ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -จริงๆ แล้ว ไม่ใช่เรื่องที่ต้องน่าแปลกใจอะไรสำหรับการที่ “บิ๊กแจ๊ด-พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง” อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาลจะรอดคุกรอดตะรางจากข้อหาพกพาอาวุธเข้าประเทศญี่ปุ่น
ในทางตรงกันข้าม ถ้าหาก พล.ต.ท.คำรณวิทย์ต้องถูกจับกุมคุมขังกลายเป็นนักโทษชายถึงจะเป็นเรื่องแปลก เพราะถ้าหากย้อนดูปฏิกิริยาจากรัฐไทย โดยเฉพาะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าง “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ที่มี “บิ๊กอ๊อด-พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” เป็นผู้บัญชาการ หรือ “กระทรวงการต่างประเทศ” ที่มี “พล.อ.ธนศักดิ์ ปฏิมาประกร” เป็นรัฐมนตรีว่าการ ก็จะเห็นว่า ทั้งสองหน่วยงานล้วนแล้วแต่ให้ความช่วยเหลือ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ในทุกวิถีทางอย่างสุดความสามารถ
เรียกว่าให้ความช่วยเหลือกันตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำเลยทีเดียว
แถมในวันที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์เดินทางถึงประเทศไทย ยังให้การต้อนรับราวกับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์เป็น “ฮีโร่” ทั้งๆ ที่นายตำรวจผู้นี้มีประจักษ์พยานในการทำความผิดที่ชัดแจ้งและสร้างความเสื่อมเสียให้กับรัฐไทยจนเป็นที่อับอายของชาวโลก ซึ่งไม่ต่างอะไรกับกรณี “เกรียนไทย” ที่ไปป่วน “นาซ่า” ระหว่างการถ่ายทอดสดยานอวกาศ “นิวฮอไรซอนส์” เข้าใกล้ดาวพลูโตที่ถูกโลกรุมประณามให้เป็นที่น่าอับอาย
ยิ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วยแล้ว ยิ่งเห็นได้ชัด เพราะทำตัวประหนึ่งเป็นโฆษกและสำนักงานทนายความส่วนตัวของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์เลยทีเดียว ไม่ว่ามีความเคลื่อนไหวอะไรออกมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติโดย พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะออกมาชี้แจงแถลงไขอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชรติ ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ชัดแจ้งว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์ขอความช่วยเหลือในเรื่องเอกสาร
ขณะที่ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก็ประกาศเสียงดังฟังชัดว่า กระทรวงได้เร่งให้ความช่วยเหลือโดยให้สถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงโตเกียว ประสานงานกับทางการญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด พร้อมยืนยันว่าจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่เช่นเดียวกับคนไทยคนอื่นที่ประสบปัญหาตกทุกข์ได้ยากในต่างแดน จะใช้ความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศเข้าพูดคุย
ไม่เพียงแต่กระทรวงการต่างประเทศเท่านั้น แต่การปล่อยตัว พล.ต.ท.คำรณวิทย์ครั้งนี้ยังเชื่อได้ว่าเชื่อมโยงกับการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) พร้อมคณะเดินทางเข้าร่วมประชุมผู้นำประเทศลุ่มน้ำโขงครั้งที่ 7 (7th Mekong-Japan Summit) ที่ประเทศญี่ปุ่นระหว่างวันที่ 3-4 กรกฎาคมที่ผ่านมา เพราะอีกไม่กี่วันถัดมา พล.อ.ธนะศักดิ์ก็ได้ประกาศท่าทีในการช่วยเหลือ พล.ต.ท.คำรณวิทย์อย่างเป็นทางการ
“ผมมีโอกาสได้หารือกับผู้ที่เกี่ยวข้องของญี่ปุ่นในเรื่องนี้ มีสัญญาณออกมาดี ถ้าทุกคนไม่พูดกันมาก งานกระทรวงก็จะง่ายขึ้น เชื่อว่าแนวโน้มข่าวจะไปทางที่ดี ข่าวดียังมีอยู่ ทุกคนเป็นคนไทยเราก็ดูแล ถ้าอัยการสูงสุดของญี่ปุ่นไม่ฟ้องก็ต้องช่วยเหลือกลับมา แต่ถ้าฟ้องก็ประกันช่วยเหลือกลับมาให้ได้”พล.อ.ธนะศักดิ์แสดงท่าทีชัดเจน
สอดรับกับสิ่งที่ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้สัมภาษณ์ตอกย้ำเมื่อตั้งโต๊ะแถลงข่าวเรื่องอัยการญี่ปุ่นสั่งไม่ฟ้อง พล.ต.ท.คำรณวิทย์ว่า “การที่อัยการญี่ปุ่นสั่งไม่ฟ้องครั้งนี้ เชื่อว่าส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะการประสานงานระหว่างประเทศระหว่างสถานทูตไทยในญี่ปุ่นและสถานทูตญี่ปุ่นในไทย รวมทั้งเจตนาของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ที่ได้ให้การไว้ตั้งแต่แรกว่า ไม่มีเจตนาพกพาอาวุธปืนขึ้นไปบนเครื่องบิน”
ชัดเสียยิ่งกว่าชัดว่า กระทรวงการต่างประเทศของ พล.อ.ธนะศักดิ์คือหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญคนหนึ่งในการช่วยเหลือ พล.ต.ท.คำรณวิทย์
เฉกเช่นเดียวกับ พล.ต.อ.สมยศที่กระดี๊กระด๊าดีใจออกนอกหน้าว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีกับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์และครอบครัว ในฐานะที่ท่านเป็นคนไทยคนหนึ่งและอดีตผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศที่จะต้องดูแลและให้ความช่วยเหลือคนไทยทุกคนที่เกิดปัญหาในต่างประเทศ
“สื่อบางฉบับที่นำเสนอว่าผมกระดี๊กระด๊าหรือออกหน้าออกตากรณีที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ได้รับการปล่อยตัวจากพนักงานอัยการญี่ปุ่นนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะผมอยู่ในฐานะนักกฎหมายหรือผู้รักษากฎหมายไม่ควรจะกระทำนั้น ผมอยากจะย้อนถามว่า ผมมีสิ่งใดหรือมีอะไรที่ควรจะทำมากกว่านี้หรือ จะให้ผมบอกว่าสมน้ำหน้า คำรณวิทย์มึงโง่ มึงเซ่อ อย่างนั้นหรือ ขอฝากไปถึง
สื่อที่เขียนถึงผมในเรื่องนี้ด้วย อย่าคับแคบ อย่ามีอคติ คนไทยด้วยกันไม่ว่าชาติไหนภาษาไหนต้องห่วงใยกัน เขาไปตกทุกข์ได้ยาก ผมแสดงความห่วงใย ผมผิดตรงไหนหรือ”พล.ต.อ.สมยศอารมณ์เสียใส่สื่อ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องย้อยถามกลับไปก็คือ คุ้มหรือไม่กับการประเทศไทยได้ใช้ความเป็นรัฐในการรับรองความบริสุทธิ์ของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ และถ้าเป็นประชาชนคนธรรมดาที่ไม่มียศ มีตำแหน่ง ไม่มีรุ่นพี่รุ่นน้อง ไม่มีสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้อง รัฐไทยจะให้ความช่วยเหลือหรือไม่
และถามว่า การให้ความช่วยเหลือ พล.ต.ทคำรณวิทย์ครั้งนี้ ประเทศไทยมีข้อแลกเปลี่ยนอะไรกับประเทศญี่ปุ่นหรือไม่ ถ้าไม่มีก็ดีไป แต่ถ้ามีก็ต้องเปิดเผยออกมาเพื่อให้คนทั้งชาติได้ตัดสินว่า การให้ความช่วยเหลือ พล.ต.ท.คำรณวิทย์นั้นคุ้มกับสิ่งที่ประเทศชาติและประชาชนต้องสูญเสียไปหรือไม่
และที่สำคัญคือ คิดบ้างหรือไม่ว่า คนญี่ปุ่นจะมองประเทศไทยอย่างไร เพราะถึงแม้ประเทศญี่ปุ่นจะเห็นแก่ความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศด้วยการสั่งไม่ฟ้อง แต่ก็ยังมีคำสั่งห้ามเข้าประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลา 1 ปี
ไม่รู้ว่าเพราะ “ระบบอุปถัมภ์” ที่ฝังรากลึกในหมู่คนมีสีใช่หรือไม่ ที่ทำให้ทุกคนพากันเดินมาไกลถึงจุดนี้
ร้ายไปกว่านั้นก็คือ เชื่อหัวไอ้เรืองได้เลยว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะไม่มีการสืบสาวราวเรื่องหรือดำเนินคดีกับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ หรือถ้าจะมีก็มีแบบเสียไม่ได้ เพราะพวกเขามีธงอยู่ในใจแล้วว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์บกพร่องโดยสุจริต
ณ บัดนี้ยังไม่เห็นปฏิกิริยาใดๆ จาก บริษัท การบินไทย จำกัด(มหาชน) และบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน)
ขณะที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ต้องจัดการสืบสาวราวเรื่องว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์นำ North American Arms .22 Magnums ขึ้นเครื่องบินไปได้นั้น เล็ดลอดไปจากการตรวจของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(สตม.) ได้อย่างไร
ที่สำคัญคือ นับตั้งแต่เกิดขึ้นจนถึงวินาทียังไม่ซุ่มเสียงใดๆ เล็ดลอดออกจากปากของ “บิ๊กดริ๊ง-พล.ต.ท.ศักดา ชื่นภักดี” ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง แม้แต่แอะเดียวเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.สมยศก็ไม่ได้สนใจที่จะตั้งกรรมการสอบเพื่อหาบทสรุปของเรื่องที่เกิดขึ้นแต่ประการใด
หรือเป็นเพราะ พล.ต.ท.ศักดาเคยเป็นอดีตนายเวรของ “พล.ต.อ.พัชรวาท วงศ์สุวรรณ” อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้เป็นเจ้านายเก่า และเป็นน้องชายของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เช่นนั้นหรือ
ดังนั้น การที่ พล.ต.อ.สมยศทนกระแสกดดันจากสังคมไม่ไหวและลงนามแต่งตั้ง “นวยนิ่ม-พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน” ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 1 มาตรวจสอบเรื่องนี้ ก็น่าจะรวมไปถึงการบกพร่องโดยสุจริตของ ตม.ด้วย เพราะงานนี้มีการตั้งข้อสันนิษฐานจากสังคมว่า “ปืนจิ๋ว” ของบิ๊กแจ๊ดนั้นจะมิได้ผ่านการตรวจในช่องทางปกติ หากแต่มีข้อสันนิษฐานว่า ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเป็นคนหิ้วเข้าไปให้
นี่เป็นความจริงที่ต้องทำให้กระจ่าง
รวมถึงต้องดำเนินคดีกับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์เพราะมีความผิดสำเร็จตาม พ.ร.บ.การเดินอากาศ พ.ศ.2497
เฉกเช่นเดียวกับบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) ที่จะต้องยกเครื่องระบบการตรวจสอบเสียใหม่ เพราะถ้า พล.ต.ท.คำรณวิทย์หิ้วกระเป๋าที่มีปืนขึ้นเครื่องไปโดยที่ ตม.มิได้อำนวยความสะดวกให้ ย่อมแสดงว่า ระบบของ ทอท.บรมห่วยและสมควรที่จะต้องแก้ไขปรับปรุงเป็นการใหญ่
ทำไมเครื่องซีทีเอ็กซ์ที่สนามบินนาริตะ ประเทศญี่ปุ่นจึงตรวจเจอ ขณะที่เครื่องซีทีเอ็กซ์ ณ สนามบินสุวรรณภูมิ ประเทศไทย มองไม่เห็น
หรือเป็นเพราะความบกพร่องของเจ้าหน้าที่ ทอท.เอง
และนับตั้งแต่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ถูกจับจนบัดนี้เรื่องก็มิได้มีความกระจ่างแต่ประการใด
อย่างไรก็ตาม เชื่อได้ว่า สุดท้ายเรื่องก็จะจบลงโดยไม่มีใครผิด และไม่มีใครต้องถูกลงโทษจากเหตุการณ์ครั้งนี้ โดยเฉพาะท่าทีของตำรวจ ซึ่ง พล.ต.ท.ประวุฒิให้สัมภาษณ์เอาไว้ชัดแจ้งว่า “ตำรวจจะยังไม่มีการอายัดตัวแต่อย่างใด เนื่องจากไม่พบความผิดในประเทศไทย”
พระเจ้าช่วยกล้วยทอด อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่กันเลยทีเดียว ทั้งๆ ที่นี่เป็นการกระทำความผิดที่ชัดแจ้งเพราะจำนนด้วยหลักฐาน เป็นความผิดที่สำเร็จแล้ว ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วรูปการก็คงดำเนินไปอีหรอบเดียวกับ คดีถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะถูกดองเอาไว้เป็นที่เรียบร้อย
แต่กระนั้นก็ดีต้องไม่ลืมว่า กรณีของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์นั้นได้ส่งผลต่อความเชื่อถือของระบบการดูแลรักษาความปลอดภัยของสนามบินสุวรรณภูมิในสายตาของนานาชาติอย่างเห็นได้ชัด เพราะการที่ปล่อยให้มีการนำอาวุธปืนออกนอกประเทศได้โดยที่กระทั่งบัดนี้ยังไม่รู้แน่ชัดว่า ผ่านออกไปได้อย่างไรในช่องทางไหนนั้น เป็นเรื่องที่ต้องให้คำตอบกับชาวโลก
ถ้าประเทศไทยไม่จัดการเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา เชื่อว่า ปัญหาจะเกิดขึ้นแน่นอน เพราะระบบการบินหรือระบบการตรวจสอบคนเข้าออกของทุกๆ ประเทศจะให้ความสำคัญกับ “ประเทศต้นทาง” เป็นสำคัญ
ถ้าประเทศต้นทางอย่างไทยมีปัญหา ต่อไปใครจะเชื่อถือประเทศไทย และใครจะรับผิดชอบกับภาพลักษณ์ที่สร้างความเสื่อมเสียให้กับมาตรฐานการบินไทยจนเป็นที่อับอายไปทั่วโลก
“งานนี้อย่าหูทวนลม และแกล้งเงียบ เดี๋ยวจะเข้าข่ายละเว้นผิด กม.157 จะซวยยกแผง ผมจะรอดูว่าเรื่องนี้จะหายไปในอากาศหรือจะมีคำตอบให้สังคม”นายสุริยะใส กตะศิลา รองคณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิตให้ความเห็น
ที่สำคัญคือ ถ้าสุดท้าย พล.ต.ท.คำรณวิทย์ไม่โดนตั้งข้อหาอะไร ก็ต้องยอมรับว่า สิ่งที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เคยประกาศเอาไว้ว่า “ใหญ่แค่ไหนก็จะจับ” เป็นเพียงวาทกรรมโก้หรูที่เน้นเพียงแค่การสร้างภาพเท่านั้น มิได้มีผลในทางปฏิบัติแต่ประการใด
ขณะเดียวกันสังคมก็จะต้องยกนิ้วซูฮกให้ พล.ต.ท.คำรณวิทย์เป็นกรณีพิเศษว่า “แจ๊ดใหญ่จริง” ส่วนจะใหญ่เพราะอะไร เพราะความเป็นตำรวจมีวันนี้เพราะพี่ให้หรือไม่ ไม่ทราบได้
ขนาดมีหลักฐานและประจักษ์พยานการกระทำผิดถึงขนาดนี้และอยู่ในยุคที่รัฐบาล คสช.ที่ต้องการปฏิรูปประเทศ ก็ยังสามารถลอยหน้าลอยตาอยู่ได้...
แต่เชื่อได้ว่า “บกพร่องโดยสุจริต” คือคำอธิบายที่ทุกหน่วยงานจะมีบทสรุปที่ตรงกันและไม่ถือสาหาความอะไรกับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์เหมือนเมื่อครั้งที่ลูกพี่ นช.ทักษิณ ชินวัตรต้องคดีซุกหุ้น ภาค 1 และจบลงด้วยคำๆ นี้เช่นกัน
เอ...ถ้าคนธรรมดาเดินดินพกปืนขึ้นไปบนเครื่องบินแล้วถูกจับ จะมีโอกาสได้ใช้คำว่า “บกพร่องโดยสุจริต” เหมือน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่างบ้างหรือไม่
....ตำรวจไทยช่วยตอบที