สำหรับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ความจริงแล้วพันธมิตประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไม่ได้เคยช่วยรณรงค์ฉบับนี้ให้ประชาชนมีความเห็นเป็นอย่างไร เพราะเห็นว่าความจริงแล้วรัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังไม่ใช่คำตอบในการปฏิรูปประเทศอย่างแท้จริง ในขณะอีกด้านหนึ่งหากประเทศนี้ต้องมีการปฏิรูปครั้งใหญ่แล้วก็อาจจะต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเสียด้วยซ้ำไป
แต่ที่ผ่านมา พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ต่อสู้ในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญฉบับนี้หรือคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็ด้วยเหตุผล 2 ประการสำคัญคือ
ประการแรกรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ผ่านความเห็นชอบโดยการลงประชามติเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย ดังนั้น ถ้าจะมีการล้มเลิกรัฐธรรมนูญฉบับนี้ด้วยมือของนักการเมืองกันเอง ย่อมไม่สามารถตอบคำถามในกระบวนการประชาธิปไตยที่มีประชาชนได้ลงมติเห็นชอบรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้
ประการที่สอง เนื้อหาและความพยายามในการล้มล้างรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นมาในรอบหลายปีนั้น ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อประชาชน หากแต่มุ่งเน้นการเอื้อประโยชน์ให้กับนักการเมืองแต่เพียงอย่างเดียว เช่น ความพยายามทำให้นักการเมืองฝ่ายตัวเองมีประโยชน์ในอำนาจหรือการเลือกตั้งมากขึ้น ความพยายามทำให้การตรวจสอบอ่อนแอลงหรือถูกครอบงำจากฝ่ายตัวเองมากขึ้น ความพยายามในการลดบทลงโทษนักการเมืองให้น้อยลง หรือล้างความผิดในสิ่งที่นักการเมืองได้กระทำผิดกฎหมาย ซึ่งความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้นไม่เคยเป็นประโยชน์ต่อประชาชนแต่ประการใด
จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้นจึงกลายมาเป็นจุดยืนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาว่าหากจะมีการแก้ไขหรือร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้ว จะต้องทำประชามติขอความเห็นชอบจากประชาชนก่อนที่จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ดังปรากฏเป็นหลักฐานว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 7/25551 เมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2551 ในข้อที่ 2 ความตอนหนึ่งว่า
“ดังนั้น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และองค์กรเครือข่าย จึงยืนยันที่จะต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ฉ้อฉลในครั้งนี้ทุกรูปแบบ ตราบใดที่ไม่ได้มีการทำประชามติก่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้”
จุดยืนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไม่ได้เลือกปฏิบัติต่อฝ่ายรัฐบาลในระบอบทักษิณเท่านั้น แม้แต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็ได้เคยแถลงจุดยืนเดียวกันนี้ ดังปรากฏตามแถลงการณ์ของพันธมิตประชาชนเพื่อประชาธิปไตยฉบับที่ 12/2553 ลงวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 ความท้ายอีกด้วยว่า
“พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยังเรียกร้องมายังรัฐบาลที่จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ให้ดำเนินการโดยขอมติจากประชาชนก่อนการแก้ไข เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้มาจากการลงประชามติของประชาชนทั้งประเทศ”
จากจุดนี้เองเป็นที่มาของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ประกาศเพิ่มเติมถึง “เงื่อนไข” ที่จะเป็นเหตุทำให้เกิด “การชุมนุม” อีก 3 ประการ
1. เมื่อมีความชัดเจนว่ามีการแก้ไขกฎหมายหรือการตรากฎหมายเพื่อลดพระราชอำนาจ หรือลดโครงสร้างของสถาบันพระมหากษัตริย์
2. เมื่อมีความชัดเจนว่ามีการแก้ไขกฎหมายหรือการตรากฎหมายเพื่อล้างความผิดให้กับนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร และพวก
3. เมื่อประชาชนตื่นรู้และต้องการการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง หรือการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่
ดังนั้น ไม่ว่าจะใช้พิธีกรรมอย่างไร พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็จะดำรงเจตนารมณ์ดังที่ประกาศเอาไว้อย่างชัดเจน
แต่ความจริงในวันนี้รัฐบาลยิ่งลักษณ์อาจไม่ได้มีความวิตกกังวลในจุดยืนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่กำลังวิตกในปัญหาที่ไม่ว่าจะหันไปทางใดก็ล้วนแล้วแต่เจอ “กับดักทาง 3 แพร่ง” ที่รออยู่ข้างหน้ามากเสียยิ่งกว่า
ครั้นจะให้รัฐสภาลงมติวาระที่ 3 เพื่อเริ่มต้นในการฉีกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ก็คงจะต้องมีคนยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตีความซ้ำอีกที สมมติว่ามีคนยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความทันทีตามมาตรา 68 ถามว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งมีหน้าที่ในการยื่นทูลเกล้าฯ ให้ได้ภายใน 20 วัน ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 150 จะดำเนินการต่ออย่างไร?
ก. ตัดสินใจทูลเกล้าฯ ภายใน 20 วัน โดยยอมรับการเผชิญหน้าและข้อหาว่านำเรื่องมิบังควรที่มีความขัดแย้งว่าเป็นเรื่องที่ขัดต่อบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ และนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องยอมเสี่ยงร่วมเป็น “จำเลย” ในคดีที่กระทำผิดต่อรัฐธรรมนูญซึ่งมีโทษสูงสุดคือการยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิ์ในการเลือกตั้ง และคดีอาญาฐานล้มล้างรัฐธรรมนูญซึ่งมีความเสี่ยงที่มีโทษสูงสุดคือ “ประหารชีวิต”
ข. ตัดสินใจไม่ทูลเกล้าฯ ภายใน 20 วัน ก็จะเป็นการกระทำความผิดต่อบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญมาตรา 150 และทำให้กระบวนการเสนอกฎหมายฉบับดังกล่าวนี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญไปด้วย
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยอย่างไรในท้ายที่สุดหากมีการลงมติในวาระที่ 3 เอาแค่ตัวอย่างว่า หากมีการยื่นต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอีกรอบและสมมติกระบวนการพิจารณาของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลานานเกินกว่า 90 วัน (เพราะมีผู้ร้องหลายรายและพยานของแต่ละผู้ร้องมีเป็นจำนวนมาก) จะเกิดอะไรขึ้น?
สมมติว่าในระหว่างนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังไม่ทรงลงพระปรมาภิไธย จะไม่มีใครทราบเหตุผลที่แท้จริงได้ว่าทรงไม่เห็นด้วยจึงไม่ทรงลงพระปรมาภิไธย หรือยังไม่ทรงลงพระปรมาภิไธยเพราะทรงรอคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียก่อน แน่ใจหรือว่ารัฐบาลจะทนแรงกดดันนั้นได้!?
โดยเฉพาะแรงกดดันที่จะต้องมีคนเริ่มถามในวันนี้ว่า มันบังควรแล้วหรือที่เอาเรื่องที่รู้อยู่แล้วว่าจะมีความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว?
และตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 หากพ้นเวลา 90 วันแล้ว หากยังไม่มีการพระราชทานคืนพระราชบัญญัติกลับคืนมา รัฐสภาจะต้องปรึกษาร่างพระราชบัญญัตินั้นใหม่โดยทันที โดยคราวนี้จะยิ่งยากไปกว่าเดิม เพราะมาตรา 151 บัญญัติอีกด้วยว่า รัฐสภาจะต้องยืนยันตามเดิมด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้ง 2 สภา แน่ใจหรือว่าถึงเวลานั้นรัฐสภาจะผ่านเกณฑ์นี้ได้!?
ดังนั้น เรื่องข้ออ้างที่นักโทษชายทักษิณ ชินวัตรที่เพิ่งจะวิดีโอลิงก์ยอมหักแกนนำเสื้อแดงอ้างว่าจะมีเสียงในรัฐสภาไม่เพียงพอนั้น เป็นเพียงเรื่องที่มีแต่เด็กอมมือเท่านั้นที่จะเชื่อ
เพราะความจริงแล้วนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร อาจไม่พร้อมที่ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะเอาตัวเข้าไปเสี่ยงด้วย จึงให้ความสำคัญกับคนในครอบครัวให้มาก่อนอุดมการณ์และข้อเรียกร้องของเหล่าแกนนำเสื้อแดง และ นักการเมืองในบ้านเลขที่ 111
เพราะจะสังเกตให้ดี การเคลื่อนไหวให้ลงมติวาระที่ 3 ส่วนใหญ่ก็จะมีแต่แกนนำคนเสื้อแดงที่พลาดจากตำแหน่ง และคนในบ้านเลขที่ 111 ที่อยากนั่งตำแหน่งแทน ส.ส. และคณะรัฐมนตรีชุดนี้เต็มทีแล้ว จึงเร่งรัดจะให้ลงมติในวาระที่ 3 กันอย่างคึกคัก เพราะตัวเองไม่ได้ไปเสี่ยงคดีความด้วย หากได้รับชัยชนะก็แก้รัฐธรรมนูญได้ตัวเองก็ได้ประโยชน์ หากไม่สำเร็จการต่อสู้ของคนเสื้อแดงรอบใหม่ก็จะได้กำจัดคู่แข่งทางการเมืองในพรรคเพื่อไทยที่กำลังนั่งบริหารอยู่ในคณะรัฐมนตรีชุดนี้ไปด้วย
เพราะความรู้เท่าทันเช่นนี้ นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร จึงยอมฉีกหน้าแกนนำเสื้อแดงต่อหน้ามวลชนคนเสื้อแดง ให้เห็นและรู้ฤทธิ์ว่า “ครอบครัวชินวัตร” สำคัญเสียยิ่งกว่าข้อเรียกร้องของแกนนำคนเสื้อแดง ใครจะทำไม?
แต่ในที่สุด นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร จึงเลือกหนทางที่อ้างว่ามีโอกาสชนะ 60% !?
ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการลงประชามติ พ.ศ. 2552 ในมาตรา 9 บัญญัติชัดเจนว่า จะต้องมีคนมาใช้สิทธิ์เกิน 25 ล้านคน แต่เสียงของพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลบวกกับฝ่ายค้านในส่วนที่อยากแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างมากสุดก็อยู่ประมาณ 17-18 ล้านคน ยังขาดเสียงอยู่อีกประมาณ 7 ล้านคะแนน หากพรรคประชาธิปัตย์รณรงค์ให้คนไม่ไปใช้สิทธิ์ฐานเสียง 11 ล้านคนอาจหายวับไปกับสายตา จะรณรงค์ให้กับคนที่ไม่ได้เลือกฝ่ายค้านกับรัฐบาลชุดนี้หรือคนที่นอนหลับทับสิทธิ์ก็คงจะไม่ใช่เรื่องง่าย
ยิ่งเรื่องรัฐธรรมนูญถือว่าไกลตัว ไม่มีประชานิยม ไม่มีเดิมพันตำแหน่ง ส.ส. แรงจูงใจจะให้มีคนไปใช้สิทธิ์ยิ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ดูตัวอย่างการลงประชามติเห็นชอบรัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้ในปัจจุบันเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2550 มีคนมาลงประชามติทั้งสิ้น 25.98 ล้านคน จากจำนวนผู้มีสิทธิ์ออกเสียง 45.09 ล้านคนเท่านั้น และมีผู้ไม่ไปใช้สิทธิ์สูงถึง 19.11 ล้านคน
นั่นขนาดยังไม่ได้มีการรณรงค์ให้คนไม่ต้องไปใช้สิทธิ์ในการลงประชามติ!!?
ถึงแม้สมมติว่านักโทษชายทักษิณ ชินวัตร จะมีความมั่นใจ 60% เพราะคิดว่าหากมีการรณรงค์ให้ไปใช้สิทธิ์ จะทำให้วัดผลง่าย ซื้อเสียงง่าย เพราะไม่ต้องสนใจว่าเข้าคูหากากบาทในช่องใด แต่วัดผลว่า “มาใช้สิทธิ์” หรือ “ไม่มาใช้สิทธิ์” จึงสามารถวัดเป้าเป็นแรงกดดันให้ข้าราชการและนักการเมืองทำตามเป้าให้ได้ แต่เอาเข้าจริงก็ยังไม่ใช่เรื่องง่ายอีก เพราะเป็นตัวเลขจำนวน 6-7 ล้านคน ที่หวังจะได้จากคะแนนที่เหลือทั้งจากคนที่นอนหลับทับสิทธิ์เดิม 11-12 ล้านคน (ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา) หรือได้จากคนที่ไม่ได้เลือกขั้วการเมืองใดประมาณ 5 ล้านคน มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ความจริงแล้วก่อนจะไปไกลถึงวันลงประชามติได้ รัฐบาลก็คงจะต้องเผชิญกับปัญหาอีกมาก เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดให้ลงประชามติได้ในสิ่งที่ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญเสียเอง ดังนั้น การตั้งคำถามผิดถึงขั้นจะฉีกรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันก็อาจทำไม่ได้ ยังไม่นับว่าหากหวังจะนำไปเชื่อมโยงกับการลงประชามติวาระที่ 3 ของสมาชิกรัฐสภาซึ่งได้ทำผิดขั้นตอนไปแล้ว อาจทำไม่สำเร็จอีกเช่นกัน
เหลือเพียงอย่างเดียวที่ไม่อยากจะเดินทาง 2 แพร่ง แรกที่ดูจะมีความเสี่ยงสูงและเป็นไปได้ด้วยความยากลำบาก คงเหลือแต่ “ทางแพร่งที่ 3 คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา” ซึ่งถ้าเริ่มคิดเช่นนี้เมื่อไหร่ ก็ขอให้ตอบให้ได้ว่าประโยชน์และมาตราที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนหรือนักการเมืองกันแน่!?
เพราะถ้าเลือกแก้ไขมาตราเพื่อประโยชน์ของนักการเมืองด้วยกันเอง ก็ต้องให้พิจารณารัฐธรรมนูญมาตรา 122 ให้ดี ซึ่งบัญญัติเอาไว้ว่า :
“มาตรา 122 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยโดยไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติ มอบหมาย หรือความครอบงำใดๆ และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์”
การเมืองน้ำเน่าแบบนี้ จะเลือกนรกโดยใช้เส้นทางใดก็ขอให้สรุปกันเร็วๆหน่อย เพราะรอดูจนเมื่อยแล้วจริงๆ!!!
แต่ที่ผ่านมา พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ต่อสู้ในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญฉบับนี้หรือคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็ด้วยเหตุผล 2 ประการสำคัญคือ
ประการแรกรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ผ่านความเห็นชอบโดยการลงประชามติเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย ดังนั้น ถ้าจะมีการล้มเลิกรัฐธรรมนูญฉบับนี้ด้วยมือของนักการเมืองกันเอง ย่อมไม่สามารถตอบคำถามในกระบวนการประชาธิปไตยที่มีประชาชนได้ลงมติเห็นชอบรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้
ประการที่สอง เนื้อหาและความพยายามในการล้มล้างรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นมาในรอบหลายปีนั้น ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อประชาชน หากแต่มุ่งเน้นการเอื้อประโยชน์ให้กับนักการเมืองแต่เพียงอย่างเดียว เช่น ความพยายามทำให้นักการเมืองฝ่ายตัวเองมีประโยชน์ในอำนาจหรือการเลือกตั้งมากขึ้น ความพยายามทำให้การตรวจสอบอ่อนแอลงหรือถูกครอบงำจากฝ่ายตัวเองมากขึ้น ความพยายามในการลดบทลงโทษนักการเมืองให้น้อยลง หรือล้างความผิดในสิ่งที่นักการเมืองได้กระทำผิดกฎหมาย ซึ่งความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้นไม่เคยเป็นประโยชน์ต่อประชาชนแต่ประการใด
จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้นจึงกลายมาเป็นจุดยืนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาว่าหากจะมีการแก้ไขหรือร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้ว จะต้องทำประชามติขอความเห็นชอบจากประชาชนก่อนที่จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ดังปรากฏเป็นหลักฐานว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 7/25551 เมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2551 ในข้อที่ 2 ความตอนหนึ่งว่า
“ดังนั้น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และองค์กรเครือข่าย จึงยืนยันที่จะต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ฉ้อฉลในครั้งนี้ทุกรูปแบบ ตราบใดที่ไม่ได้มีการทำประชามติก่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้”
จุดยืนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไม่ได้เลือกปฏิบัติต่อฝ่ายรัฐบาลในระบอบทักษิณเท่านั้น แม้แต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็ได้เคยแถลงจุดยืนเดียวกันนี้ ดังปรากฏตามแถลงการณ์ของพันธมิตประชาชนเพื่อประชาธิปไตยฉบับที่ 12/2553 ลงวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 ความท้ายอีกด้วยว่า
“พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยังเรียกร้องมายังรัฐบาลที่จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ให้ดำเนินการโดยขอมติจากประชาชนก่อนการแก้ไข เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้มาจากการลงประชามติของประชาชนทั้งประเทศ”
จากจุดนี้เองเป็นที่มาของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ประกาศเพิ่มเติมถึง “เงื่อนไข” ที่จะเป็นเหตุทำให้เกิด “การชุมนุม” อีก 3 ประการ
1. เมื่อมีความชัดเจนว่ามีการแก้ไขกฎหมายหรือการตรากฎหมายเพื่อลดพระราชอำนาจ หรือลดโครงสร้างของสถาบันพระมหากษัตริย์
2. เมื่อมีความชัดเจนว่ามีการแก้ไขกฎหมายหรือการตรากฎหมายเพื่อล้างความผิดให้กับนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร และพวก
3. เมื่อประชาชนตื่นรู้และต้องการการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง หรือการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่
ดังนั้น ไม่ว่าจะใช้พิธีกรรมอย่างไร พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็จะดำรงเจตนารมณ์ดังที่ประกาศเอาไว้อย่างชัดเจน
แต่ความจริงในวันนี้รัฐบาลยิ่งลักษณ์อาจไม่ได้มีความวิตกกังวลในจุดยืนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่กำลังวิตกในปัญหาที่ไม่ว่าจะหันไปทางใดก็ล้วนแล้วแต่เจอ “กับดักทาง 3 แพร่ง” ที่รออยู่ข้างหน้ามากเสียยิ่งกว่า
ครั้นจะให้รัฐสภาลงมติวาระที่ 3 เพื่อเริ่มต้นในการฉีกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ก็คงจะต้องมีคนยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตีความซ้ำอีกที สมมติว่ามีคนยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความทันทีตามมาตรา 68 ถามว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งมีหน้าที่ในการยื่นทูลเกล้าฯ ให้ได้ภายใน 20 วัน ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 150 จะดำเนินการต่ออย่างไร?
ก. ตัดสินใจทูลเกล้าฯ ภายใน 20 วัน โดยยอมรับการเผชิญหน้าและข้อหาว่านำเรื่องมิบังควรที่มีความขัดแย้งว่าเป็นเรื่องที่ขัดต่อบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ และนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องยอมเสี่ยงร่วมเป็น “จำเลย” ในคดีที่กระทำผิดต่อรัฐธรรมนูญซึ่งมีโทษสูงสุดคือการยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิ์ในการเลือกตั้ง และคดีอาญาฐานล้มล้างรัฐธรรมนูญซึ่งมีความเสี่ยงที่มีโทษสูงสุดคือ “ประหารชีวิต”
ข. ตัดสินใจไม่ทูลเกล้าฯ ภายใน 20 วัน ก็จะเป็นการกระทำความผิดต่อบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญมาตรา 150 และทำให้กระบวนการเสนอกฎหมายฉบับดังกล่าวนี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญไปด้วย
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยอย่างไรในท้ายที่สุดหากมีการลงมติในวาระที่ 3 เอาแค่ตัวอย่างว่า หากมีการยื่นต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอีกรอบและสมมติกระบวนการพิจารณาของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลานานเกินกว่า 90 วัน (เพราะมีผู้ร้องหลายรายและพยานของแต่ละผู้ร้องมีเป็นจำนวนมาก) จะเกิดอะไรขึ้น?
สมมติว่าในระหว่างนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังไม่ทรงลงพระปรมาภิไธย จะไม่มีใครทราบเหตุผลที่แท้จริงได้ว่าทรงไม่เห็นด้วยจึงไม่ทรงลงพระปรมาภิไธย หรือยังไม่ทรงลงพระปรมาภิไธยเพราะทรงรอคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียก่อน แน่ใจหรือว่ารัฐบาลจะทนแรงกดดันนั้นได้!?
โดยเฉพาะแรงกดดันที่จะต้องมีคนเริ่มถามในวันนี้ว่า มันบังควรแล้วหรือที่เอาเรื่องที่รู้อยู่แล้วว่าจะมีความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว?
และตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 หากพ้นเวลา 90 วันแล้ว หากยังไม่มีการพระราชทานคืนพระราชบัญญัติกลับคืนมา รัฐสภาจะต้องปรึกษาร่างพระราชบัญญัตินั้นใหม่โดยทันที โดยคราวนี้จะยิ่งยากไปกว่าเดิม เพราะมาตรา 151 บัญญัติอีกด้วยว่า รัฐสภาจะต้องยืนยันตามเดิมด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้ง 2 สภา แน่ใจหรือว่าถึงเวลานั้นรัฐสภาจะผ่านเกณฑ์นี้ได้!?
ดังนั้น เรื่องข้ออ้างที่นักโทษชายทักษิณ ชินวัตรที่เพิ่งจะวิดีโอลิงก์ยอมหักแกนนำเสื้อแดงอ้างว่าจะมีเสียงในรัฐสภาไม่เพียงพอนั้น เป็นเพียงเรื่องที่มีแต่เด็กอมมือเท่านั้นที่จะเชื่อ
เพราะความจริงแล้วนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร อาจไม่พร้อมที่ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะเอาตัวเข้าไปเสี่ยงด้วย จึงให้ความสำคัญกับคนในครอบครัวให้มาก่อนอุดมการณ์และข้อเรียกร้องของเหล่าแกนนำเสื้อแดง และ นักการเมืองในบ้านเลขที่ 111
เพราะจะสังเกตให้ดี การเคลื่อนไหวให้ลงมติวาระที่ 3 ส่วนใหญ่ก็จะมีแต่แกนนำคนเสื้อแดงที่พลาดจากตำแหน่ง และคนในบ้านเลขที่ 111 ที่อยากนั่งตำแหน่งแทน ส.ส. และคณะรัฐมนตรีชุดนี้เต็มทีแล้ว จึงเร่งรัดจะให้ลงมติในวาระที่ 3 กันอย่างคึกคัก เพราะตัวเองไม่ได้ไปเสี่ยงคดีความด้วย หากได้รับชัยชนะก็แก้รัฐธรรมนูญได้ตัวเองก็ได้ประโยชน์ หากไม่สำเร็จการต่อสู้ของคนเสื้อแดงรอบใหม่ก็จะได้กำจัดคู่แข่งทางการเมืองในพรรคเพื่อไทยที่กำลังนั่งบริหารอยู่ในคณะรัฐมนตรีชุดนี้ไปด้วย
เพราะความรู้เท่าทันเช่นนี้ นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร จึงยอมฉีกหน้าแกนนำเสื้อแดงต่อหน้ามวลชนคนเสื้อแดง ให้เห็นและรู้ฤทธิ์ว่า “ครอบครัวชินวัตร” สำคัญเสียยิ่งกว่าข้อเรียกร้องของแกนนำคนเสื้อแดง ใครจะทำไม?
แต่ในที่สุด นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร จึงเลือกหนทางที่อ้างว่ามีโอกาสชนะ 60% !?
ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการลงประชามติ พ.ศ. 2552 ในมาตรา 9 บัญญัติชัดเจนว่า จะต้องมีคนมาใช้สิทธิ์เกิน 25 ล้านคน แต่เสียงของพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลบวกกับฝ่ายค้านในส่วนที่อยากแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างมากสุดก็อยู่ประมาณ 17-18 ล้านคน ยังขาดเสียงอยู่อีกประมาณ 7 ล้านคะแนน หากพรรคประชาธิปัตย์รณรงค์ให้คนไม่ไปใช้สิทธิ์ฐานเสียง 11 ล้านคนอาจหายวับไปกับสายตา จะรณรงค์ให้กับคนที่ไม่ได้เลือกฝ่ายค้านกับรัฐบาลชุดนี้หรือคนที่นอนหลับทับสิทธิ์ก็คงจะไม่ใช่เรื่องง่าย
ยิ่งเรื่องรัฐธรรมนูญถือว่าไกลตัว ไม่มีประชานิยม ไม่มีเดิมพันตำแหน่ง ส.ส. แรงจูงใจจะให้มีคนไปใช้สิทธิ์ยิ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ดูตัวอย่างการลงประชามติเห็นชอบรัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้ในปัจจุบันเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2550 มีคนมาลงประชามติทั้งสิ้น 25.98 ล้านคน จากจำนวนผู้มีสิทธิ์ออกเสียง 45.09 ล้านคนเท่านั้น และมีผู้ไม่ไปใช้สิทธิ์สูงถึง 19.11 ล้านคน
นั่นขนาดยังไม่ได้มีการรณรงค์ให้คนไม่ต้องไปใช้สิทธิ์ในการลงประชามติ!!?
ถึงแม้สมมติว่านักโทษชายทักษิณ ชินวัตร จะมีความมั่นใจ 60% เพราะคิดว่าหากมีการรณรงค์ให้ไปใช้สิทธิ์ จะทำให้วัดผลง่าย ซื้อเสียงง่าย เพราะไม่ต้องสนใจว่าเข้าคูหากากบาทในช่องใด แต่วัดผลว่า “มาใช้สิทธิ์” หรือ “ไม่มาใช้สิทธิ์” จึงสามารถวัดเป้าเป็นแรงกดดันให้ข้าราชการและนักการเมืองทำตามเป้าให้ได้ แต่เอาเข้าจริงก็ยังไม่ใช่เรื่องง่ายอีก เพราะเป็นตัวเลขจำนวน 6-7 ล้านคน ที่หวังจะได้จากคะแนนที่เหลือทั้งจากคนที่นอนหลับทับสิทธิ์เดิม 11-12 ล้านคน (ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา) หรือได้จากคนที่ไม่ได้เลือกขั้วการเมืองใดประมาณ 5 ล้านคน มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ความจริงแล้วก่อนจะไปไกลถึงวันลงประชามติได้ รัฐบาลก็คงจะต้องเผชิญกับปัญหาอีกมาก เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดให้ลงประชามติได้ในสิ่งที่ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญเสียเอง ดังนั้น การตั้งคำถามผิดถึงขั้นจะฉีกรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันก็อาจทำไม่ได้ ยังไม่นับว่าหากหวังจะนำไปเชื่อมโยงกับการลงประชามติวาระที่ 3 ของสมาชิกรัฐสภาซึ่งได้ทำผิดขั้นตอนไปแล้ว อาจทำไม่สำเร็จอีกเช่นกัน
เหลือเพียงอย่างเดียวที่ไม่อยากจะเดินทาง 2 แพร่ง แรกที่ดูจะมีความเสี่ยงสูงและเป็นไปได้ด้วยความยากลำบาก คงเหลือแต่ “ทางแพร่งที่ 3 คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา” ซึ่งถ้าเริ่มคิดเช่นนี้เมื่อไหร่ ก็ขอให้ตอบให้ได้ว่าประโยชน์และมาตราที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนหรือนักการเมืองกันแน่!?
เพราะถ้าเลือกแก้ไขมาตราเพื่อประโยชน์ของนักการเมืองด้วยกันเอง ก็ต้องให้พิจารณารัฐธรรมนูญมาตรา 122 ให้ดี ซึ่งบัญญัติเอาไว้ว่า :
“มาตรา 122 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยโดยไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติ มอบหมาย หรือความครอบงำใดๆ และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์”
การเมืองน้ำเน่าแบบนี้ จะเลือกนรกโดยใช้เส้นทางใดก็ขอให้สรุปกันเร็วๆหน่อย เพราะรอดูจนเมื่อยแล้วจริงๆ!!!