ASTVผู้จัดการรายวัน - ทำเลย่านบางนาบูม! ธุรกิจต่างชาติ พาเหรดบุกไทย "อิเกีย”แบรนด์ระดับโลกจากสวีเดน ประกาศเปิดสาขาในไทย 3 สาขาพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 40,000 ตร.ม. ยืนยันสาขาบางนาพร้อมเปิดให้บริการ 3 พ.ย.นี้ ชูนโยบายสินค้าราคาถูกกว่าคู่แข่งในท้องตลาด 10-20% มั่นใจราคาจุดดึงความสนใจของลูกค้า ด้าน "อาซือหม่ากรุ๊ป" รุกเข้าชี้แจงโครงการศูนย์ค้าส่งสินค้าจีนราคาถูก มูลค่า 4.5 หมื่นล้าน ย่านบางนา-ตราด ต่อคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร แล้ว
นายทอม ฮูเซล กรรมการผู้จัดการบริษัท อิคาโน่ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ถือลิขสิทธิ์แฟรนไชส์ของ “อิเกีย” (IKEA)แบรนด์เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านในประเทศสิงคโปร์ มาเลเชียและไทย กล่าวว่า พร้อมที่จะเปิดให้บริการอิเกีย สาขาบางนาในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2554 นี้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าทำเลที่ตั้งของอิเกียถือว่าอยู่นอกเมือง ซึ่งเป็นนโยบายของอิเกียอยู่แล้ว ที่ไม่ต้องการเพิ่มต้นทุนจนทำให้ไปกระทบต่อราคาสินค้าที่วางขาย แต่ภายหลังการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอสอ่อนนุช-แบริ่ง และรถไฟฟ้าสายสีส้มก็จะทำให้การคมนาคมสะดวกขึ้น นอกจากนี้ ยังได้จัดรถรับส่งลูกค้าที่มาใช้บริการจากสถานีรถไฟฟ้าบางนา หรืออ่อนนุชโดยคาดว่าจะมีลูกค้ามาเดินที่ศูนย์ไม่ต่ำกว่า 4.5 ล้านคน/ปี
สำหนับนโยบายของอิเกียที่ใช้ทั่วโลก 316 สาขาใน 38 ประเทศ คือ สินค้าราคาย่อมเยา คุณภาพดี มีดีไซน์ ซึ่งจุดขายสำคัญคือสินค้าราคาถูกกว่าคู่แข่งในประเทศนั้นๆ ไม่ต่ำกว่า 10-20% และถือว่าเป็นสิ่งสำคัญให้อิเกียเติบโตมากในปัจจุบัน
ทั้งนี้ สาเหตุที่อิเกียสามารถขายสินค้าได้ในราคาต่ำ เนื่องจากให้วิธีสั่งซื้อสินค้าล็อตใหญ่ ทำให้มีอำนาจในการต่อรองและซื้อสินค้าได้ในราคาถูก และนำสินค้าเหล่านั้นกระจายไปขายยังสาขาต่างๆทั่วโลก โดยปัจจุบันอิเกียสั่งซื้อสินค้าจากแหล่งผลิตหลัก 70 ประเทศ และไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่อิเกียสั่งผลิตสินค้าเช่นกัน นอกจากนี้สินค้าส่วนใหญ่เป็นรูปแบบ DIY หรือผู้บริโภคซื้อแล้วนำไปประกอบเอง ดังนั้นจึงไม่มีค่าใช้จ่ายในเรื่องบริการและค่าขนส่งทำให้สามารถตั้งราคาขายได้ถูกกว่าคู่แข่งในตลาด
“ในอนาคตเมื่อพูดถึงเฟอร์นิเจอร์ราคาถูกคนไทยต้องนึกถึงอิเกียเป็นอันดับแรก ส่วนลูกค้าที่ต้องการให้บริการติดตั้งหรือส่งสินค้าที่คู่แข่งรายอื่นถือเป็นจุดด้อยของอิเกียนั้น ไม่เป็นความจริงเพราะอิเกียก็จะมีบริการเสริมให้แต่จะคิดค่าบริการเพิ่มอีกเล็กน้อย เพราะไม่ต้องการบวกค่าบริการดังกล่าวเข้าไปในราคาสินค้า” นายทอมกล่าว
นายทอมกล่าวต่อว่า สำหรับการลงทุนในไทยนั้นบริษัทมีแผนที่จะเปิดสาขาเพิ่มอีก 3 แห่ง เมื่อพิจารณาจากศักยภาพและ จำนวนประชากรของไทย ขนาดพื้นที่ในแต่ละสาขาไม่ต่ำกว่า 40,000 ตร.ม. งบการลงทุนประมาณ 3,000 ล้านบาท/สาขาโดยในช่วง 5 ปีแรกหลังเปิดสาขาบางนามีแผนจะเปิดเพิ่มอีก 1 สาขาหลังจากนั้นก็จะเปิดสาขาที่ 3 นอกจากนี้ยังมีแผนลงทุนเพิ่มอีก 2 สาขาในมาเลเชีย ส่วนสิงคโปร์นั้นจะไม่เปิดสาขาแต่จะใช้เป็นสำนักงานกลางในการประสานงานของอิเกียในภูมิภาค.
ขณะเดียวกัน วานนี้ (9มี.ค.) นายวิจิตร หยาง นายกสมาคมส่งเสริมเศรษฐกิจและความร่วมมือการค้าอาเซียน-จีน นำ มร.ต่ง หงฉี ประธานอาซือหม่ากรุ๊ป เข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร เพื่อชี้แจงกรณีการเข้ามาลงทุนโครงการขนาดใหญ่ในประเทศไทย โดยใช้ชื่อโครงการว่า "Thai-China International Products City" ซึ่งมีมูลค่าโครงการกว่า 45,000 ล้านบาท ย่านบางนา-ตราด กรุงเทพฯ
โดยโครงการ "ไชน่า ซิตี้ คอมเพล็กซ์" ศูนย์ค้าส่งสินค้าจีน ของกลุ่ม"อาซือหม่ากรุ๊ป" ได้สร้างความกังวลให้กับ ผู้ประกอบการโดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจทุกภาคส่วน ทั้งภาคการผลิต ส่งออกบริการ ตลอดจนผู้ค้าของไทย เนื่องจากกังวลถึงผลกระทบที่กำลังจะเกิดขึ้นโดยที่ผู้ประกอบการไม่ทันตั้งตัว จนเกิดการเคลื่อนไหวคัดค้านโครงการนี้เพราะไม่ต้องการให้เกิดการซ้ำรอยเดียวกันกับธุรกิจโชห่วยที่ถูกต่างชาติกลืนจนหมด7 กุมภาพันธ์นี้
เนื่องจากโครงการนี้เป็นโครงการขนาดใหญ่มีขนาดพื้นที่ถึง 2 ล้านตารางเมตร รวมทั้งหมดถึง 3 เฟส ประกอบด้วย ศูนย์ค้าส่ง-ค้าปลีก โรงงานผลิตโรงแรม และหลายฝ่ายประเมินว่า จะส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ไม่ใช่แค่ธุรกิจเอสเอ็มอีไทยเท่านั้นแต่ขยายไปถึงโรงงานผลิต และการท่องเที่ยวด้วยซ้ำ
นายทอม ฮูเซล กรรมการผู้จัดการบริษัท อิคาโน่ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ถือลิขสิทธิ์แฟรนไชส์ของ “อิเกีย” (IKEA)แบรนด์เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านในประเทศสิงคโปร์ มาเลเชียและไทย กล่าวว่า พร้อมที่จะเปิดให้บริการอิเกีย สาขาบางนาในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2554 นี้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าทำเลที่ตั้งของอิเกียถือว่าอยู่นอกเมือง ซึ่งเป็นนโยบายของอิเกียอยู่แล้ว ที่ไม่ต้องการเพิ่มต้นทุนจนทำให้ไปกระทบต่อราคาสินค้าที่วางขาย แต่ภายหลังการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอสอ่อนนุช-แบริ่ง และรถไฟฟ้าสายสีส้มก็จะทำให้การคมนาคมสะดวกขึ้น นอกจากนี้ ยังได้จัดรถรับส่งลูกค้าที่มาใช้บริการจากสถานีรถไฟฟ้าบางนา หรืออ่อนนุชโดยคาดว่าจะมีลูกค้ามาเดินที่ศูนย์ไม่ต่ำกว่า 4.5 ล้านคน/ปี
สำหนับนโยบายของอิเกียที่ใช้ทั่วโลก 316 สาขาใน 38 ประเทศ คือ สินค้าราคาย่อมเยา คุณภาพดี มีดีไซน์ ซึ่งจุดขายสำคัญคือสินค้าราคาถูกกว่าคู่แข่งในประเทศนั้นๆ ไม่ต่ำกว่า 10-20% และถือว่าเป็นสิ่งสำคัญให้อิเกียเติบโตมากในปัจจุบัน
ทั้งนี้ สาเหตุที่อิเกียสามารถขายสินค้าได้ในราคาต่ำ เนื่องจากให้วิธีสั่งซื้อสินค้าล็อตใหญ่ ทำให้มีอำนาจในการต่อรองและซื้อสินค้าได้ในราคาถูก และนำสินค้าเหล่านั้นกระจายไปขายยังสาขาต่างๆทั่วโลก โดยปัจจุบันอิเกียสั่งซื้อสินค้าจากแหล่งผลิตหลัก 70 ประเทศ และไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่อิเกียสั่งผลิตสินค้าเช่นกัน นอกจากนี้สินค้าส่วนใหญ่เป็นรูปแบบ DIY หรือผู้บริโภคซื้อแล้วนำไปประกอบเอง ดังนั้นจึงไม่มีค่าใช้จ่ายในเรื่องบริการและค่าขนส่งทำให้สามารถตั้งราคาขายได้ถูกกว่าคู่แข่งในตลาด
“ในอนาคตเมื่อพูดถึงเฟอร์นิเจอร์ราคาถูกคนไทยต้องนึกถึงอิเกียเป็นอันดับแรก ส่วนลูกค้าที่ต้องการให้บริการติดตั้งหรือส่งสินค้าที่คู่แข่งรายอื่นถือเป็นจุดด้อยของอิเกียนั้น ไม่เป็นความจริงเพราะอิเกียก็จะมีบริการเสริมให้แต่จะคิดค่าบริการเพิ่มอีกเล็กน้อย เพราะไม่ต้องการบวกค่าบริการดังกล่าวเข้าไปในราคาสินค้า” นายทอมกล่าว
นายทอมกล่าวต่อว่า สำหรับการลงทุนในไทยนั้นบริษัทมีแผนที่จะเปิดสาขาเพิ่มอีก 3 แห่ง เมื่อพิจารณาจากศักยภาพและ จำนวนประชากรของไทย ขนาดพื้นที่ในแต่ละสาขาไม่ต่ำกว่า 40,000 ตร.ม. งบการลงทุนประมาณ 3,000 ล้านบาท/สาขาโดยในช่วง 5 ปีแรกหลังเปิดสาขาบางนามีแผนจะเปิดเพิ่มอีก 1 สาขาหลังจากนั้นก็จะเปิดสาขาที่ 3 นอกจากนี้ยังมีแผนลงทุนเพิ่มอีก 2 สาขาในมาเลเชีย ส่วนสิงคโปร์นั้นจะไม่เปิดสาขาแต่จะใช้เป็นสำนักงานกลางในการประสานงานของอิเกียในภูมิภาค.
ขณะเดียวกัน วานนี้ (9มี.ค.) นายวิจิตร หยาง นายกสมาคมส่งเสริมเศรษฐกิจและความร่วมมือการค้าอาเซียน-จีน นำ มร.ต่ง หงฉี ประธานอาซือหม่ากรุ๊ป เข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร เพื่อชี้แจงกรณีการเข้ามาลงทุนโครงการขนาดใหญ่ในประเทศไทย โดยใช้ชื่อโครงการว่า "Thai-China International Products City" ซึ่งมีมูลค่าโครงการกว่า 45,000 ล้านบาท ย่านบางนา-ตราด กรุงเทพฯ
โดยโครงการ "ไชน่า ซิตี้ คอมเพล็กซ์" ศูนย์ค้าส่งสินค้าจีน ของกลุ่ม"อาซือหม่ากรุ๊ป" ได้สร้างความกังวลให้กับ ผู้ประกอบการโดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจทุกภาคส่วน ทั้งภาคการผลิต ส่งออกบริการ ตลอดจนผู้ค้าของไทย เนื่องจากกังวลถึงผลกระทบที่กำลังจะเกิดขึ้นโดยที่ผู้ประกอบการไม่ทันตั้งตัว จนเกิดการเคลื่อนไหวคัดค้านโครงการนี้เพราะไม่ต้องการให้เกิดการซ้ำรอยเดียวกันกับธุรกิจโชห่วยที่ถูกต่างชาติกลืนจนหมด7 กุมภาพันธ์นี้
เนื่องจากโครงการนี้เป็นโครงการขนาดใหญ่มีขนาดพื้นที่ถึง 2 ล้านตารางเมตร รวมทั้งหมดถึง 3 เฟส ประกอบด้วย ศูนย์ค้าส่ง-ค้าปลีก โรงงานผลิตโรงแรม และหลายฝ่ายประเมินว่า จะส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ไม่ใช่แค่ธุรกิจเอสเอ็มอีไทยเท่านั้นแต่ขยายไปถึงโรงงานผลิต และการท่องเที่ยวด้วยซ้ำ
