สำหรับประเทศไทยในมุมของผู้มีอำนาจการทางเมืองและธุรกิจ การปฏิรูปแรงงานมักถูกมองผ่านการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นสำคัญ ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้วการปฏิรูปแรงงานเป็นมากกว่าการทำให้อัตราค่าจ้าง (wage rate) สูงขึ้นหรือมีเสถียรภาพ เพราะการปฏิรูปแรงงานเพื่อประโยชน์ของแรงงานจริงๆ นั้นต้องอยู่ในทิศทางของการลดทอนความเหลื่อมล้ำทางรายได้ สิทธิ โอกาส อำนาจ และศักดิ์ศรี ด้วยการเพิ่มอำนาจต่อรองและสวัสดิการ การปรับโครงสร้างค่าจ้าง และการเพิ่มผลิตภาพและการคุ้มครองแรงงาน เป็นสำคัญ
ทั้งนี้ ความยากจนข้นแค้นของประชาชนไม่ได้ดลบันดาลด้วยชะตากรรมหรือโชคชะตา แต่ความยากจนถูกสร้างและกำหนดจากนโยบายรัฐที่เลือกปฏิบัติและโครงสร้างสังคมที่อยุติธรรมเอารัดเอาเปรียบ ดังที่กลุ่มเกษตรกรรายย่อย และคนงานพื้นฐาน โดยเฉพาะลูกจ้างภาคเกษตรและลูกจ้างในระบบจ้างเหมาช่วง (sub-contracting) เผชิญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันแม้ว่าพวกเขาจะเป็นกลไกสำคัญในการสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) ที่ภาครัฐและเอกชนอ้างอิงเพื่อสร้างความชอบธรรมในการบริหารประเทศ กำหนดนโยบายอุตสาหกรรม และดึงดูดการค้าการลงทุนจากต่างชาติตามแนวเศรษฐกิจทุนนิยมเสรี
คนเหล่านี้มีรายได้ต่ำ ไร้สิทธิ ไร้โอกาส ไร้อำนาจ และไร้ศักดิศรีความเป็นมนุษย์มากขึ้นทุกๆ วัน
ลำพังการขึ้นค่าแรงอย่างเดียวตามนโยบายประชานิยม 300 บาท/วันอันที่สุดแล้วก็ต้องเลื่อนเวลาออกไปเพราะไม่สามารถปฏิบัติได้ทั่วถึงตามคำหาเสียงเพราะมีแรงต้านจากกลุ่มทุนไม่ได้ช่วยให้คุณภาพชีวิตแรงงานดีขึ้นได้มากนักแต่อย่างใด ด้วยนอกจากต้นทุนชีวิตค่าอาหาร ที่พักอาศัย และยารักษาโรคจะถีบตัวสูงตามค่าแรงขั้นต่ำที่เพิ่มสูงขึ้นแล้ว ลูกจ้างจำนวนมหาศาลทั้งในระบบและนอกระบบก็ยังคงสูญเสียสิทธิแรงงานต่างๆ จากการละเมิดกฎหมายแรงงานของนายจ้างที่ไม่เป็นธรรม (unfair employer) อีกด้วย เพราะการขึ้นอัตราค่าจ้างไม่ได้ทำให้ความเหลื่อมล้ำทางสังคมลดลงเพราะไม่ได้แตะเชิงโครงสร้างอย่างใด
นัยนี้ถึงเงินค่าตอบแทนที่สูงขึ้นจะสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ในฐานะของการแลกเปลี่ยนบริการทางเศรษฐกิจที่จะได้มาไม่ว่าจะเป็นอาหาร ยา หรือที่พักพิงอาศัย ทว่า ถ้าที่สุดแล้วรัฐยังไม่ปรับเปลี่ยนหรือยุตินโยบายที่เอื้อประโยชน์แต่นายจ้าง รวมถึงไม่ปฏิรูปโครงสร้างและระบบแรงงานด้วยการสร้างความคุ้มครองทางสังคมและความมั่นคงของแรงงานทั้งในด้านของการคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพในการรวมกลุ่ม การเจรจาต่อรอง การได้รับค่าจ้างที่เป็นธรรม และการจัดสวัสดิการเข้าไปหนุนเสริม โดยใช้กระบวนการเจรจาทางสังคมแรงงาน (social dialogue) ซึ่งครอบคลุมสิทธิการรวมตัวและสิทธิในการเจรจาต่อรอง การยึดหลักการทำงานที่มีคุณค่า (decent work) และการมีงานทำและรายได้ มาเป็นหลักการสำคัญในการกำหนดนโยบาย กฎหมาย แผนงาน และมาตรการแล้ว ก็ยากจะสร้างความเป็นธรรมขึ้นในสังคมไทยได้
ในกระบวนการลดทอนความเหลื่อมล้ำและหยุดยั้งความอยุติธรรมที่ถั่งโถมสู่ผู้ใช้แรงงานทั้งในและนอกระบบทั่วประเทศไทยนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกภาคส่วนต้องเข้ามาร่วมกันปฏิรูปแรงงานทั้งระบบ เบื้องต้นต้องปฏิบัติตามมติสมัชชาปฏิรูประดับชาติครั้งที่ 2 ว่าด้วยการปรับโครงสร้างค่าจ้างที่กำหนดให้รัฐบาลและนายจ้างต้องมีนโยบายชัดเจนเรื่องค่าจ้างที่เป็นธรรมซึ่งคำนึงถึงค่าครองชีพและฝีมือที่สอดคล้องกับประสิทธิภาพ ผลิตภาพ ความเสี่ยงและลักษณะงานของลูกจ้าง โดยค่าจ้างจะเพิ่มขึ้นตามประสบการณ์ ฝีมือ และทักษะของแรงงานที่เพิ่มขึ้น สำหรับแรงงานที่เพิ่งทำงานครั้งแรกจะได้ค่าจ้างขั้นต่ำที่มีความพอเพียงเลี้ยงชีพตนเองและครอบครัวอีก 2 คน ตามหลักการขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ
รวมถึงต้องสร้างกลไกการเพิ่มอำนาจต่อรองของแรงงานอย่างเร่งด่วนด้วยการกำหนดให้รัฐบาลต้องให้สัตยาบันตามอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศฉบับที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัวกัน และอนุสัญญาฉบับที่ 98 ว่าด้วยการปฏิบัติตามหลักการแห่งสิทธิในการรวมตัวและการร่วมเจรจาต่อรองภายในปี 2555 นี้ เพราะการรวมตัวของแรงงานกลุ่มต่างๆ ทั้งแบบรวมตัวในกลุ่มอุตสาหกรรม ระหว่างกลุ่มอุตสาหกรรม ระหว่างแรงงานประเภทเดียวกัน และต่างประเภทกัน ระหว่างคนที่เป็นลูกจ้างและไม่เป็นลูกจ้าง รวมทั้งข้าราชการและแรงงานทุกประเภททั้งภาคเอกชนและภาครัฐ จะสามารถสร้างพลังต่อรองสูงกว่าเดิมมาก หากกระนั้นก็ต้องทำควบคู่กับการผลักดันให้กระทรวงแรงงานออกระเบียบใหม่ในการเลือกตั้งของระบบไตรภาคีให้เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย คือ ให้แรงงานทุกคนออกเสียงได้ 1 คน 1 เสียง ตามมาตรา 84 (7) ของรัฐธรรมนูญ 2550 ตลอดจนรัฐบาลต้องสนับสนุนการจัดตั้งธนาคารแรงงานหรือกองทุนการเงินของแรงงานตามมาตรา 84 (9) ด้วย
อีกด้านที่ขาดไม่ได้ คือ การคุ้มครองแรงงานตามมติสมัชชาปฏิรูประดับชาติที่เสนอให้กระทรวงแรงงานร่วมกับนายจ้างจัดตั้งกองทุนพิทักษ์สิทธิแรงงาน โดยให้นายจ้างและรัฐบาลสมทบเงินเข้ากองทุนเพื่อเป็นหลักประกันว่าเมื่อมีการเลิกกิจการลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงินชดเชยและเงินอื่นใดที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับจากกองทุน และลูกจ้างมีสิทธิได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนพิทักษ์สิทธิแรงงานในการดำเนินคดีระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างได้ด้วย เพื่อลูกจ้างจะได้ไม่ตกระกำลำบากเหมือนกรณีก่อนหน้าที่มีการเลิกจ้างเพราะปิดกิจการถาวร ลดคนงาน หรือประสบอุทกภัยที่หลายที่ไม่ยอมจ่ายค่าจ้างและปิดกิจการชั่วคราว
การเร่งรัดให้กระทรวงแรงงานจัดสวัสดิการตามความเสี่ยงของการประกอบอาชีพและการประกันสังคมถ้วนหน้า การคุ้มครองแรงงานทุกประเภทซึ่งรวมถึงแรงงานนอกระบบและแรงงานต่างด้าวโดยจัดทำฐานข้อมูลจำนวนแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในไทยที่ถูกต้องอันรวมถึงการกำหนดนโยบายที่ชัดเจนจากกระทรวงแรงงาน สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และองค์กรแรงงานว่าจะอนุญาตให้แรงงานต่างด้าวทำงานสาขาอาชีพอะไรได้ เพื่อลดผลกระทบกับแรงงานไทย
ในขณะเดียวกัน ก็ต้องผลักดันให้สำนักงานประกันสังคมแก้ไข พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ. 2537 ให้มีผลคุ้มครองลูกจ้างที่เกิดอุบัติเหตุในระหว่างเดินทางไปกลับจากการทำงาน และจ่ายค่าทดแทนการขาดรายได้จากอุบัติเหตุร้อยละ 100 และเร่งรัดให้กระทรวงแรงงานบังคับใช้ พ.ร.บ.ความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 ที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ตลอดจนให้กระทรวงแรงงา นและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กำหนดนโยบายและมาตรการสนับสนุนให้สถานประกอบการจัดให้มีที่อยู่อาศัยและศูนย์พัฒนาเด็กที่ถูกสุขภาวะและปลอดมลพิษแก่แรงงานบริเวณใกล้ๆ เขตอุตสาหกรรมหรือสถานที่ทำงาน รวมถึงเร่งพัฒนาประสิทธิภาพของโรงพยาบาลที่เป็นคู่สัญญากับสำนักงานประกันสังคม และปรับปรุงระบบบริการสุขภาพแก่ผู้ประกันตนทั้งด้านการเข้าถึงและคุณภาพ
อีกด้านของการปฏิรูประบบแรงงานเพื่อสร้างความเป็นธรรมทางสังคมคือการพัฒนาสมรรถนะ ความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะที่พึงปรารถนาเพื่อเพิ่มผลิตภาพ โดยมติสมัชชาปฏิรูปเสนอให้รัฐบาลจัดตั้งกองทุนดอกเบี้ยต่ำร้อยละ 2 ต่อปีให้ธุรกิจกู้ไปพัฒนาฝีมือลูกจ้างตามความจำเป็น โดยเงินลงทุนเพื่อพัฒนาความรู้และฝีมือลูกจ้างนั้นนายจ้างนำไปลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้น และให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงแรงงานเร่งรัดจัดตั้งองค์กรอิสระรับรองวิทยฐานะฝีมือแรงงานทุกประเภท
การปฏิรูปแรงงานเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของแรงงานที่ปัจจุบันจำนวนมหาศาลยังถูกขูดรีด กดขี่บีฑา เอารัดเอาเปรียบจากทุนธุรกิจ และถูกเลือกปฏิบัติจากนโยบายเศรษฐกิจด้านการค้าการลงทุนของรัฐ จึงต้องทำมากกว่าการขึ้นอัตราค่าจ้างหรือเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ เพราะนโยบายเหล่านี้ที่สุดแล้วไม่สามารถสร้างความเป็นธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมได้ ด้วยที่สุดไม่ได้ไปปรับสัมพันธภาพทางอำนาจระหว่างผู้ได้เปรียบกับเสียเปรียบทางสังคมแต่อย่างใดเลย
ทั้งนี้ ความยากจนข้นแค้นของประชาชนไม่ได้ดลบันดาลด้วยชะตากรรมหรือโชคชะตา แต่ความยากจนถูกสร้างและกำหนดจากนโยบายรัฐที่เลือกปฏิบัติและโครงสร้างสังคมที่อยุติธรรมเอารัดเอาเปรียบ ดังที่กลุ่มเกษตรกรรายย่อย และคนงานพื้นฐาน โดยเฉพาะลูกจ้างภาคเกษตรและลูกจ้างในระบบจ้างเหมาช่วง (sub-contracting) เผชิญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันแม้ว่าพวกเขาจะเป็นกลไกสำคัญในการสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) ที่ภาครัฐและเอกชนอ้างอิงเพื่อสร้างความชอบธรรมในการบริหารประเทศ กำหนดนโยบายอุตสาหกรรม และดึงดูดการค้าการลงทุนจากต่างชาติตามแนวเศรษฐกิจทุนนิยมเสรี
คนเหล่านี้มีรายได้ต่ำ ไร้สิทธิ ไร้โอกาส ไร้อำนาจ และไร้ศักดิศรีความเป็นมนุษย์มากขึ้นทุกๆ วัน
ลำพังการขึ้นค่าแรงอย่างเดียวตามนโยบายประชานิยม 300 บาท/วันอันที่สุดแล้วก็ต้องเลื่อนเวลาออกไปเพราะไม่สามารถปฏิบัติได้ทั่วถึงตามคำหาเสียงเพราะมีแรงต้านจากกลุ่มทุนไม่ได้ช่วยให้คุณภาพชีวิตแรงงานดีขึ้นได้มากนักแต่อย่างใด ด้วยนอกจากต้นทุนชีวิตค่าอาหาร ที่พักอาศัย และยารักษาโรคจะถีบตัวสูงตามค่าแรงขั้นต่ำที่เพิ่มสูงขึ้นแล้ว ลูกจ้างจำนวนมหาศาลทั้งในระบบและนอกระบบก็ยังคงสูญเสียสิทธิแรงงานต่างๆ จากการละเมิดกฎหมายแรงงานของนายจ้างที่ไม่เป็นธรรม (unfair employer) อีกด้วย เพราะการขึ้นอัตราค่าจ้างไม่ได้ทำให้ความเหลื่อมล้ำทางสังคมลดลงเพราะไม่ได้แตะเชิงโครงสร้างอย่างใด
นัยนี้ถึงเงินค่าตอบแทนที่สูงขึ้นจะสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ในฐานะของการแลกเปลี่ยนบริการทางเศรษฐกิจที่จะได้มาไม่ว่าจะเป็นอาหาร ยา หรือที่พักพิงอาศัย ทว่า ถ้าที่สุดแล้วรัฐยังไม่ปรับเปลี่ยนหรือยุตินโยบายที่เอื้อประโยชน์แต่นายจ้าง รวมถึงไม่ปฏิรูปโครงสร้างและระบบแรงงานด้วยการสร้างความคุ้มครองทางสังคมและความมั่นคงของแรงงานทั้งในด้านของการคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพในการรวมกลุ่ม การเจรจาต่อรอง การได้รับค่าจ้างที่เป็นธรรม และการจัดสวัสดิการเข้าไปหนุนเสริม โดยใช้กระบวนการเจรจาทางสังคมแรงงาน (social dialogue) ซึ่งครอบคลุมสิทธิการรวมตัวและสิทธิในการเจรจาต่อรอง การยึดหลักการทำงานที่มีคุณค่า (decent work) และการมีงานทำและรายได้ มาเป็นหลักการสำคัญในการกำหนดนโยบาย กฎหมาย แผนงาน และมาตรการแล้ว ก็ยากจะสร้างความเป็นธรรมขึ้นในสังคมไทยได้
ในกระบวนการลดทอนความเหลื่อมล้ำและหยุดยั้งความอยุติธรรมที่ถั่งโถมสู่ผู้ใช้แรงงานทั้งในและนอกระบบทั่วประเทศไทยนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกภาคส่วนต้องเข้ามาร่วมกันปฏิรูปแรงงานทั้งระบบ เบื้องต้นต้องปฏิบัติตามมติสมัชชาปฏิรูประดับชาติครั้งที่ 2 ว่าด้วยการปรับโครงสร้างค่าจ้างที่กำหนดให้รัฐบาลและนายจ้างต้องมีนโยบายชัดเจนเรื่องค่าจ้างที่เป็นธรรมซึ่งคำนึงถึงค่าครองชีพและฝีมือที่สอดคล้องกับประสิทธิภาพ ผลิตภาพ ความเสี่ยงและลักษณะงานของลูกจ้าง โดยค่าจ้างจะเพิ่มขึ้นตามประสบการณ์ ฝีมือ และทักษะของแรงงานที่เพิ่มขึ้น สำหรับแรงงานที่เพิ่งทำงานครั้งแรกจะได้ค่าจ้างขั้นต่ำที่มีความพอเพียงเลี้ยงชีพตนเองและครอบครัวอีก 2 คน ตามหลักการขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ
รวมถึงต้องสร้างกลไกการเพิ่มอำนาจต่อรองของแรงงานอย่างเร่งด่วนด้วยการกำหนดให้รัฐบาลต้องให้สัตยาบันตามอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศฉบับที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัวกัน และอนุสัญญาฉบับที่ 98 ว่าด้วยการปฏิบัติตามหลักการแห่งสิทธิในการรวมตัวและการร่วมเจรจาต่อรองภายในปี 2555 นี้ เพราะการรวมตัวของแรงงานกลุ่มต่างๆ ทั้งแบบรวมตัวในกลุ่มอุตสาหกรรม ระหว่างกลุ่มอุตสาหกรรม ระหว่างแรงงานประเภทเดียวกัน และต่างประเภทกัน ระหว่างคนที่เป็นลูกจ้างและไม่เป็นลูกจ้าง รวมทั้งข้าราชการและแรงงานทุกประเภททั้งภาคเอกชนและภาครัฐ จะสามารถสร้างพลังต่อรองสูงกว่าเดิมมาก หากกระนั้นก็ต้องทำควบคู่กับการผลักดันให้กระทรวงแรงงานออกระเบียบใหม่ในการเลือกตั้งของระบบไตรภาคีให้เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย คือ ให้แรงงานทุกคนออกเสียงได้ 1 คน 1 เสียง ตามมาตรา 84 (7) ของรัฐธรรมนูญ 2550 ตลอดจนรัฐบาลต้องสนับสนุนการจัดตั้งธนาคารแรงงานหรือกองทุนการเงินของแรงงานตามมาตรา 84 (9) ด้วย
อีกด้านที่ขาดไม่ได้ คือ การคุ้มครองแรงงานตามมติสมัชชาปฏิรูประดับชาติที่เสนอให้กระทรวงแรงงานร่วมกับนายจ้างจัดตั้งกองทุนพิทักษ์สิทธิแรงงาน โดยให้นายจ้างและรัฐบาลสมทบเงินเข้ากองทุนเพื่อเป็นหลักประกันว่าเมื่อมีการเลิกกิจการลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงินชดเชยและเงินอื่นใดที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับจากกองทุน และลูกจ้างมีสิทธิได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนพิทักษ์สิทธิแรงงานในการดำเนินคดีระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างได้ด้วย เพื่อลูกจ้างจะได้ไม่ตกระกำลำบากเหมือนกรณีก่อนหน้าที่มีการเลิกจ้างเพราะปิดกิจการถาวร ลดคนงาน หรือประสบอุทกภัยที่หลายที่ไม่ยอมจ่ายค่าจ้างและปิดกิจการชั่วคราว
การเร่งรัดให้กระทรวงแรงงานจัดสวัสดิการตามความเสี่ยงของการประกอบอาชีพและการประกันสังคมถ้วนหน้า การคุ้มครองแรงงานทุกประเภทซึ่งรวมถึงแรงงานนอกระบบและแรงงานต่างด้าวโดยจัดทำฐานข้อมูลจำนวนแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในไทยที่ถูกต้องอันรวมถึงการกำหนดนโยบายที่ชัดเจนจากกระทรวงแรงงาน สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และองค์กรแรงงานว่าจะอนุญาตให้แรงงานต่างด้าวทำงานสาขาอาชีพอะไรได้ เพื่อลดผลกระทบกับแรงงานไทย
ในขณะเดียวกัน ก็ต้องผลักดันให้สำนักงานประกันสังคมแก้ไข พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ. 2537 ให้มีผลคุ้มครองลูกจ้างที่เกิดอุบัติเหตุในระหว่างเดินทางไปกลับจากการทำงาน และจ่ายค่าทดแทนการขาดรายได้จากอุบัติเหตุร้อยละ 100 และเร่งรัดให้กระทรวงแรงงานบังคับใช้ พ.ร.บ.ความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 ที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ตลอดจนให้กระทรวงแรงงา นและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กำหนดนโยบายและมาตรการสนับสนุนให้สถานประกอบการจัดให้มีที่อยู่อาศัยและศูนย์พัฒนาเด็กที่ถูกสุขภาวะและปลอดมลพิษแก่แรงงานบริเวณใกล้ๆ เขตอุตสาหกรรมหรือสถานที่ทำงาน รวมถึงเร่งพัฒนาประสิทธิภาพของโรงพยาบาลที่เป็นคู่สัญญากับสำนักงานประกันสังคม และปรับปรุงระบบบริการสุขภาพแก่ผู้ประกันตนทั้งด้านการเข้าถึงและคุณภาพ
อีกด้านของการปฏิรูประบบแรงงานเพื่อสร้างความเป็นธรรมทางสังคมคือการพัฒนาสมรรถนะ ความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะที่พึงปรารถนาเพื่อเพิ่มผลิตภาพ โดยมติสมัชชาปฏิรูปเสนอให้รัฐบาลจัดตั้งกองทุนดอกเบี้ยต่ำร้อยละ 2 ต่อปีให้ธุรกิจกู้ไปพัฒนาฝีมือลูกจ้างตามความจำเป็น โดยเงินลงทุนเพื่อพัฒนาความรู้และฝีมือลูกจ้างนั้นนายจ้างนำไปลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้น และให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงแรงงานเร่งรัดจัดตั้งองค์กรอิสระรับรองวิทยฐานะฝีมือแรงงานทุกประเภท
การปฏิรูปแรงงานเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของแรงงานที่ปัจจุบันจำนวนมหาศาลยังถูกขูดรีด กดขี่บีฑา เอารัดเอาเปรียบจากทุนธุรกิจ และถูกเลือกปฏิบัติจากนโยบายเศรษฐกิจด้านการค้าการลงทุนของรัฐ จึงต้องทำมากกว่าการขึ้นอัตราค่าจ้างหรือเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ เพราะนโยบายเหล่านี้ที่สุดแล้วไม่สามารถสร้างความเป็นธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมได้ ด้วยที่สุดไม่ได้ไปปรับสัมพันธภาพทางอำนาจระหว่างผู้ได้เปรียบกับเสียเปรียบทางสังคมแต่อย่างใดเลย