็ดูไม่ผิดแผกแตกต่างจากคะทำงาน หรือคณะกรรมการหลายสิบคณะที่หลายรัฐบาลพยายามตั้งขึ้นมา

แล้วการชวนทุกภาคส่วนที่อยู่ในวังวันความขัดแย้งมาลง “เอ็มโอยูปรองดอง” แล้วจะทำให้คู่ขัดแย้งทั้งหลายรักใคร่กลมเกลียวกันขึ้นมา ก็เป็นแค่เรื่องชวนฝัน หลายครั้งในอดีตก็มีการจัดให้นักการเมืองร่วมพิธีศักดิ์สิทธิ์ ประเภทโองการแช่งน้ำ ลงนามในสัตายาบัน รวมทั้งสาบานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สัญญิงสัญญาว่าจะไม่ประพฤติผิดคิดร้ายกับประเทศชาติ สุดท้ายเป็นอย่างไรก็เห็นๆกันอยู่

อีกทั้งถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าเอ็มโอยู หรือสัตยาบันปรองดอง จะมีเนื้อหาอย่างไร

สิ่งที่ทุกภาคส่วน โดยเฉพาะ “ภาคประชาชน” เรียกร้องมาโดยตลอด คือ “การปฏิรูปประเทศ” ให้ประชาชนได้รับผลประโยชน์จากรัฐอย่างเท่าเทียม การบังคับใช้กฎหมายเคร่งครัด-เป็นธรรม ไม่ให้เกิดสองมาตรฐาน หรือความหลั่กลั่นในกระบวนการยุติธรรมอย่างกรณี “ครูแพะ” ที่ดังกระหึ่มเมืองอยู่ในตอนนี้

การปฏิรูปประเทศ” ต่างหากที่เป็นคำตอบสุดท้าย ที่มีประสิทธิภาพ และได้ประสิทธิผลมากที่สุด สำหรับโจทย์หินในเรื่องการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ และหลายคนก็วาดฝันว่าจะเกิดขึ้นได้ในยุครัฐบาล คสช.ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอยู่ในมือ

แต่ด้วยความอยาก “เรียนลัด” หรืออาจจะเห็นว่า ช่วงปลายของโรดแมป คสช.งวดเข้ามาทุกขณะแล้ว จากเดิมที่เคยตั้งท่าเรื่องการปฏิรูปประเทศไว้ ก็แบ็คทูเบสิค กลับมาที่เรื่องของการตั้งคณะกรรมการฯจนเป็น ป.ย.ป. และจุดพลุเรื่อง “เอ็มโอยูปรองดอง” ตามมา
สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี น้องเขย นช.หนีคดีทักษิณ ชินวัตร ที่ชูรักแร้หนุนปรองดองเต็มที่
อ้ายปึ้ง สุรพงษ์ โตวิจักขณ์ชัยกุล ที่มีท่าที่ต่อต้านรัฐบาลทหารมาโดยตลอด มาเที่ยวนี้สนับสนุนการปรองดองแบบสุดลิ่มทิ่มประตู
ลุงกำนัน สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่แม้จะสนับสนุนแนวคิดการสร้างความปรองดองผ่าน ป.ย.ป.ของ คสช. แต่ก็ออกตัวว่าไม่มีทางร่วมลงนามใน “เอ็มโอยูปรองดอง” อย่างแน่นอน

ไม่ทันไรก็เกิดความย้อนแย้งขึ้น เมื่อมีเสียงเรียกร้องจากบางซีกในพรรคเพื่อไทย ที่ต้องการให้ทหารร่วมลงนามในเอ็มโอยูปรองดองว่า จะไม่ทำการรัฐประหารอีกในอนาคต และพยายามถวายพานว่า ทหารก็คือหนึ่งในคู่ขัดเเย้งสำคัญ แต่กลับไปนั่งกันเต็มบรึ่บใน ป.ย.ป.ชุดใหญ่-ชุดเล็ก ที่ควรจะเป็นคนกลางมากกว่านี้

ไม่เหนือความคาดหมาย เมื่อ “พี่ใหญ่กองทัพ” อย่าง พล.อ.ประวิตร เองปฏิเสธทันทีทันใดว่า ทหารไม่ใช่คู่ขัดแย้งของใคร และไม่จำเป็นต้องลงนามอะไร เพราะทหารไม่เคยคิดอยากจะยึดอำนาจ

บอกไปแล้วว่า การตั้ง ป.ย.ป.ขึ้นเพื่อเดินงานเรื่องปรองดอง-สมานฉันท์เป็นเพียง “หน้าฉาก” แต่ “หลังฉาก” ยังมีตัวละครหน้าเดิมๆ เคลื่อนไหวอยู่

ตั้งแต่ “บักห้อย” เนวิน ชิดชอบ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอีสาน “พ่อแม้ว” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯหนีคุกอยู่ในต่างแดน หรือ “โซ่ข้อกลาง” คุณภาพคับแก้ว อย่าง เจ้าสัววิชัย ศรีวัฒนประภา เจ้าของอาณาจักรคิงเพาเวอร์ และ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย น้องเลิฟของนายเนวิน เคลื่อนไหวอยู่ในมุมมืด

แม้ตัวละครเอกในท้องเรื่องยังไม่ขยับออกมายอมรับหรือปฏิเสธ ที่ “ผู้จัดการสุดสัปดาห์” ได้ดักคอไปด้วยความหวังดี อยากส่งสัญญาณเตือนไปยังบรรดา “ขุนทหาร” ที่มุ่งมั่นตั้งใจในการสร้างความปรองดองให้แก่คนในชาติ เพื่อหยุดความล้มเหลวของประเทศ หลังติดหล่มความขัดแย้งทางการเมืองมากว่าทศวรรษเข้าให้แล้ว
เป็นความหวังดีที่หวังให้ “บิ๊ก คสช.” รู้เท่าทัน ไม่เสียหน้า “ตีโง่” ให้ฝ่ายตรงข้าม

แต่เมื่อแกนนำสำคัญของ “พรรคเพื่อไทย” ออกมารับลูกให้การสนับสนุนแนวนโยบายการสร้างความปรองดองของรัฐบาล คสช. ในท่าทีที่ดูเก้ๆกังๆ ไม่แนบเนียนเท่าใดนัก ทั้งในรายของ “เขยชินวัตร” สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯผู้มีโอกาสได้อยู่ในตำแหน่งเพียง 75 วัน ที่ออกมาอวย พล.อ.ประวิตรว่าจะสร้างความปรองดองได้สำเร็จ เพราะเป็นบุคคลที่ได้รับความนับถือจากทุกฝ่าย รวมทั้งตัวเองด้วย

ตามออกมาติดๆกับคิวของ “อ้ายปึ้ง” สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล แกนนำพรรคเพื่อไทย ที่ก้มหน้าก้มตาชูจักกะแร้เชียร์ ประกาศเสียงดังลั่นทุ่งว่า พร้อมให้ความร่วมมือกับ พล.อ.ประวิตร ให้ทำการปรองดองสำเร็จลุล่วง ไม่เท่านั้นยังเบะท่าพร้อมร่วมเดินไปบน “สะพาน” ของ คสช. ตามชื่อเพลงซิงเกิ้งล่าสุดของหัวหน้า คสช.

เป็นบทบาทของคนชื่อ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมา คอมเมนท์การเมืองในเชิงท้าตีท้าต่อยรัฐบาล คสช.มาตลอด 2 ปีกว่าที่ผ่านมา ย้อนไปไม่กี่เดือนก่อนก็เพิ่งสืบเท้าออกมาขยี้ปม “ทริปอะโลฮ่า ฮาวาย” เหน็บแนม พล.อ.ประวิตรว่าผลาญเงินเงินเดินทางไปประชุมต่างประเทศจำนวนมหาศาล ทั้งที่เศรษฐกิจยังโงหัวไม่ขึ้น

มองผิวเผินก็อาจเป็นทอดไมตรีจิตของพรรคเพื่อไทยที่อยากให้บ้านเมืองเดินไปได้ เพื่อความหวังให้มีการเลือกตั้งเร็วที่สุด ซึ่งมองง่ายๆแบบนี้ก็คงไม่ผิด แต่ก็ไม่ควรดูเบาความเคลื่อนไหวของคนสำคัญของ
ระบอบทักษิณ” ทั้ง “สมชาย - สุรพงษ์”
คนหนึ่งเป็นคนในบ้านชินวัตร อีกคนก็เป็นลูกน้องผู้จงรักภักดีในระดับหัวแถว หากไม่รับสัญญาณไฟเขียวจาก “แดนไกล” มีหรือที่ทั้งคู่จะล้ำเส้นออกมาเชียร์ คสช. โดยเฉพาะ พล.อ.ประวิตร เป้าใหญ่ของ คสช.อย่างสุดลิ่มทิ่มประตูขนาดนี้

หรือจะสรุปได้ว่าสุ้มเสียงของ “สมชาย-สุรพงษ์” ก็คือสุ้มเสียงของ “คนแดนไกล” ก็คงไม่ผิดอีก

ท่าทีของ 2 คีย์แมนเพื่อไทย ก็ยิ่งเพิ่มน้ำหนักให้กับ “ดีลปรองดอง” ที่เม้ากันกระหึ่มในแวดวงคนการเมือง แรกเริ่มเดิมทีอาจเพียงดีลระหว่าง “นักการเมือง-นักเลือกตั้ง” ที่เริ่มจูนสัญญาณให้ตรงกัน เพื่อร่นเวลา-เพิ่มโอกาสในการกลับมาเสวยอำนาจ หลังหมดยุค คสช. ขนาดคนไม่เผาผีกันแล้วอย่าง “ทักษิณ-เนวิน” ยังมีการสื่อสารถึงกัน

แต่พลันที่ทุกองคาพยพฝ่ายการเมืองต่างให้การสนับสนุนวาระปรองดองของรัฐบาล คสช. ก็ทำให้เห็นเค้าลางว่า ดีลนี้ไม่ใช่เฉพาะเรื่องของ “นักการเมือง-นักเลือกตั้ง” เท่านั้น แต่ดีลที่ไม่ธรรมดา ส่งนัยว่า “บิ๊ก คสช.-นักเลือกตั้ง” ได้ทอดไมตรีซึ่งกันและกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เมื่อทุกอย่างลงตัว คนที่อยู่ในเกมอำนาจสมประโยชน์กัน “บิ๊ก คสช.” ก็พร้อมจูบปากกับ “นักเลือกตั้ง” ตามที่มีการตั้งข้อสังเกตตั้งแต่ช่วงต้นๆที่ คสช.เข้ามายึดอำนาจ ว่าอาจมี “ใครบางคน” ในวงศ์วาน คสช.ต่อสายไปถึง “คนแดนไกล” ทั้งทางตรง หรือทางอ้อมๆผ่าน “ล๊อบบี้ยีสต์” ซึ่งก็มีการปฏิเสธมาโดยตลอด

รูปการณ์เป็นเช่นนี้ก็เท่ากับตอกหน้า “เนตไอดอลแห่งวิหคนิวส์” ผู้ปวารณาตัวเป็น “นักพูดไอโอรุ่นใหม่” รู้ดีไปเสียทุกเรื่อง สร้างราคาเพื่อหวังให้ “งานเข้า” พยายามหักล้างทุกสิ่งอย่างที่เกี่ยวกับ “ดีลปรองดอง” แต่ไร้ซึ่งข้อมูลเบื้องลึก-เบื้องลับตามที่จั่วหัวไว้ในคลิปของตัวเอง พูดไปเรื่อยทั้งที่มองแก่นของเรื่องราวการขับเคี่ยวทางการเมืองไม่ขาด

อีกคนที่ดูจะกลัวตกรถ ไม่ได้โดยสารเรือแป๊ะข้ามสะพาน คสช.ไปกับใครเขา หาก “บิ๊ก คสช.” พูดจาภาษาเดียวกับ “นักเลือกตั้ง” ได้ โดยที่ตัวเองไม่มีบทบาท ก็รายของ “ลุงกำนัน” สุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย อดีตเลขาธิการ กปปส. ที่แม้จะสนับสนุนแนวคิดการสร้างความปรองดองผ่าน ป.ย.ป.ของ คสช. แต่ก็ออกตัวว่าไม่มีทางร่วมลงนามใน “เอ็มโอยูปรองดอง” อย่างแน่นอน เหตุเพราะในวันนี้ของนายสุเทพยังหาลู่หาเลนกลับเข้าสู่การเมืองอย่างสะเปะสะปะ มีคำมั่นว่าจะไม่หวนกลับมาเล่นการเมืองค้ำคออยู่ แถมถูกขึ้นแบล็กลิสต์ไม่ให้เข้าบ้านหลังเก่าอย่าง “ประชาธิปัตย์” หลังพยายามเผาบ้านเพื่อเข้ายึดหลายครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จ ส่วนพรรคการเมืองของ กปปส.เองที่คาดว่าจะตั้งใหม่ก็ยังไร้ความชัดเจน “ลุงกำนัน” ที่เคยเสียงดังก่อนมี คสช. ก็เลยกลายเป็นเสียงเล็กๆ อยู่ในวันนี้

และดูท่างานนี้ “ลุงกำนัน” ที่ออกตัวแรง จะจั่วลมที่ถูกหลงลืมไม่ได้ดึงมาเป็น “ม้าใช้” ของ “บูรพาบราเทอร์ส” อย่างที่เคยถูกวางตัวไว้

อย่างไรก็ตามถือว่าเส้นทางการสร้างความปรองดองยี่ห้อ “บูรพาบราเทอร์ส” ยังอีกยาวไกล คงไม่จบภายใน 3 เดือน 6 เดือนตามที่ประกาศไว้อย่างแน่นอน เพราะระหว่างทางต้องเจอ “พวกขวางคลอง” อย่างนายสุเทพอีกไม่น้อย

แต่สิ่งที่สะท้อนออกจากเกมปรองดองยี่ห้อ “บูรพาบราเทอร์ส” นั่นก็คือการปล่อยวางวาระการปฏิรูปที่เคยประกาศเป็นวาระแห่งชาติ และสัญญาประชาคม แตกออกมาเดินงานเรื่องความปรองดองเป็น “วาระด่วนพิเศษ” เสียก่อน โดยพุ่งเป้าไปที่บรรดาคู่ขัดแย้ง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคนในวังวนการเมือง ทั้งหน้าฉากผ่าน ป.ย.ป.หรือเอ็มโอยูปรองดอง

หรือหลังฉากที่ข่าวลือหนาหูว่า มีการต่อสายพูดคุยกันเรียบร้อยแล้ว
การตระเตรียมรับมือกับศึกเลือกตั้ง ที่ช้าเร็วอย่างไรก็ต้องมาถึง ถึงแม้ “บิ๊ก คสช.” จะมั่นใจในขุมข่ายความมั่นคงที่วางไว้ผ่านน้องๆ ในกองทัพ แต่ก็จำเป็นเกาะเกี่ยวกับฝ่ายการเมือง ไว้เพื่อเพลย์เซฟหลังคลายมือจากอำนาจแล้วจึงมีความจำเป็น ซึ่งก็คือการสร้างฐานพันธมิตรไว้สำหรับอนาคต โดยเฉพาะไฟล์ทบังคับที่จำเป็นต้องต้อนรับ “ฝ่ายการเมือง” เข้ามามีเอี่ยวในเกมอำนาจอย่างเสียไม่ได้ แม้จะวางค่ายกลตัดกำลัง “นักการเมือง-นักเลือกตั้ง” ไว้ในกติกาประเทศแล้วก็ตาม

สุดท้ายปลายทางการสร้างความปรองดองจะสำเร็จหรือไม่ ยังยากจะคาดเดา หากแต่สิ่งที่เห็นชัดเจนก็คือบทบาทของ พล.อ.ประวิตร ที่กลับมาดูมีชีวิตชีวาอีกครั้ง ราวกับได้ยาโด๊ป หลังจากที่เคยมีข่าวว่าจะถอดใจหันหลังให้พี่น้อง คสช.

และอย่างน้อยๆก็เป็นบทพิสูจน์สำนวน “เลือดข้นกว่าน้ำ” และความยึดมั่นในวลี “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ของ “บูรพาบราเทอร์ส” ที่เหมือนตั้งใจประกาศว่า มาด้วยกัน ก็ต้องไปด้วยกัน


กำลังโหลดความคิดเห็น