xs
xsm
sm
md
lg

ทำไมฝรั่งเจริญกว่าไทย (ตอนที่ ๒)

เผยแพร่:   โดย: ทวิช จิตรสมบูรณ์

ฝรั่งต่างจากไทยในอีกประการหนึ่ง คือ เขาเน้นการมองไปที่เนื้อหา (substance) ส่วนไทยเราเน้นการมองไปที่รูปแบบ (form)

ผมได้ฉุกคิดเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อคราวไปเรียนที่อเมริกานานมาแล้ว ที่ต้องทำใจใส่เสื้อผ้าที่ไม่ผ่านการ “รีด” ไปเรียนหนังสือ เพื่อให้เหมือนกับคนท้องถิ่น

เมื่อก่อนอยู่เมืองไทย ก็เคยดีดดิ้น ฉุยฉาย ใส่แต่เสื้อกางเกงกีบโง้ง แต่..ในที่สุดก็ต้องทำใจ...ก็ใส่มันยับๆ อย่างนั้นแหละ

ถ้าอยากใส่เสื้อรีด ต้องรอให้รวยระดับเป็นซีอีโอของบริษัทที่มีเครือข่ายทั่วประเทศนั่นเทียว ผมได้สังเกตว่าแม้ซีอีโอ บริษัทท้องถิ่นก็ใส่ยับๆ แบบเรานี่แหละ อาจเป็นเพราะค่าจ้างรีดเสื้อมันแพงมหันต์ อีกทั้งเราเองก็ต้องทำงานล่กๆ ไม่มีเวลาเหลือเอาไปทำเรื่องงี่เง่า เช่น การรีดเสื้อผ้า

ส่วนคนไทยเรา แม้หาเช้ากินค่ำ หรือเป็นนักเรียนที่เป็นลูกของคนหาเช้ากินค่ำ ส่วนใหญ่จะประดิดประดอยเสียเวลามากมายเพื่อรีดผ้ากันอยู่นั่นแหละ เพราะคนไทยเราถือว่า รูปแบบภายนอกที่เรียบ (เหมือนผ้าที่ถูกรีด) คือบันไดสู่ความสำเร็จ ดังนั้น ถ้าเราลงทุนเสียเวลารีดผ้าไม่นานเท่าไร (ที่ไม่ต้องใช้สมองมากนัก) อีกหน่อยก็จะได้ดี มีอำนาจ เป็นใหญ่โต เป็นเจ้าคน...นายคน พวกซำเหมา เสื้อยับผมยุ่งนั้นยากส์ที่จะได้เป็นใหญ่ แม้จะเก่งปานใดก็ตาม

อย่าลืมสิ..ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง เราต้องทำตัวให้ “ดูดี” เข้าไว้ เจ้านายจะได้เอ็นดู ดังนั้นนักศึกษาไทยจึงต้องแต่งเครื่องแบบ ต้องผูกไท มีชุดพิเศษในสถานการณ์ต่างๆ อีกด้วย

จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าประเทศไทยเราจึงมีแต่รูปแบบ (เช่นกฎระเบียบ) ที่สวยหรู ส่วนเนื้อหา (การบังคับใช้กฎระเบียบ) เราล้มเหลวสิ้นเชิง

ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ผมเคยเป็นกรรมการตัดสินการนำเสนอบทความ (ด้วยปากเปล่า) ของนักศึกษา ผมอ่านระเบียบการให้คะแนนแล้วก็ลุกยืนขึ้นคัดค้าน เพราะผมประเมินได้ว่าคะแนน 80 แต้มเป็นคะแนนด้านรูปแบบ อีก 20 แต้มเป็นคะแนนด้านเนื้อหา หมายความว่า ถ้านศ.คนไหนนำเสนอเนื้อหาได้ดีเหลือเกิน แต่ออกเสียง ร ล ไม่ชัด แต่งกายไม่เรียบร้อย ไม่ยกมือไหว้ก่อนพูด ก็คงได้คะแนนสัก 30 แต่อีกคนเนื้อหาแย่มาก แต่รูปแบบดีเอาไป 75 แต้ม แน่นอนว่าการค้านของผมไร้ผล

การประเมินการสอนของอาจารย์โดยนศ.ของมหาลัยไทย ก็ลองไปดูกันเถอะครับ เน้นไปที่รูปแบบการสอนมากกว่าเนื้อหา คุณภาพ ดังนั้นถ้าเชิญนักฟิสิกส์โนเบลมาสอนในมหาลัยไทย เชื่อได้เลยว่าอาจได้คะแนนประเมินการสอนต่ำกว่าอาจารย์ไทย

หันมามองวัดไทย รูปแบบสวยหรูหยาดเยิ้ม ติดประดับวับแวมวาวแวว ช่อฟ้า ใบระกางอนเช้ง แต่หาอรรถประโยชน์ไม่ค่อยได้ เช่น พระอุโบสถใช้ประโยชน์ได้เฉพาะเอาไว้ตั้งพระประธานให้คนไปจุดธูปบูชา (ขอหวย) ทั้งที่ลงทุนไปมาก ส่วนโบสถ์ฝรั่ง เรียบง่ายไม่มีประดับประดา แต่ใช้งานได้สารพัด มีอาคารเดียวทำหน้าที่ได้หมด เป็นที่กราบไว้บูชา (ไม้กางเขน) เป็นศาลาการเปรียญสำหรับฟังธรรม ด้านหลังเป็นที่พักสงฆ์ ด้านบนเป็นหอระฆัง เขามีอาคารเดียวส่วนเรามี 4 อาคาร ของเราเน้นรูปแบบ ของเขาเน้นเนื้อหา

นักจัดรายการทีวี ของเราเน้นที่สวยหล่อสาวหนุ่ม ของเขาเน้นที่เก่ง แม้จะแก่และอ้วนอย่างไรก็ได้ คนอย่าง ออปรา วินฟรี (หญิงดำแก่อ้วน นักจัดรายการทีวีเมกา ที่รวยที่สุด และมีอิทธิพลที่สุด) นั้น ถ้ามาอยู่เมืองไทยคงเป็นได้แค่คนเทกระโถนให้นักจัดรายการ

นักข่าวในทีวีก็เช่นกัน ของเขามีแต่แก่ๆ เกิน 50 ทั้งนั้นส่วนของเราน้อยกว่า 30 เป็นส่วนใหญ่ เพราะการจะอ่านข่าวได้เก่งนั้นมันต้องเก๋า ความเก๋าจะมีได้ก็ต่อเมื่อแก่เท่านั้น

ดาราหญิงฝรั่งจะมีค่าตัวสูงสุดเมื่ออายุประมาณ 40 ส่วนผู้ชายประมาณ 50 ส่วนของไทยเราสูงสุดเมื่อ 20 ถ้าแก่ระดับ 40-50 ต้องแสดงบทแม่พ่อแล้ว (ค่าตัวน้อยลงสิบเท่า) นี่แสดงว่าความสวยสาว (รูปแบบ) ไม่สำคัญสำหรับฝรั่งเขา สำคัญที่ “แสดงเก่ง” (เนื้อหา) และคนจะแสดงเก่งได้นั้นมันต้องเก๋า ก็ต้องแก่สักหน่อยนั่นเอง

นักการเมืองไทยเรา ใครเป็นดาราดัง นักมวยแชมป์โลก เป็นพี่สาวนางงาม น้องสาวอดีตนักการเมืองดัง ก็ได้รับเลือกตั้งแล้ว โดยไม่ต้องมีประวัติการทำงานด้านการเมืองแต่อย่างใด ส่วนของเขาที่เป็นดาราพอมีอยู่บ้าง แต่ก็ต้องเก่งด้วยนะ ส่วนนักมวย พี่สาวนางงาม ไม่เคยเห็น ทั้งที่พวกนี้ที่เก่งๆ เขามีมากกว่าเราหลายเท่า

จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมนักเลือกตั้งไทย เวลาหาเสียงเลือกตั้งจึงเน้นแต่รูปถ่ายที่เป็นเครื่องแบบ มีเหรียญ มีปีก ติดห้อยกันเต็มหน้าอก แต่ไม่เคยแถลงผลงานอะไรเลย แม้เพียงแค่นี้ก็ได้รับเลือกแล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น