ASTVผู้จัดการรายวัน-ทนายความครอบครัว "ชูวงษ์" หอบเอกสารหลักฐานใบโอนหุ้นให้กองปราบ หวังมัดตัวผู้ปลอมเอกสาร มั่นใจพยานหลักฐานออกหมายจับได้แน่ กองปราบขอเวลาหาหลักฐานเพิ่มเติม คาดออกหมายจับได้สัปดาห์หน้า มีมากกว่า 2 คน "บรรยิน"โร่ร้อง ก.ต.ศาลยุติธรรม สอบจริยธรรมผู้พิพากษาอาวุโส อ้างอยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวร้องเรียนของญาติ พร้อมร่ำไห้ออกสื่อขอโทษลูกเมียที่ปกปิดความลับ "สมยศ"สั่งสอบเพิ่มสาเหตุการเสียชีวิตอีก 10 ประเด็น ลั่นไม่มีปกป้อง หากผิดว่าไปตามผิด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.00 น. วานนี้ (6 ส.ค.) ที่กองปราบปราม นางวันเพ็ญ ธนธรมมศิริ พี่สาวของนายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง นักธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง เดินทางมาพร้อมนายเอนก คำชุ่ม ทนายความ นำหลักฐานเกี่ยวกับการโอนหุ้นของนายชูวงษ์ก่อนเสียชีวิตที่เชื่อว่าถูกปลอมมามอบให้พนักงานสอบสวนกองปราบปรามเพิ่มเติม
นายอเนกกล่าวว่า หลังจากครอบครัวของนายชูวงษ์ได้ยื่นหนังสือถึงแพทยสภา เพื่อให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงการเสียชีวิตของนายชูวงษ์ เนื่องจากผลการตรวจของนิติเวชไม่ได้ชี้ชัดถึงสาเหตุการเสียชีวิต ระบุเพียงว่าถูกของแข็งกระแทก จึงต้องการผลตรวจสอบจากหลายหน่วยงานเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน เพื่อคลายข้อสงสัยของครอบครัวผู้ตาย
ทั้งนี้ ทางครอบครัวตรวจสอบพบว่าในรายงานการตรวจศพของสถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ เบื้องต้นมีการระบุเดือนที่ส่งศพของนายชูวงษ์ผิดจากวันที่ 26 มิ.ย.2558 แต่ทางนิติเวชลงวันที่ 26 ก.ค.2558 เชื่อว่าอาจจะพิมพ์ผิดเท่านั้น แต่ก็ทราบว่ามีการแก้ไขในตัวเอกสารนี้แล้ว ตรงนี้ไม่ได้ติดใจอะไร
ส่วนกรณีพ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีต รมช.พาณิชย์ จะไปยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม เพื่อให้ตรวจสอบ โดยอ้างว่ามีผู้พิพากษาเข้ามาเกี่ยวข้องนั้น โดยส่วนตัวยืนยันว่าไม่มีผู้พิพากษาเข้ามาเกี่ยวข้อง และขณะนี้คดียังอยู่ในชั้นพนักงานสอบสวน ไม่มีอำนาจใดก้าวล่วงได้
***มั่นใจหลักฐานนำไปสู่การออกหมายจับ
นายอเนกกล่าวต่อว่า ในส่วนของการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการออกหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้องนั้น ตนเห็นว่าเป็นไปตามพยานหลักฐานว่าเชื่อมโยงใครกระทำความผิดบ้าง ซึ่งเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนกองปราบปรามและไม่ขอออกความเห็น
ผู้สื่อข่าวถามว่า หลักฐานที่เตรียมมาสามารถนำไปเชื่อมโยงกับผู้ที่กำลังจะถูกออกหมายจับหรือไม่ นายอเนกกล่าวว่า ตนเชื่อว่าในเบื้องต้นคดีมีมูลเพียงพอ พนักงานสอบสวนสามารถที่จะดำเนินการตามกฎหมายได้ อีกทั้งที่ผ่านมา ไม่เคยกดดันทางเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในส่วนของท้องที่และกองปราบปราม เพียงแต่ให้ความร่วมมือกับพนักงานสอบสวน ในเรื่องของการเข้าให้ปากคำพยานบุคคลหรือเอกสารหลักฐาน
"เราเชื่อมั่นตำรวจมาตั้งแต่ต้นแล้ว ไม่ใช่ว่ามีการออกหมายจับแล้ว จะมาเชื่อมั่นการทำงาน ขอชมเชยเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในส่วนของ สน.อุดมสุข กองปราบปราม และผู้บังคับบัญชาทุกท่านที่เห็นความสำคัญของคดีนี้ รวมทั้งเอาใจใส่ทุกอย่างเป็นไปตามพยานหลักฐาน"นายอเนกกล่าว
***พี่สาวยังข้องใจสาเหตุการเสียชีวิต
นางวันเพ็ญ ธนธรรมสิริ กล่าวถึงกรณีที่มีการออกหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้องว่า โดยส่วนตัวไม่มีความเห็นอะไรในเรื่องของการที่จะมีการออกหมายจับ อยู่ที่ตำรวจได้หลักฐานเพียงพอหรือไม่ เป็นเรื่องของทางพนักงานสอบสวนมากกว่า คงไม่ขอออกความเห็น เพียงแต่ว่าทางเรามีข้อข้องใจสาเหตุการเสียชีวิต ก็มาร้องเรียนให้สอบสวน หากสอบสวนแล้วได้ความประการใดไม่ขอออกความเห็น เป็นเรื่องของทางพนักงานสอบสวน
***ออกหมายจับสัปดาห์หน้ามีมากว่า2คน
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมอีกว่า ขณะนี้ทางพนักงานสอบสวนกองปราบปรามอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อเตรียมขอศาลออกหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการโอนหุ้นของนายชูวงษ์ หลังการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานพบว่า การโอนหุ้นทั้ง 2 ครั้งก่อนที่นายชูวงษ์จะเสียชีวิต ให้แก่ น.ส.กัญฐณา ศิวาธนพล แคดดี้และพริตตี้สาว และ น.ส.อุรชา วชิรกุลฑล เจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดบริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด ซึ่งมีความผิดปกติ แก้ไขสาระสำคัญในเอกสารการโอนหุ้นหลายอย่างนั้น
ภายในสัปดาห์นี้ ทางพนักงานสอบสวนจะเชิญพยานบุคคล ซึ่งเป็นโบรกเกอร์ที่ดูแลหุ้นของนายชูวงษ์มาทำการสอบปากคำอีกครั้ง และรอผลตรวจยืนยันอย่างเป็นทางการจากกองพิสูจน์หลักฐานเกี่ยวกับเอกสารการโอนหุ้น เบื้องต้นพบว่ามีผู้เกี่ยวข้องมากกว่า 2 ราย คาดว่าจะสามารถขอศาลออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องได้ภายในสัปดาห์หน้า
พ.ต.อ.จิรภพ ภูริเดช ผู้กำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม กล่าวว่า การสืบสวนความผิดปกติในการโอนหุ้นให้ 2 สาวคนสนิทรวมเกือบ 300 ล้าน มีความคืบหน้าไปกว่า 90% เหลือเพียงการรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อให้เพียงพอต่อการออกหมายจับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยคาดว่าจะออกหมายจับได้สัปดาห์หน้า แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะอาจกระทบต่อรูปคดี และขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล
***"บรรยิน"ร้องก.ต.สอบผู้พิพากษา
เมื่อเวลา 13.00 น. ที่ศาลฎีกา ถ.แจ้งวัฒนะ พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีต ส.ส.นครสวรรค์ และอดีต รมช.พาณิชย์ ได้เดินทางไปเพื่อยื่นหนังสือต่อประธานคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) ขอให้ตรวจสอบจริยธรรมและการทำหน้าที่ของผู้พิพากษาอาวุโสท่านหนึ่ง เนื่องจากเชื่อว่ามีการให้คำปรึกษาข้อกฎหมายเกี่ยวกับการเสียชีวิตของนายชูวงษ์ โดยมีนายอิทธิ มุสิกะพงษ์ รองเลขาธิการประธานศาลฎีกา เป็นผู้รับหนังสือ เพื่อเสนอให้ประธานศาลฎีกาต่อไป
นายบรรยินกล่าวว่า ได้มายื่นหนังสือเพื่อให้ตรวจสอบจริยธรรม การประพฤติตนที่ไม่เหมาะสมของผู้พิพากษาอาวุโสท่านหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวร้องเรียนของญาตินายชูวงษ์ โดยมีพยานบุคคล แต่ยังไม่ขอเปิดเผยข้อมูล ให้เป็นหน้าที่ของ ก.ต.เป็นผู้ตรวจสอบ ซึ่งผู้พิพากษาอาวุโสคนดังกล่าว มีความสนิทสนมกับครอบครัวของนายชูวงษ์มานาน ต้องไปถามครอบครัวนายชูวงษ์เองว่าเกี่ยวข้องกันอย่างไร ตนก็เคยพบและพูดคุยกับผู้พิพากษาอาวุโสท่านนี้ที่บริษัทของนายชูวงษ์หลายครั้ง และการยื่นหนังสือในครั้งนี้ ก็ไม่กลัวว่าจะถูกฟ้องกลับ เพราะมั่นใจในพยานหลักฐาน หากตนไม่มีพยานหลักฐานก็คงไม่มา
***ไม่กลัวถูกออกหมายจับ
พ.ต.ท.บรรยินกล่าวว่า กรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะขอศาลออกหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้องในการโอนหุ้นของนายชูวงษ์ก่อนเสียชีวิตนั้น ตนไม่ได้กลัวการถูกออกหมายจับ เพราะความจริงที่ออกมาก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง และเห็นว่าการจะออกหมายจับใครได้ต้องมีพยานหลักฐานเพียงพอ ถ้าพยานหลักฐานเพียงพอ ตนเชื่อว่าคงดำเนินการ ก็แล้วแต่พยานหลักฐานของพนักงานสอบสวน แต่จะออกหมายจับใครบ้างต้องไปตามที่พนักงานสอบสวน แต่จะต้องทำคดีให้ชัดเจน เพราะถ้าไม่ชัดเจนหรือทำตามกระแสอย่างเดียว ผลสะท้อนย่อมกลับไปที่พนักงานสอบสวนแน่นอน หรืออาจจะถูกฟ้องร้องได้เช่นเดียวกัน
"ไปดูภาพจากกล้องวงจรปิดที่บริษัทครอบครัวนายชูวงษ์ ก็จะทราบว่าเป็นใคร ถ้าครอบครัวของนายชูวงษ์ยังไม่ลบภาพก็ขอให้นำมาเปิดเผย หรือจากภาพถ่ายในงานศพ ถ้าย้อนไปดูจะรู้ว่าเป็นใคร โดยหลังจากนี้ มีหนังม้วน 2 ที่จะนำออกมาเปิดเผยอีกว่าคนนั้นทำผิดอะไรบ้าง” นายบรรยินกล่าว
***ยันหลังเกิดเหตุไม่ได้เปลี่ยนสภาพรถ
ผู้สื่อข่าวถามประเด็นข้อสังเกตเกี่ยวกับการเสียชีวิตของนายชูวงษ์ ที่ พ.ต.ท.บรรยิน ได้ทำการเคลื่อนย้ายรถยนต์ในวันที่เกิดเหตุ พ.ต.ท.บรรยินกล่าวว่า เหตุผล คือ วันดังกล่าว พนักงานสอบสวนแจ้งว่าได้ทำการตรวจหลักฐานรถยนต์ที่เกิดเหตุเรียบร้อยแล้ว ตนก็ให้บริษัทเอารถยกไปยก แต่ไม่ทันไร พนักงานสอบสวนก็แจ้งว่านายสั่งให้มาตรวจให้ละเอียด โดยยืนยันว่าตนหรืออู่ซ่อมรถยังไม่ได้ทำอะไร หรือเปลี่ยนแปลงสภาพรถยนต์ที่เกิดเหตุแต่อย่างใด
เมื่อถามว่า ญาติของนายชูวงษ์ก็ยื่นเรื่องร้องเรียนในหลายพื้นที่ ส่วนตัวเป็นกังวลหรือไม่ พ.ต.ท.บรรยินกล่าวว่า ไม่กังวล เพราะความจริงก็มีหลักฐานชัดเจนอยู่แล้วซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
***ผบ.ตร.สั่งสอบเพิ่มอีก10ประเด็น
ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.ชาญเทพ เสสะเวช รอง ผบช.น. กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีการเสียชีวิตของนายชูวงษ์ ว่า พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้สั่งการให้พนักงานสอบสวน สน.อุดมสุข ไปสอบสวนประเด็นสาเหตุการตายเพิ่มเติมอีก 10 ประเด็น เป็นเรื่องทางเทคนิคและประเด็นอื่นๆ ที่เคยสอบสวนไปแล้ว และประเด็นใหม่เพิ่มเติม รวมถึงจะมีการเรียกพยานมาสอบสวนเพิ่มเติมในประเด็นที่ยังไม่สิ้นสงสัย ทั้งนี้ ได้พยายามเร่งรัดให้คดีเสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด
ส่วนการสรุปสาเหตุการเสียชีวิตนั้น ยังไม่สามารถทำได้ ยังคงตั้งข้อหาเดิมต่อ พ.ต.ท.บรรยิน ว่า ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย โดยคาดว่าในเร็วๆ นี้ จะสามารถสรุปสาเหตุการเสียชีวิตได้ เพราะยังเหลือสอบปากคำพยาน อีกด้านประเด็นการโอนหุ้น ก็ได้มีการประสานงานกับทางกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ประเด็นที่ต้องสอบสวนเพิ่มเติมตามคำสั่งของ ผบ.ตร. เช่น การสอบชาวบ้านในละแวกนั้น , ทำไมคนตายตาเขียว ไม่มีรอยกระแทก มันเกิดจากอะไรได้บ้าง
***"สมยศ"ลั่นไม่ปกป้องผิดว่าตามผิด
พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า พนักงานสอบสวนเตรียมเสนอศาลออกหมายจับ พ.ต.ท.บรรยิน หลังพบพิรุธการโอนหุ้นของนายชูวงษ์ ว่า ขณะนี้ขอเวลาให้ตำรวจทำงานก่อน และตนได้พูดไปแล้วว่าตำรวจพบความผิดปกติเรื่องการโอนหุ้น และมีหลักฐานเพียงพอที่จะสามารถดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องได้ จึงได้สั่งการให้พนักงานสอบสวนรวบรวมข้อมูล และพยานหลักฐานให้ครบถ้วน ก่อนที่จะขออนุมัติต่อศาลเพื่อออกหมายจับ เพราะหากพยานหลักฐานไม่เพียงพออาจเกิดความเสียหาย เกิดข้อครหาต่อตำรวจได้ แต่ตนยืนยันว่า ข้อมูลหลักฐานที่พนักงานสอบสวนของทางกองปราบ นำมาชี้แจงต่อที่ประชุม สามารถนำมาดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องได้
ส่วนกรณีที่ทางครอบครัวนายชูวงษ์ นำผลการตรวจพิสูจน์ศพไปให้แพทยสภาตรวจอีกครั้งนั้น ตนได้ย้ำกับพนักงานสอบสวน สน.อุดมสุข และตำรวจนครบาล ว่า จะต้องทำทุกอย่างให้ครบถ้วนจบสิ้นกระบวนการ นี่คือเหตุผลที่ยังไม่สามารถสรุปสำนวนได้ต้องสอบสวนเพิ่มเติม โดยมีตำรวจหลายหน่วยงานร่วมทำคดีนี้ ทั้งนครบาล กองปราบปราม กองพิสูจน์หลักฐานกลาง และนิติเวช
"ผมได้ย้ำพนักงานสอบสวน และเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องให้หาพยานหลักฐานให้ชัดเจน โดยไม่ต้องรีบร้อนในการสรุปสำนวน จนกว่าจะมั่นใจว่าไม่ได้เป็นการใส่ร้ายป้ายสี จึงค่อยขออนุมัติต่อศาลออกหมายจับ ใครบอกให้รีบอย่าเชื่อ ต้องทำให้ถึงที่สุดก่อน"
พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ส่วนประเด็นใดไม่ต้องกับข้อมูลของทางครอบครัว หรือญาตินายชูวงษ์ ก็สามารถไปฟ้องร้องต่อศาลได้ แต่ในส่วนตำรวจพบหลักฐานเท่านี้ และทำเต็มที่แล้ว ขอให้ไว้ใจเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าเป็นมืออาชีพ ไม่คิดจะช่วยเหลือใคร แม้ พ.ต.ท.บรรยิน จะเป็นตำรวจ เราไม่ยอมนำเกียรติยศชื่อเสียงของตำรวจทั้งประเทศไปปกป้องคนๆ หนึ่ง มันเป็นไปไม่ได้ แต่หากไม่พบพยานหลักฐานว่าเขาผิดก็ต้องให้ความเป็นธรรมแก่เขาด้วย อย่าคิดไปเอง ต้องคิดตามหลักฐาน
***"บรรยิน"ร่ำไห้ออกสื่อขอโทษลูกเมียชูวงษ์
วันเดียวกันนี้ พ.ต.ท.บรรยิน ได้ออกรายการชุมชนคนชอบช่วยทางเนชั่นทีวี โดยได้ยืนยันว่า มีความสนิทสนมกับนายชูวงษ์ กินเที่ยวด้วยกัน และเมื่อตกลงเล่นหุ้น จึงชวนกันไปเรียนที่สถาบันวิทยาการตลาดทุน (วตท.) รุ่นที่ 20 และยังวางแผนเรื่องการเมือง เตรียมทุนไว้ 5 พันล้าน เพื่อตั้งพรรคการเมือง รวมทั้งได้ร่วมทุนทำธุรกิจซื้อที่ดิน
โดยในเรื่องการเล่นหุ้น มีการชักชวนเพื่อนที่อบรมด้วยกัน ให้ลงทุนเล่นหุ้น ใช้ 2 โบรกเกอร์ มีมูลค่ากว่า 500 ล้าน และกรณีที่ตำรวจกำลังออกหมายจับคนปลอมเอกสารโอนหุ้น ตำรวจกำลังหลงประเด็น ใครปลอม ปลอมอย่างไร ปลอมเมื่อไร เพราะการโอนหุ้น โบรกเกอร์ต้องรีเช็กกลับมายังเจ้าของหุ้น เพื่อยืนยันความถูกต้อง ส่วนหญิงสาว 2 คนที่นายชูวงษ์โอนหุ้นให้ ตอบเลยว่ารู้จัก
ส่วนเรื่องอุบัติเหตุ พ.ต.ท.บรรยิน ได้ยืนยันเหมือนที่ผ่านมาๆ ว่า หลังจากกินเลี้ยงแล้ว ตอบกลับ รถเกิดอุบัติเหตุ ตัวเองสลบ ตื่นมาตอนคนเคาะกระจก ก็พยายามช่วย
สุดท้าย พ.ต.ท.บรรยิน ได้ร้องไห้ และกล่าวทิ้งท้ายว่า "ต้องขอโทษลูกกับเมีย และครอบครัวของชูวงษ์ อีกครั้ง ที่ต้องปกปิดความลับเรื่องผู้หญิง มันจำเป็น เพราะเขาเป็นเพื่อนรัก มีพระคุณกับเขามากมาย ผมไม่เคยถือโทษโกรธเคืองครอบครัวของคุณชูวงษ์ เขาจะเป็นเพื่อนรักของผมตลอดไป ผมพร้อมสู้ทุกข้อหาหากถูกดำเนินคดี เชื่อในความบริสุทธิ์ พร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.00 น. วานนี้ (6 ส.ค.) ที่กองปราบปราม นางวันเพ็ญ ธนธรมมศิริ พี่สาวของนายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง นักธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง เดินทางมาพร้อมนายเอนก คำชุ่ม ทนายความ นำหลักฐานเกี่ยวกับการโอนหุ้นของนายชูวงษ์ก่อนเสียชีวิตที่เชื่อว่าถูกปลอมมามอบให้พนักงานสอบสวนกองปราบปรามเพิ่มเติม
นายอเนกกล่าวว่า หลังจากครอบครัวของนายชูวงษ์ได้ยื่นหนังสือถึงแพทยสภา เพื่อให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงการเสียชีวิตของนายชูวงษ์ เนื่องจากผลการตรวจของนิติเวชไม่ได้ชี้ชัดถึงสาเหตุการเสียชีวิต ระบุเพียงว่าถูกของแข็งกระแทก จึงต้องการผลตรวจสอบจากหลายหน่วยงานเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน เพื่อคลายข้อสงสัยของครอบครัวผู้ตาย
ทั้งนี้ ทางครอบครัวตรวจสอบพบว่าในรายงานการตรวจศพของสถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ เบื้องต้นมีการระบุเดือนที่ส่งศพของนายชูวงษ์ผิดจากวันที่ 26 มิ.ย.2558 แต่ทางนิติเวชลงวันที่ 26 ก.ค.2558 เชื่อว่าอาจจะพิมพ์ผิดเท่านั้น แต่ก็ทราบว่ามีการแก้ไขในตัวเอกสารนี้แล้ว ตรงนี้ไม่ได้ติดใจอะไร
ส่วนกรณีพ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีต รมช.พาณิชย์ จะไปยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม เพื่อให้ตรวจสอบ โดยอ้างว่ามีผู้พิพากษาเข้ามาเกี่ยวข้องนั้น โดยส่วนตัวยืนยันว่าไม่มีผู้พิพากษาเข้ามาเกี่ยวข้อง และขณะนี้คดียังอยู่ในชั้นพนักงานสอบสวน ไม่มีอำนาจใดก้าวล่วงได้
***มั่นใจหลักฐานนำไปสู่การออกหมายจับ
นายอเนกกล่าวต่อว่า ในส่วนของการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการออกหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้องนั้น ตนเห็นว่าเป็นไปตามพยานหลักฐานว่าเชื่อมโยงใครกระทำความผิดบ้าง ซึ่งเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนกองปราบปรามและไม่ขอออกความเห็น
ผู้สื่อข่าวถามว่า หลักฐานที่เตรียมมาสามารถนำไปเชื่อมโยงกับผู้ที่กำลังจะถูกออกหมายจับหรือไม่ นายอเนกกล่าวว่า ตนเชื่อว่าในเบื้องต้นคดีมีมูลเพียงพอ พนักงานสอบสวนสามารถที่จะดำเนินการตามกฎหมายได้ อีกทั้งที่ผ่านมา ไม่เคยกดดันทางเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในส่วนของท้องที่และกองปราบปราม เพียงแต่ให้ความร่วมมือกับพนักงานสอบสวน ในเรื่องของการเข้าให้ปากคำพยานบุคคลหรือเอกสารหลักฐาน
"เราเชื่อมั่นตำรวจมาตั้งแต่ต้นแล้ว ไม่ใช่ว่ามีการออกหมายจับแล้ว จะมาเชื่อมั่นการทำงาน ขอชมเชยเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในส่วนของ สน.อุดมสุข กองปราบปราม และผู้บังคับบัญชาทุกท่านที่เห็นความสำคัญของคดีนี้ รวมทั้งเอาใจใส่ทุกอย่างเป็นไปตามพยานหลักฐาน"นายอเนกกล่าว
***พี่สาวยังข้องใจสาเหตุการเสียชีวิต
นางวันเพ็ญ ธนธรรมสิริ กล่าวถึงกรณีที่มีการออกหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้องว่า โดยส่วนตัวไม่มีความเห็นอะไรในเรื่องของการที่จะมีการออกหมายจับ อยู่ที่ตำรวจได้หลักฐานเพียงพอหรือไม่ เป็นเรื่องของทางพนักงานสอบสวนมากกว่า คงไม่ขอออกความเห็น เพียงแต่ว่าทางเรามีข้อข้องใจสาเหตุการเสียชีวิต ก็มาร้องเรียนให้สอบสวน หากสอบสวนแล้วได้ความประการใดไม่ขอออกความเห็น เป็นเรื่องของทางพนักงานสอบสวน
***ออกหมายจับสัปดาห์หน้ามีมากว่า2คน
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมอีกว่า ขณะนี้ทางพนักงานสอบสวนกองปราบปรามอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อเตรียมขอศาลออกหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการโอนหุ้นของนายชูวงษ์ หลังการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานพบว่า การโอนหุ้นทั้ง 2 ครั้งก่อนที่นายชูวงษ์จะเสียชีวิต ให้แก่ น.ส.กัญฐณา ศิวาธนพล แคดดี้และพริตตี้สาว และ น.ส.อุรชา วชิรกุลฑล เจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดบริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด ซึ่งมีความผิดปกติ แก้ไขสาระสำคัญในเอกสารการโอนหุ้นหลายอย่างนั้น
ภายในสัปดาห์นี้ ทางพนักงานสอบสวนจะเชิญพยานบุคคล ซึ่งเป็นโบรกเกอร์ที่ดูแลหุ้นของนายชูวงษ์มาทำการสอบปากคำอีกครั้ง และรอผลตรวจยืนยันอย่างเป็นทางการจากกองพิสูจน์หลักฐานเกี่ยวกับเอกสารการโอนหุ้น เบื้องต้นพบว่ามีผู้เกี่ยวข้องมากกว่า 2 ราย คาดว่าจะสามารถขอศาลออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องได้ภายในสัปดาห์หน้า
พ.ต.อ.จิรภพ ภูริเดช ผู้กำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม กล่าวว่า การสืบสวนความผิดปกติในการโอนหุ้นให้ 2 สาวคนสนิทรวมเกือบ 300 ล้าน มีความคืบหน้าไปกว่า 90% เหลือเพียงการรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อให้เพียงพอต่อการออกหมายจับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยคาดว่าจะออกหมายจับได้สัปดาห์หน้า แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะอาจกระทบต่อรูปคดี และขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล
***"บรรยิน"ร้องก.ต.สอบผู้พิพากษา
เมื่อเวลา 13.00 น. ที่ศาลฎีกา ถ.แจ้งวัฒนะ พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีต ส.ส.นครสวรรค์ และอดีต รมช.พาณิชย์ ได้เดินทางไปเพื่อยื่นหนังสือต่อประธานคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) ขอให้ตรวจสอบจริยธรรมและการทำหน้าที่ของผู้พิพากษาอาวุโสท่านหนึ่ง เนื่องจากเชื่อว่ามีการให้คำปรึกษาข้อกฎหมายเกี่ยวกับการเสียชีวิตของนายชูวงษ์ โดยมีนายอิทธิ มุสิกะพงษ์ รองเลขาธิการประธานศาลฎีกา เป็นผู้รับหนังสือ เพื่อเสนอให้ประธานศาลฎีกาต่อไป
นายบรรยินกล่าวว่า ได้มายื่นหนังสือเพื่อให้ตรวจสอบจริยธรรม การประพฤติตนที่ไม่เหมาะสมของผู้พิพากษาอาวุโสท่านหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวร้องเรียนของญาตินายชูวงษ์ โดยมีพยานบุคคล แต่ยังไม่ขอเปิดเผยข้อมูล ให้เป็นหน้าที่ของ ก.ต.เป็นผู้ตรวจสอบ ซึ่งผู้พิพากษาอาวุโสคนดังกล่าว มีความสนิทสนมกับครอบครัวของนายชูวงษ์มานาน ต้องไปถามครอบครัวนายชูวงษ์เองว่าเกี่ยวข้องกันอย่างไร ตนก็เคยพบและพูดคุยกับผู้พิพากษาอาวุโสท่านนี้ที่บริษัทของนายชูวงษ์หลายครั้ง และการยื่นหนังสือในครั้งนี้ ก็ไม่กลัวว่าจะถูกฟ้องกลับ เพราะมั่นใจในพยานหลักฐาน หากตนไม่มีพยานหลักฐานก็คงไม่มา
***ไม่กลัวถูกออกหมายจับ
พ.ต.ท.บรรยินกล่าวว่า กรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะขอศาลออกหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้องในการโอนหุ้นของนายชูวงษ์ก่อนเสียชีวิตนั้น ตนไม่ได้กลัวการถูกออกหมายจับ เพราะความจริงที่ออกมาก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง และเห็นว่าการจะออกหมายจับใครได้ต้องมีพยานหลักฐานเพียงพอ ถ้าพยานหลักฐานเพียงพอ ตนเชื่อว่าคงดำเนินการ ก็แล้วแต่พยานหลักฐานของพนักงานสอบสวน แต่จะออกหมายจับใครบ้างต้องไปตามที่พนักงานสอบสวน แต่จะต้องทำคดีให้ชัดเจน เพราะถ้าไม่ชัดเจนหรือทำตามกระแสอย่างเดียว ผลสะท้อนย่อมกลับไปที่พนักงานสอบสวนแน่นอน หรืออาจจะถูกฟ้องร้องได้เช่นเดียวกัน
"ไปดูภาพจากกล้องวงจรปิดที่บริษัทครอบครัวนายชูวงษ์ ก็จะทราบว่าเป็นใคร ถ้าครอบครัวของนายชูวงษ์ยังไม่ลบภาพก็ขอให้นำมาเปิดเผย หรือจากภาพถ่ายในงานศพ ถ้าย้อนไปดูจะรู้ว่าเป็นใคร โดยหลังจากนี้ มีหนังม้วน 2 ที่จะนำออกมาเปิดเผยอีกว่าคนนั้นทำผิดอะไรบ้าง” นายบรรยินกล่าว
***ยันหลังเกิดเหตุไม่ได้เปลี่ยนสภาพรถ
ผู้สื่อข่าวถามประเด็นข้อสังเกตเกี่ยวกับการเสียชีวิตของนายชูวงษ์ ที่ พ.ต.ท.บรรยิน ได้ทำการเคลื่อนย้ายรถยนต์ในวันที่เกิดเหตุ พ.ต.ท.บรรยินกล่าวว่า เหตุผล คือ วันดังกล่าว พนักงานสอบสวนแจ้งว่าได้ทำการตรวจหลักฐานรถยนต์ที่เกิดเหตุเรียบร้อยแล้ว ตนก็ให้บริษัทเอารถยกไปยก แต่ไม่ทันไร พนักงานสอบสวนก็แจ้งว่านายสั่งให้มาตรวจให้ละเอียด โดยยืนยันว่าตนหรืออู่ซ่อมรถยังไม่ได้ทำอะไร หรือเปลี่ยนแปลงสภาพรถยนต์ที่เกิดเหตุแต่อย่างใด
เมื่อถามว่า ญาติของนายชูวงษ์ก็ยื่นเรื่องร้องเรียนในหลายพื้นที่ ส่วนตัวเป็นกังวลหรือไม่ พ.ต.ท.บรรยินกล่าวว่า ไม่กังวล เพราะความจริงก็มีหลักฐานชัดเจนอยู่แล้วซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
***ผบ.ตร.สั่งสอบเพิ่มอีก10ประเด็น
ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.ชาญเทพ เสสะเวช รอง ผบช.น. กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีการเสียชีวิตของนายชูวงษ์ ว่า พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้สั่งการให้พนักงานสอบสวน สน.อุดมสุข ไปสอบสวนประเด็นสาเหตุการตายเพิ่มเติมอีก 10 ประเด็น เป็นเรื่องทางเทคนิคและประเด็นอื่นๆ ที่เคยสอบสวนไปแล้ว และประเด็นใหม่เพิ่มเติม รวมถึงจะมีการเรียกพยานมาสอบสวนเพิ่มเติมในประเด็นที่ยังไม่สิ้นสงสัย ทั้งนี้ ได้พยายามเร่งรัดให้คดีเสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด
ส่วนการสรุปสาเหตุการเสียชีวิตนั้น ยังไม่สามารถทำได้ ยังคงตั้งข้อหาเดิมต่อ พ.ต.ท.บรรยิน ว่า ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย โดยคาดว่าในเร็วๆ นี้ จะสามารถสรุปสาเหตุการเสียชีวิตได้ เพราะยังเหลือสอบปากคำพยาน อีกด้านประเด็นการโอนหุ้น ก็ได้มีการประสานงานกับทางกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ประเด็นที่ต้องสอบสวนเพิ่มเติมตามคำสั่งของ ผบ.ตร. เช่น การสอบชาวบ้านในละแวกนั้น , ทำไมคนตายตาเขียว ไม่มีรอยกระแทก มันเกิดจากอะไรได้บ้าง
***"สมยศ"ลั่นไม่ปกป้องผิดว่าตามผิด
พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า พนักงานสอบสวนเตรียมเสนอศาลออกหมายจับ พ.ต.ท.บรรยิน หลังพบพิรุธการโอนหุ้นของนายชูวงษ์ ว่า ขณะนี้ขอเวลาให้ตำรวจทำงานก่อน และตนได้พูดไปแล้วว่าตำรวจพบความผิดปกติเรื่องการโอนหุ้น และมีหลักฐานเพียงพอที่จะสามารถดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องได้ จึงได้สั่งการให้พนักงานสอบสวนรวบรวมข้อมูล และพยานหลักฐานให้ครบถ้วน ก่อนที่จะขออนุมัติต่อศาลเพื่อออกหมายจับ เพราะหากพยานหลักฐานไม่เพียงพออาจเกิดความเสียหาย เกิดข้อครหาต่อตำรวจได้ แต่ตนยืนยันว่า ข้อมูลหลักฐานที่พนักงานสอบสวนของทางกองปราบ นำมาชี้แจงต่อที่ประชุม สามารถนำมาดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องได้
ส่วนกรณีที่ทางครอบครัวนายชูวงษ์ นำผลการตรวจพิสูจน์ศพไปให้แพทยสภาตรวจอีกครั้งนั้น ตนได้ย้ำกับพนักงานสอบสวน สน.อุดมสุข และตำรวจนครบาล ว่า จะต้องทำทุกอย่างให้ครบถ้วนจบสิ้นกระบวนการ นี่คือเหตุผลที่ยังไม่สามารถสรุปสำนวนได้ต้องสอบสวนเพิ่มเติม โดยมีตำรวจหลายหน่วยงานร่วมทำคดีนี้ ทั้งนครบาล กองปราบปราม กองพิสูจน์หลักฐานกลาง และนิติเวช
"ผมได้ย้ำพนักงานสอบสวน และเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องให้หาพยานหลักฐานให้ชัดเจน โดยไม่ต้องรีบร้อนในการสรุปสำนวน จนกว่าจะมั่นใจว่าไม่ได้เป็นการใส่ร้ายป้ายสี จึงค่อยขออนุมัติต่อศาลออกหมายจับ ใครบอกให้รีบอย่าเชื่อ ต้องทำให้ถึงที่สุดก่อน"
พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ส่วนประเด็นใดไม่ต้องกับข้อมูลของทางครอบครัว หรือญาตินายชูวงษ์ ก็สามารถไปฟ้องร้องต่อศาลได้ แต่ในส่วนตำรวจพบหลักฐานเท่านี้ และทำเต็มที่แล้ว ขอให้ไว้ใจเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าเป็นมืออาชีพ ไม่คิดจะช่วยเหลือใคร แม้ พ.ต.ท.บรรยิน จะเป็นตำรวจ เราไม่ยอมนำเกียรติยศชื่อเสียงของตำรวจทั้งประเทศไปปกป้องคนๆ หนึ่ง มันเป็นไปไม่ได้ แต่หากไม่พบพยานหลักฐานว่าเขาผิดก็ต้องให้ความเป็นธรรมแก่เขาด้วย อย่าคิดไปเอง ต้องคิดตามหลักฐาน
***"บรรยิน"ร่ำไห้ออกสื่อขอโทษลูกเมียชูวงษ์
วันเดียวกันนี้ พ.ต.ท.บรรยิน ได้ออกรายการชุมชนคนชอบช่วยทางเนชั่นทีวี โดยได้ยืนยันว่า มีความสนิทสนมกับนายชูวงษ์ กินเที่ยวด้วยกัน และเมื่อตกลงเล่นหุ้น จึงชวนกันไปเรียนที่สถาบันวิทยาการตลาดทุน (วตท.) รุ่นที่ 20 และยังวางแผนเรื่องการเมือง เตรียมทุนไว้ 5 พันล้าน เพื่อตั้งพรรคการเมือง รวมทั้งได้ร่วมทุนทำธุรกิจซื้อที่ดิน
โดยในเรื่องการเล่นหุ้น มีการชักชวนเพื่อนที่อบรมด้วยกัน ให้ลงทุนเล่นหุ้น ใช้ 2 โบรกเกอร์ มีมูลค่ากว่า 500 ล้าน และกรณีที่ตำรวจกำลังออกหมายจับคนปลอมเอกสารโอนหุ้น ตำรวจกำลังหลงประเด็น ใครปลอม ปลอมอย่างไร ปลอมเมื่อไร เพราะการโอนหุ้น โบรกเกอร์ต้องรีเช็กกลับมายังเจ้าของหุ้น เพื่อยืนยันความถูกต้อง ส่วนหญิงสาว 2 คนที่นายชูวงษ์โอนหุ้นให้ ตอบเลยว่ารู้จัก
ส่วนเรื่องอุบัติเหตุ พ.ต.ท.บรรยิน ได้ยืนยันเหมือนที่ผ่านมาๆ ว่า หลังจากกินเลี้ยงแล้ว ตอบกลับ รถเกิดอุบัติเหตุ ตัวเองสลบ ตื่นมาตอนคนเคาะกระจก ก็พยายามช่วย
สุดท้าย พ.ต.ท.บรรยิน ได้ร้องไห้ และกล่าวทิ้งท้ายว่า "ต้องขอโทษลูกกับเมีย และครอบครัวของชูวงษ์ อีกครั้ง ที่ต้องปกปิดความลับเรื่องผู้หญิง มันจำเป็น เพราะเขาเป็นเพื่อนรัก มีพระคุณกับเขามากมาย ผมไม่เคยถือโทษโกรธเคืองครอบครัวของคุณชูวงษ์ เขาจะเป็นเพื่อนรักของผมตลอดไป ผมพร้อมสู้ทุกข้อหาหากถูกดำเนินคดี เชื่อในความบริสุทธิ์ พร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม”