xs
xsm
sm
md
lg

มองเห็นภาพใหญ่ แนวคิดแนวทางก็ถูกต้อง

เผยแพร่:   โดย: สันติ ตั้งรพีพากร

การสร้างอำนาจประชาชน ให้เป็นอำนาจกำหนดใหม่อันยิ่งใหญ่ จนกระทั่งสามารถต่อสู้เอาชนะอำนาจกลุ่มทุนสามานย์ ซึ่งเป็นอำนาจกำหนดเก่าของการเมืองเก่าได้อย่างเบ็ดเสร็จ คือแนวคิดยุทธศาสตร์ของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

ในการต่อสู้เพื่อให้ได้ชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จนี้ ขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้กำหนดแนวทางการต่อสู้ ให้ดำเนินการต่อสู้ด้วยสันติวิธี ใช้ “ความจริง”เป็นอาวุธ โดยพัฒนาเครื่องมือทางยุทธศาสตร์ขึ้นมาจำนวนหนึ่ง ที่สำคัญๆ ก็เช่น สถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี และพรรคการเมืองใหม่

อะไรคือ “ตัวกำหนด” ให้แกนนำพันธมิตรฯ เกิดแนวคิดและใช้แนวทางดังกล่าว?

ในทัศนะของผู้เขียนหลักๆ ก็คือ “การมองเห็นภาพใหญ่”

ถ้าใช้คำพูดของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำคนสำคัญของพันธมิตรฯ ก็คือ “การมองเห็นป่าทั้งป่า” การมองเห็นภาพใหญ่หรือการมองเห็นป่าทั้งป่า ผู้เขียนขอถือวิสาสะตีความในเชิงทฤษฎีว่า หมายถึงการเข้าถึงกฎเกณฑ์หรือเหตุปัจจัยหลักที่กำหนดควบคุมการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยครั้งนี้ ซึ่งประกอบไปด้วยตัวแปรหลักๆ เช่น ลักษณะของยุคสมัยในปัจจุบัน สภาวะเป็นจริงของประเทศไทย สภาพจิตใจหรือความเรียกร้องต้องการของประชาชนชาวไทย

ลักษณะของยุคสมัยในปัจจุบันนี้ ก็คือ “สันติภาพและการพัฒนา” และ “ประชาธิปไตยแบบเอเชีย” (การมีรัฐบาลที่ดี ใช้อำนาจบริหารประเทศเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม)

อธิบายได้ว่า ณ วันนี้ สังคมโลก หรือรัฐบาลของประเทศส่วนใหญ่ ต่างพยายามเสริมสร้างสันติภาพขึ้นภายในประเทศตน พยายามช่วยกันเสริมสร้างสันติภาพขึ้นภายในภูมิภาคตน และพร้อมให้ความร่วมมือในการสร้างสันติภาพขึ้นในทุกแห่งหนบนผิวโลกดวงนี้

การสร้างสันติภาพหมายถึงอะไร?

คงไม่ได้หมายถึงว่าเป็นความต้องการของใครคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ แต่หมายถึงความต้องการของยุคสมัย ของประชาชนส่วนใหญ่ของโลกที่เชื่อมโยงกันเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันด้วยระบบการสื่อสารโทรคมนาคมและการคมนาคมขนส่งที่ทันสมัยในยุคโลกาภิวัตน์

ในบริบทแห่งสังคมโลกยุคโลกาภิวัตน์เช่นนี้ สำนึกแรกของชาวโลกก็คือ “สันติภาพ” เพื่อให้ตนเองสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างเต็มที่ ตามเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยรอบด้าน ซึ่งสัมผัสและรับรู้ได้จากทุกทิศทางตลอดเวลา

ประเทศใดมีสันติภาพมากกว่า ก็จะพัฒนาประเทศได้ดีกว่า ประชาชนก็จะได้รับประโยชน์ยิ่งกว่า นี่คือตรรกะแห่งยุคสมัย

กระนั้นก็ตาม การได้มาซึ่งสันติภาพที่แท้จริงและผลพวงของการพัฒนาตกถึงมือประชาชนอย่างแท้จริงนั้น จำเป็นต้องกระทำผ่าน “ตัวแปร” สำคัญยิ่งยวดอย่างหนึ่ง ก็คือ รัฐบาล

รัฐบาลประเทศใด สามารถใช้อำนาจบริหารประเทศได้ดี มีธรรมาภิบาล มีประสิทธิภาพ ก็จะเกิดประสิทธิผลตามไปด้วย นั่นคือ ประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง เข้มแข็ง สังคมร่มเย็น ประชาชนอยู่ดีมีสุข

ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปในสภาวะที่สันติภาพกับการพัฒนาเกาะเกี่ยวกันไปได้อย่างกลมกลืน ตรงกันข้าม หากรัฐบาลประเทศใด ใช้อำนาจบริหารไปในทางมิชอบ มุ่งฉกฉวยฉ้อฉล เอาประโยชน์เข้าตัวเป็นหลัก ผลคือ ประเทศชาติก็เสื่อม ประชาชนก็ “เซ็ง” เกิดบรรยากาศเดือดเนื้อร้อนใจไปทั่ว เมื่อนั้น “สันติภาพ” ก็จะจางหาย การพัฒนาก็จะเป็นไปอย่างฝืดเฝือ วกวนอยู่ในวงจรเดิมๆ ที่เราเรียกกันว่า “วงจรอุบาทว์”

การขับเคลื่อนของระบบ กลไก และองคาพยพต่างๆ ในสังคม ดำเนินไปอย่างสับสน ยึกยัก ติดขัดไปทั่ว

ด้วยเหตุนี้ ประเทศใดต้องการให้เกิดสันติภาพที่แท้จริงภายในประเทศตน สามารถพัฒนาประเทศได้อย่างรอบด้าน ยังประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติและประชาชน ก่อนอื่นใด จะต้องมีรัฐบาลที่ดีบริหารประเทศ

ณ วันนี้ กลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิกจำนวนหนึ่ง ได้ก้าวถึงขั้นมีรัฐบาลที่ดีบริหารประเทศแล้ว เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน เวียดนาม สิงคโปร์ มาเลเซีย เป็นต้น ส่งผลให้ประเทศเหล่านี้พัฒนาก้าวหน้าอย่างมั่นคง ประชาชนอยู่ดีกินดีมีสุขมากขึ้นเรื่อยๆ สามารถมองเห็นช่องทางที่พัฒนาคุณภาพชีวิตของตนได้อย่างชัดเจน พอที่จะทำการวางแผนสร้างชีวิตของตนได้อย่างรอบด้าน และมีความเชื่อมั่นถึงความเป็นไปได้จริงเสมอ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ตรงกันข้าม อีกหลายประเทศ เช่น ไทย พม่า กัมพูชา ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เป็นต้น ยังไม่มีรัฐบาลที่ดีพอที่จะปรับปรุงระบบการใช้อำนาจของกลไกรัฐให้เกิดประสิทธิภาพและโปร่งใสได้อย่างแท้จริง นักการเมืองหรือผู้มีอำนาจส่วนใหญ่ยังติดข้องอยู่กับการแสวงประโยชน์ส่วนตนเป็นหลัก ประเทศชาติไม่ได้รับการพัฒนาตามที่ควรจะเป็น ประชาชนขาดความสุขที่ควรจะมี ขาดความมั่นใจต่อชีวิตอนาคตในทันทีที่ผูกโยงชีวิตตนเข้ากับสถานการณ์โดยรวมภายในประเทศตน ตกอยู่ในสภาพ “อยู่ไปวันๆ ได้ก็ดีถมไป”

สรุปได้ว่า การมองเห็นภาพใหญ่ เข้าถึงลักษณะแห่งยุคสมัย จะทำให้เรามองเห็นปัญหาภายในประเทศของตน เกิดแนวคิดและแนวทางการแก้ไขปัญหาด้วยตนเองอย่างถูกต้อง

พิจารณาในอีกมุมหนึ่ง การมองเห็นภาพใหญ่ จะทำให้เราตระหนักถึง “กรอบกำหนด” ที่จะ “อนุญาต” หรือ “ไม่อนุญาต” ให้เราดำเนินการแก้ไขปัญหา ว่าสามารถทำได้ในระดับไหน ในรูปแบบอะไร

เช่น การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในประเทศไทย เพื่อให้ได้มาซึ่งรัฐบาลที่ดี โดยนัยสำคัญก็คือการล้างการเมืองเก่า สร้างการเมืองใหม่ สามารถกระทำได้ด้วยวิถีทางการต่อสู้ทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเท่านั้น ต้องใช้รูปแบบการต่อสู้ด้วยสันติวิธีเท่านั้นจึงจะสำเร็จ หากมิใช่ด้วยการรัฐประหารยึดอำนาจ หรือปฏิวัติโค่นล้ม

การรัฐประหารยึดอำนาจโดยกลุ่มทหารไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ เพราะกลุ่มทหารไม่อาจทำหน้าที่เป็นรัฐบาลที่ดีได้ เรื่องนี้ทุกฝ่ายต่างเห็นตรงกันแล้ว แม้แต่กลุ่มทหารเอง

แต่ที่สำคัญคือ ในยุคปัจจุบัน อำนาจที่มาจากการรัฐประหาร เป็นอำนาจเผด็จการของคนกลุ่มหนึ่ง ขาดความเป็นประชาธิปไตย จะไม่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ ยกเว้นบางประเทศที่ประเทศมหาอำนาจสนับสนุนหรืออยู่เบื้องหลังการกระทำรัฐประหาร ซึ่งปัจจุบันมีน้อยมาก

ส่วนการปฏิวัติโค่นล้ม ไม่ว่าจะด้วยการแอบอ้างใดๆ ก็มีแต่จะสร้างความเสียหายใหญ่หลวงแก่ประเทศชาติ จะเกิดความแตกแยกอย่างใหญ่หลวงในหมู่ประชาชนชาวไทย อันยากที่จะเยียวยาได้

แต่ที่หนักไปยิ่งกว่านั้นก็คือ ใน “ยุคสันติภาพและการพัฒนา” นี้ การปฏิวัติโค่นล้มด้วยกำลังอาวุธหรือความรุนแรงใดๆ ง่ายนักที่จะถูกจัดเข้าไปอยู่ในข่ายของความเป็นกลุ่มผู้ก่อการร้าย แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับขบวนการปฏิวัติสังคมของประชาชน ในยุค “สงครามและการปฏิวัติ” ที่เป็นไปอย่างกว้างขวางในช่วงก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

นั่นคือ “บรรยากาศใหญ่” ของสังคมโลกเปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิง ไม่มีเงื่อนไขให้ใครลุกขึ้นมาประกาศตัวเป็นนักปฏิวัติได้ง่ายๆ ถ้าฝืนทำไปก็รังแต่จะแห้งตายเปล่า เพราะไม่มีใครเขาเอาด้วย ทั้งประชาชนในประเทศ (อาจมีข้อยกเว้น เช่น พวกหลงเชื่อ ซึ่งนับวันแต่จะร่อยหรอลง) และรัฐบาลต่างประเทศ (อาจมีข้อยกเว้นเช่นรัฐบาล “กุ๊ย” ของบางประเทศที่ล้าหลังป่าเถื่อน)

ดังนั้น การเลือกแนวทางการต่อสู้ด้วยสันติวิธี ด้วยวิถีอารยะ โดยขบวนการการเมืองภาคประชาชนเป็น “เจ้าภาพ” นำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงเป็นการแก้ปัญหาเรื่อง “ใครนำ” และ “ทำอย่างไร” ได้อย่างถูกต้อง สอดคล้องอย่างยิ่งกับสภาพเป็นจริงของประเทศไทย สอดคล้องอย่างยิ่งกับลักษณะยุคสมัยของสังคมโลกยุคปัจจุบัน

นี่คือคำอธิบายว่า ทั้งหมดที่ดำเนินมาได้ และกำลังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จากการเมืองเก่าสู่การเมืองใหม่ (อย่างแน่นอน) ก็เพราะพวกเราชาวพันธมิตรฯ ตั้งแต่แกนนำทั้ง 5 ไปจนถึงพวกเราทุกคน สามารถมองเห็นภาพใหญ่ หรือมองเห็นป่าทั้งป่า ใช้สิ่งที่เรารับรู้จากการเข้าถึงแก่นแท้และเหตุปัจจัยของปัญหา ทั้งในระดับชาติและระดับโลก มากำหนดแนวคิดและแนวทางการเคลื่อนไหวต่อสู้ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่ต้นจนปลาย

การมองเห็นภาพใหญ่ เข้าถึงแก่นแท้ของปัญหา จึงเป็นคุณสมบัติร่วมกันของชาวพันธมิตรฯ เป็นอาวุธทางความคิดที่ทำให้ชาวพันธมิตรฯ “รบชนะในการทำศึกใหญ่ๆ เสมอ”
กำลังโหลดความคิดเห็น