xs
xsm
sm
md
lg

ตัวอย่างทักษิณ ตัวอย่างการใช้สื่อทางชั่วร้าย

เผยแพร่:   โดย: สุทธิพงษ์ ปรัชญพฤทธิ์

โดย...สุทธิพงษ์ ปรัชญพฤทธิ์

ผมลองรวบรวมดูบทความที่ผมเขียนเกี่ยวกับคนที่ดูถูกดูแคลนคุกไทย ไม่ยอมติดคุกไทย มีมากกว่า 40 เรื่อง เรื่องที่เขียนส่วนใหญ่จะออกในแนววิชาการ ข้อมูลอ้างอิงมีความสัมพันธ์กับเรื่องที่เกิดขึ้นอธิบายเป็นกลไกได้ ทักษิณที่อวดตัวว่ามีความรู้เรื่องเศรษฐกิจดี แต่ไม่ทราบกลไกดังกล่าว ว่าทำไมเศรษฐกิจถึงดีและไม่ดี แต่ไม่ว่าเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจจะดีหรือร้าย ทักษิณสวมรอยเอามาพูดดีใส่ตัวได้ทั้ง 2 ทาง

คนที่ไม่รับผิดชอบคำพูดของตัวเอง พูดได้ไม่มีติด ไม่มีสะดุด ทั้งมุสา ทั้งเบี่ยงเบน ทั้งมายาสาไถย ทั้งใส่ความคนอื่น พูดไม่มีกาลเทศะ ประกอบกับทักษิณเป็นคนที่บ้าน้ำลายขนาดหนัก เรื่องเลยเละกันทั้งประเทศ ไม่ใช่เฉพาะช่วงหมดอำนาจเท่านั้น ในช่วงที่มีอำนาจ ก็พูดเป็นต่อยหอย รายการนายกฯ พบประชาชนทุกเช้าวันเสาร์ พูดทีไร คนฮือฮาทุกเสาร์ ตามวิจารณ์ต่อเนื่องกันอีก 3 วัน หนึ่งปีมี 52 สัปดาห์ ชาวบ้านไม่ต้องมีอันทำอะไร ปั่นป่วนตามวิสัยทัศน์ที่มักง่ายของทักษิณตลอดปี แต่คนจำนวนหนึ่งหลงใหลในคำพูดของทักษิณ ทักษิณเป็นตัวอย่างที่เลวของเยาวชน

ทักษิณเป็นคนที่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น ชอบพูดให้คนอื่นฟังอย่างเดียว (One way communication) ไม่ชอบตอบคำถามคนอื่น ช่วงของรัฐบาลทักษิณ นอกจากจะมีรายการนายกฯ พบประชาชนทุกเช้าวันเสาร์แล้ว ได้มีความพยายามที่จะให้มีรายการนายกฯ พบผู้สื่อข่าวทุกบ่ายวันพฤหัสบดีเช่นกัน (Two ways communication) คำถามใดถูกใจ นายกฯ ก็จะชูเครื่อง “หมายถูก” ขึ้นมา (หากจำไม่ผิด) บอกว่าเป็นคำถามที่สร้างสรรค์ คำถามใดไม่ถูกใจ นายกฯ ก็จะชูเครื่องหมายวงกลมขึ้นมา บอกว่าเป็นคำถามที่ไม่สร้างสรรค์ และไม่ตอบคำถามนั้น ทำไปได้ 2-3 สัปดาห์ก็มีอันต้องยุติลง ส่วนรายการนายกฯ พบประชาชนยังคงมีอยู่ตลอดไป แม้หมดอำนาจไปแล้ว ก็ละเมอคิดว่าตนเองยังเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ มีโฟนอิน และวิดีโอลิงค์ เข้ามาเป็นช่วงๆ เป็นที่อิดหนาระอาใจแก่ผู้คนทั่วไป

เครื่องมือที่สำคัญที่ทักษิณใช้คุกคามคนไทย มี 3 อย่าง 1) อำนาจ 2) เงิน และ 3) สื่อ สิ่งทั้ง 3 นี้มีประสิทธิภาพสูงพอๆ กัน ทักษิณไม่ได้ทำสิ่งใดในประเทศดีขึ้น ไม่ทำให้ประเทศไทยเจริญขึ้น ไม่ได้ทำให้ประเทศไทยหายจน ไม่ใช่ความสามารถตัวเองที่ใช้หนี้ไอเอ็มเอฟหมด และทำให้ราคายางสูงขึ้น แต่พยายามใช้สื่อสวมรอย บอกว่าตนเองทำให้ประเทศไทยดีขึ้น เจริญขึ้น และหายจน บอกว่าคนนั้นคนนี้อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติ บอกว่าปฏิวัติทำให้ประเทศไทยถอยไป 15 ปี ดูอย่างไรว่าถอยหลัง 15 ปี หลังการปฏิวัติวันที่ 19 กันยายน 2549 ทุนสำรองฯ เพิ่มขึ้นมากกว่าช่วงทักษิณอยู่ในอำนาจเสียอีก พูดพล่อยๆ คนทั่วไปไม่มีข้อมูล ไม่มีความรู้ ไม่มีความเข้าใจ จึงได้เชื่ออย่างเดียว

สื่อคือดาบ 2 คม หากใช้ได้อย่างถูกทาง ก็จะทำให้เกิดการสร้างสรรค์สูง หากใช้ในทางที่ผิด จะก่อให้เกิดการทำลายสูง กล่าวกันว่าใครครองสื่อ ผู้นั้นครองโลก สื่อโทรทัศน์และวิทยุ จะมีอิทธิพลสูงกว่าสื่อสิ่งพิมพ์ ชาวไร่-ชาวนา คนงานรับจ้าง กรรมกร คนโดยทั่วไปมีข้อมูล ความรู้ ความเข้าใจในเรื่องทั่วไปน้อย ไม่มีเวลาอ่านหนังสือพิมพ์ คนตาบอดและคนที่อ่านหนังสือไม่ออก ก็ได้อาศัยได้ยินเสียงจากโทรทัศน์และวิทยุ

ทักษิณมุสา และพูดแบบปลุกระดม (มิจฉาวาจา) ให้เห็นว่าตนเองดี ตนเองเก่ง คนอื่นไม่ดี คนอื่นไม่เก่ง ทำให้คนทุกระดับหลงเชื่อ ตั้งแต่ระดับล่างสุดไปจนถึงระดับบนสุด ตั้งแต่ชาวบ้านถึงระดับนักศึกษาและอาจารย์มหาวิทยาลัย ความเชื่อแตกออกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเชื่อทักษิณ อีกฝ่ายหนึ่งไม่เชื่อ

สามีแตกแยกกับภรรยา เพื่อน-เพื่อนแตกแยกกัน คนในหน่วยงานข้าราชการต่างๆ ต่างแตกเป็น 2 ฝ่าย ไม่ว่า ฝ่ายปกครอง ตำรวจ ทหาร อัยการ ศาล และเอกชน

กรณี 6 ตุลาคม 2519 สืบเนื่องจากการกลับเข้าประเทศของจอมพลถนอม กิตติขจร หลังจากที่ได้เดินทางออกนอกประเทศหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เป็นชนวนให้เกิด 6 ตุลาวิปโยค

ได้มีการใช้สถานีวิทยุกรมรักษาดินแดน ปลุกระดม ว่า คนที่อยู่ในธรรมศาสตร์เป็นคอมมิวนิสต์ เป็นแกว (ญวน) มีการสะสมอาวุธ จะล้มล้างสถาบัน พูดซ้ำๆ กลับไปกลับมา พูดซ้ำแล้วซ้ำอีก เมื่อตั้งใจจะปลุกระดม ก็จะทำได้สำเร็จ ทำให้คนที่อยู่นอกธรรมศาสตร์อารมณ์พลุ่งพล่าน โกรธแค้นคนที่อยู่ในธรรมศาสตร์ แล้วก็มีการบุกเข้าไปในธรรมศาสตร์ ใครที่หลุดออกมาได้ถูกรุมทุบตีตายอย่างทารุณ เหมือนไม่ใช่คนไทยด้วนกัน มีผู้บาดเจ็บ เสียชีวิต และสูญหายเป็นจำนวนมาก นี่คือตัวอย่างอันเลวร้ายของสื่อ ทำให้เกิดการทำลายล้างสูงมาก นอกจากนี้ ดีเจขวัญชัย ไพรพนา ที่อุดรราชธานี และ ดีเจต้อย ที่อุบลราชธานีก็จัดรายการแบบปลุกระดม ให้คนกลุ่มหนึ่งใช้อาวุธไปไล่ทำร้ายคนอีกกลุ่มหนึ่ง

จากบทความที่ผู้เขียนนำเสนอไว้มากกว่า 40 บทความ บอกว่าอดีตนายกฯ ทักษิณ ไม่มีอะไรดี ไม่ได้ทำอะไรให้ประเทศไทยดี ไม่ได้ทำให้ไทยเจริญ ทำให้ไทยจนลงกว่าเดิม แต่ขายชาติขายวิญญาณของประเทศให้ตนเองมั่งคั่งขึ้นมา แล้วใช้สื่อพูดแบบเบี่ยงเบนว่าตนเองทำดี ทำถูกต้อง ทำให้ประเทศไทยเจริญ

เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่การแตกแยกทางความคิดทางการเมือง แต่เป็นการปลุกระดมทำเพื่อประโยชน์ส่วนตนอย่างเอาเป็นเอาตาย ประเทศจะเดือดร้อยอย่างไร ไม่คำนึง ปลุกระดมเพื่อประโยชน์ของตนเอง นายจตุพร พรหมพันธุ์ หลงเชื่อว่าทักษิณ ว่าดีและเก่ง อย่างไม่ลืมหูลืมตา ไม่มีใครสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยแท้ที่จริงแล้ว ทักษิณเปรียบไม่ได้เท่าขี้เล็บ เมื่อเทียบกับพล.อ.เปรม ตั้งเวที “ด่า” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อย่างสาดเสียเทเสีย “ไป ไปตายไปๆ ๆ” ผมไม่โทษคนเสื้อแดงที่มาชุมนุม ซึ่งเหมือนคนที่ถูกปั่นให้โกรธแค้นให้ไปฆ่าคนในธรรมศาสตร์เมื่อ 6 ตุลาคม 2519 ผมหดหู่กับผู้บริหารระดับสูงของประเทศ แยกไม่ออก อะไรคือการแสดงความคิดเห็น อะไรคือการปลุกระดม บริหารจัดการไม่ได้

เหตุการณ์ 6 ตุลา แม้จะจบด้วยความโหดร้ายทารุณ แต่ก็จบลงได้ ความคดในข้อ งอในกระดูกของทักษิณ ปลุกระดมประเทศไทยไปในทางเสื่อมมาตั้งแต่ปี 2544 ทุกวันนี้ก็ยังไม่จบ ก่อความเสียหายมากกว่าเหตุการณ์ 6 ตุลามาก

คนเป็นสื่อโดยทั่วไปก็หวังอะไรได้ยากอยู่แล้ว ประเทศไทยทุกข์เข็ญมากขึ้นทุกวัน คนเป็นสื่อแบบทักษิณ ยิ่งชั่วร้ายมากขึ้นไปอีก


พบกับผู้เขียนผ่านทวิทเตอร์ทุกวัน ที่นี่… http://twitter.com/indexthai
กำลังโหลดความคิดเห็น