ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ย้อนกลับไปเมื่อปีปลาย 2551 หลังจากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ยุบ 3 พรรคการเมือง ซึ่งพรรคพลังประชาชนเป็นหนึ่งในนั้น ส่งผลให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้พรรคประชาธิปัตย์จับมือกับพรรคภูมิใจไทยที่มีนายเนวิน ชิดชอบ เป็นเงาทะมึนอยู่เบื้องหลังทุกจังหวะย่างก้าวในการเข้ามาเถลิงอำนาจเป็นรัฐบาล โดยมีกองทัพเป็นฐานค้ำยันอำนาจ นับเป็นจุดเริ่มต้นของรัฐบาลชุดปัจจุบันที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำรัฐบาล
ทั้งนี้ กล่าวสำหรับ “พรรคประชาธิปัตย์” สิ่งที่เป็นเสมือนเครื่องหมายทางการค้าคงหนีไม่พ้น “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรค ผู้มีดีกรีระดับการศึกษาที่จบถึงโรงเรียนมัธยมอีตัน ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำเอกชนระดับเตรียมอุดมศึกษาที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของลอนดอน ตามมาด้วยการจบปริญญาตรีในสาขาวิชา ปรัชญา การเมือง และเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด แน่นอนว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาสังคมได้ตั้งความหวังไว้กับนายอภิสิทธิ์ที่มีภาพนักการเมืองรุ่นใหม่ เป็นนักการเมืองน้ำดี ผู้ใสซื่อมือสะอาด ไม่เคยมีชื่อเสียงเสื่อมเสียในทางการเมือง จะเข้ามาเป็นผู้นำที่จะพาประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตหลายต่อหลายอย่างไปได้
แต่จากวันนั้นถึงวันนี้... คำว่า "หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน" ดูจะเหมาะสมที่สุดสำหรับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และบรรดาพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากตลอดเวลาที่ผ่านมาในการเป็นรัฐบาล ได้พิสูจน์ชัดแจ้งแล้วว่า ภายใต้การบริหารและแก้ไขปัญหาของประเทศ เรียกได้ว่าล้มเหลวไปแทบทุกด้าน ชนิดที่เรียกว่าไม่อาจมีคำแก้ตัวใดมาหักล้างพฤติกรรมที่เขาและบรรดาคนรอบข้างได้สร้างไว้เป็นตราบาปให้กับประเทศไทย และถ้าหากจะนับเป็นรายการก็เรียกได้ว่ายาวเป็นหางว่าวก็คงจะไม่ผิดเพี้ยนไปนัก
แค่ปัญหาอุทกภัยที่เพิ่งเกิดขึ้นในภาคใต้ ก็เรียกว่า อ่วมอรทัยแล้ว เพราะจนถึงขณะนี้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดภาคใต้หลายจังหวัดยังคงได้รับความเดือดร้อนกันถ้วนหน้า ที่เจ็บแสบแบบไม่น่าอภัยก็คือพื้นที่ดังกล่าวถือเป็นฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์เองแท้ แต่ก็ยังปล่อยให้เกิดปัญหาบานปลาย หรือแก้ปัญหาเฉพาะไม่ทันท่วงทีจนประชาชนต้องได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส
เรียกได้ว่าไม่เฉียดวาทกรรมสวยหรูอย่าง "ประชาชนต้องมาก่อน" เลยแม้แต่น้อย ถึงขนาดที่นายอภิสิทธิ์เองขณะที่ลงไปตรวจเยี่ยมประชาชนยังได้ยินเสียงตัดพ้อของประชาชนในพื้นที่ ในการแก้ปัญหาล่าช้าของตัวเองกับหูด้วยซ้ำ ขณะเดียวกันอย่าลืมว่าเมื่อปลายปี 2553 ภัยร้ายอุทกภัยก็ยังเคยกระหน่ำประเทศไทยเป็นบทเรียนมาแล้ว แต่จากวันนั้นถึงขณะนี้พรรคประชาธิปัตย์ ก็กลับไม่ได้เห็นการวางแผนแก้ไขปัญหาในระยะยาวของพรรคประชาธิปัตย์เลยแม้แต่น้อย
จุดสลบในการบริหารประเทศ ที่เป็นผลงานชิ้นโบดำ อันถือเป็นตราบาปภายใต้การบริหารของพรรคประชาธิปัตย์ ก็คือการปล่อยให้น้ำมันปาล์ม เกิดภาวะวิกฤตขาดตลาด และปล่อยให้ราคาพุ่งกระฉูด ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงเงื่อนงำการทุจริตกอบโกยมหาศาลของผู้มีอำนาจในรัฐบาลและบรรดาผู้ประกอบการที่ฉวยโอกาสสร้างความร่ำรวยบนความทุกข์ยากของประชาชน
ดังนั้น จึงอย่าได้แปลกใจหากจะถูกชาวบ้านด่ายับทั่วประเทศว่าประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลทีไรของแพงทุกที
ขณะเดียวกันฝันร้ายของประชาชนยังไม่หมดแค่นั้นภายใต้การบริหารของพรรคประชาธิปัตย์ ยังปล่อยให้เกิดภาวะสินค้าสำคัญขาดตลาดและพาเหรดกันขึ้นราคา อาทิ ไข่ไก่ น้ำตาลทราย น้ำมันถั่วเหลือง รวมไปถึงสินค้าเกษตร อย่างปุ๋ย และยางพาราก็มีแนวโน้มว่าจะขึ้นสูงตามมาอีก ที่แม้ว่านายอภิสิทธิ์ จะอ้างว่าราคาอาหารแพงขึ้นนั้นเกิดขึ้นจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นสูงทั่วโลก แต่ในฐานะรัฐบาลปฏิเสธมิได้ว่าควรจะมีศักยภาพในการกำกับดูแลราคาสินค้าไม่ให้เกิดวิกฤตอย่างที่เป็นอยู่ขณะนี้ เนื่องจากไม่มีการสกัดปัญหามิให้บานปลายตั้งแต่เริ่มแรก
ที่สำคัญคือ สิ่งที่เกี่ยวพันอันอย่างแยกไม่ออกกับปัญหาทั้งหลายทั้งปวงก็คือปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นและผลประโยชน์ทับซ้อนอยู่ในโครงสร้างของรัฐบาล ซึ่งนายอภิสิทธิ์ก็เคยยอมรับว่าปัญหาการคอรัปชั่นนั้นมีอยู่จริง แต่สุดท้ายแล้วก็หาได้จัดการอะไรเป็นชิ้นเป็นอันตลอดเวลาที่ผ่านมาของการเป็นรัฐบาล มิหนำซ้ำยังมีผลโพลของสำนักต่างๆ ตอกย้ำได้ดีถึงภาพปัญหาการคอรัปชั่นภายใต้รัฐบาลชุดนี้เป็นหลักฐานอย่างดี
หากย้อนกลับไปในวันที่นายอภิสิทธิ์ ได้ประกาศหลังรับพระบรมราชโองการเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ของประเทศไทย โดยเขาเน้นย้ำว่าจะยึดหลักนิติธรรมและนิติรัฐ นั่นก็คือจะหยุดการเมืองที่ล้มเหลว ด้วยการอาศัยกระบวนการยุติธรรมนำหน้า บังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาค รวมไปถึงจะปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์
ด้วยภาพลักษณ์ประกอบกับวาทกรรมอันสวยหรูของเขา หากใครได้ฟังแล้วก็คงต้องเคลิบเคลิ้มเป็นธรรมดา
แต่ในการณ์กลับสวนทางอย่างสิ้นเชิง เพราะนายอภิสิทธิ์เองได้เหยียบย่ำกระบวนการยุติธรรมอย่างมิน่าให้อภัย ด้วยการส่งตัวคนในรัฐบาลไปเป็นพยานในชั้นศาลให้กับแกนนำก่อการร้ายเสื้อแดง จนได้รับอิสระออกมาภายนอกคุก เพียงเพื่อหวังผลทางการเมือง ด้วยการอาศัยคนเสื้อแดงเป็นเกราะป้องกันทหารไม่ให้ออกมาปฏิวัติเท่านั้น
แต่ในอีกด้านหนึ่งการกระทำของนายอภิสิทธิ์ ได้ทำลายกระบวนการยุติธรรมทางอ้อม เนื่องจากหลังจากนั้นเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ บรรดาเหล่าก่อการร้าย ที่มีข้อหาร้ายแรงถึงขั้นยิงอาวุธสงครามจนทำให้ทหารและประชาชนเสียชีวิต ก็ยังได้สบโอกาสขอประกันตัวจนได้รับอิสรภาพมาด้วยเช่นกัน
คงต้องถามนายอภิสิทธิ์ว่า นี่ใช่หรือไม่ คำว่านิติรัฐ นี่ใช่หรือไม่ที่ จะปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งที่หากใครไม่หูตามืดบอดก็จะทราบดีว่า คนกลุ่มไหนมีแนวคิดมาดร้ายต่อสภาบันเบื้องสูง
และหากจะกล่าวถึงความไร้น้ำยาในการเป็นรัฐบาล ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้สร้างความเจ็บปวดรวดร้าวให้กับคนไทยด้วยกันเอง ก็หนีไม่พ้นปัญหาชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา เพราะจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่สามารถช่วยนายวีระ สมความคิด ที่ป่วยหนักและถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำเพรย์ซอว์หลังจากได้ลงไปตรวจพื้นที่ทับซ้อนจนถูกทหารกัมพูชาจับกุม ซึ่งจะกล่าวว่าเป็นแผนการของพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ผิดนัก เนื่องจากว่าคนที่ชวนนายวีระ ลงไปคือนายพนิช วิกิจเศรษฐ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ในขณะที่ภาพรวมของการแก้ปัญหาคนระดับนายกรัฐมนตรีก็หาได้มีบารมีมากไปกว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมต.กลาโหม ผู้ค้ำยันอำนาจรัฐบาล ล่าสุดยังได้ลั่นวาจา "กูไม่ไปหรอก" ที่ตอบคำถามว่าจะไปร่วมประชุมจีบีซีหรือไม่ คงจะสะท้อนภาพภาวะผู้นำบกพร่องของนายอภิสิทธิ์ ได้เป็นอย่างดี
หากแต่ว่ายังไม่หมดแค่นั้น เพราะยังมีสารพัดความล้มเหลวในการบริหารประเทศของพรรคประชาธิปัตย์อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้ จนมาถึงขณะนี้สถานการณ์ยังรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ หรือจะเป็นสูตรเดิมๆ ในการแก้ปัญหาของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้ตั้งคณะกรรมการปฏิรูปชุดนายอานันท์ ปันยารชุน แต่สุดท้ายก็พบว่าหลายข้อเสนอไม่ได้รับการตอบรับจากรัฐบาลเท่าที่ควร
ซึ่งสิ่งที่ตามมาก็คือโจทย์ใหญ่ๆของประเทศที่ต้องควรจะได้รับการแก้ไขก็มีอันต้องพับเก็บไปอีกตามเคย
สะท้อนให้เห็นชัดแจ้งว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และบรรดาพรรคประชาธิปัตย์หาได้สนใจปัญหาระยะยาวของประเทศเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นแค่ผลงานชิ้นโบดำเพียงบางส่วนของคณะพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะแกนนำรัฐบาล ที่หากจะถามว่าทำผลงานบริหารประเทศในเชิงประจักษ์อันใดบ้าง ก็คงต้องคิดหลายตลบว่าภายใต้การนำประเทศของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง บรรดาพรรคร่วมรัฐบาล ที่มีนายเนวิน ชิดชอบ หัวหน้าพรรคตัวจริง พรรคภูมิใจไทย นายชวรัตน์ ชาญวีรกุล รมว.มหาดไทย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม ฯ เขาเหล่านั้นได้ทำประโยชน์อันใดให้กับประเทศไทยบ้าง
อีกทั้งเชื่อขนมกินได้เลยว่าหากพรรคประชาธิปัตย์ได้เสียงข้างมากก็จะต้องประสานบรรดาพรรคภูมิใจไทยที่ได้จับมือกับพรรคชาติไทยพัฒนา ของนายบรรหาร ศิลปอาชา เข้ามาร่วมกันเป็นรัฐบาลอีกครั้ง
หนีไม่พ้นประเทศต้องกลับมาเจอวงจรอุบาทว์เดิมๆ ซึ่งเราก็คงได้เห็นเขาเหล่านั้น ผู้ซึ่งมิได้มีความรู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับหน้าที่ที่รับผิดชอบดูแลเลยแม้แต่น้อย มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี นอกเสียจากการประคองอำนาจร่วมกันโดยมิได้ทำสิ่งใดที่มีประโยชน์ต่อประเทศชาติ
ที่สำคัญเวลาที่ผ่านมา 2 ปีกว่าก็เชื่อได้ว่าประชาชนคงจะเห็นถึงธาตุแท้ของพรรคประชาธิปัตย์ในการเถลิงอำนาจเป็นรัฐบาลได้เป็นอย่างดี ที่แม้จะถึงวินาทีสุดท้ายในการเลือกตั้ง พวกเขาก็ยังได้แสดงธาตุแท้อย่างชัดแจ้ง ด้วยงัดวิชาก้นหีบด้วยการบีบบังคับประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ด้วยการขู่ว่าถ้าไม่เลือกพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะได้ทักษิณ ชินวัตร กลับมาบริหารประเทศ
ได้ยินคำนี้แล้ว นักการเมืองรุ่นเก่าที่เคยโดนเล่ห์เพทุบายของประชาธิปัตย์คงซาบซึ้งกับวิธีการเยี่ยงนี้เป็นอย่างดี แต่จะเข็ดขยาดหรือไม่ คงต้องไปถามนายบรรหารที่ถูกเล่นงานจนตกเก้าอี้แต่ก็ยังกลืนเลือดเข้าร่วมรัฐบาลกับประชาธิปัตย์อีกครั้ง
มาถึงขณะนี้ก็ต้องบอกว่า คงไม่มีสิ่งใดดัดสันดานพรรคเก่าแก่นี้ได้ดีไปกว่าเข้าคูหาเลือกตั้งกากบาทโหวตโน เพื่อที่จะบอกว่าประชาชนคนไทยไม่ต้องการพรรคการเมืองที่บริหารประเทศด้วยความหน่อมแน้ม เกิดปัญหาคอรัปชั่นมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ นายกรัฐมนตรีบกพร่องภาวะความเป็นผู้นำ บริหารประเทศโดยใช้สำนวนโวหารไปวันๆ ... อีกต่อไป