รอยเตอร์ - บารัค โอบามา ผู้ชิงชัยประธานาธิบดีจากเดโมแครตพยายามเพิ่มเสียงสนับสนุนโดยการนำเอาประเด็นความวิตกเรื่องราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นสูงมาใช้ โดยเขาประกาศเมื่อวันจันทร์(9)จะเก็บภาษีจากพวกบริษัทน้ำมัน ที่ทำกำไรเพิ่มขึ้นมหาศาลอย่างไม่คาดฝัน ถ้าหากว่าเขาได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี
โอบาม่าเริ่มการรณรงค์หาเสียงเป็นเวลาสองสัปดาห์โดยเน้นประเด็นเศรษฐกิจสหรัฐฯที่กำลังย่ำแย่ เขาได้พยายามชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างเขากับจอห์น แมคเคน ตัวแทนของพรรครีพับลิกัน โดยการบอกว่าแมคเคนสนับสนุนนโยบายการคลังของประธานาธิบดี "อย่างเต็มปากเต็มคำ" ซึ่งก็รวมถึงการยกเว้นภาษีแก่บริษัทน้ำมันด้วย
"ผมจะทำให้บริษัทน้ำมันอย่างเอซซอนต้องจ่ายภาษี สำหรับรายได้แบบส้มหล่นของพวกเขา และเราจะเอาเงินที่ได้มาไปช่วยอุดหนุนครอบครัวอเมริกันให้สามารถจ่ายค่าน้ำมันและค่าใช้จ่ายอื่น ๆที่พุ่งขึ้น" วุฒิสมาชิกจากอิลลินอยส์ที่เพิ่งได้เป็นว่าที่ตัวแทนพรรคเดโมแครตหมาด ๆหลังการถอนตัวของฮิลลารี คลินตันกล่าว
สภาพการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ชาวอเมริกันต้องดิ้นรนเพิ่มขึ้นเพื่อหาเงินมาจ่ายค่าน้ำมันเบนซิน ที่พุ่งขึ้นสู่ระดับ 4 ดอลลาร์ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์ รวมทั้งยังต้องเผชิญหน้ากับภาวะว่างงานที่สูงขึ้นและความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ดิ่งลงอีกด้วย ซึ่งเปิดโอกาสให้โอบาม่าใช้เรื่องเศรษฐกิจมาเป็นประเด็นสำคัญในการหาเสียงของเขา
การสำรวจความนิยมของแกลลัพชี้ว่า โอบามาได้รับเสียงสนับสนุนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยหลังจากคลินตันประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ และตอนนี้โอบามาก็มีคะแนนนำแมคเคน
ทางด้านแมคเคน ก็พยายามหันมาใช้ประโยชน์จากปัญหาเศรษฐกิจเช่นกัน ในระหว่างการรับประทานอาหารกลางวันเพื่อระดมทุนในเมืองริชมอนด์ รัฐเวอร์จิเนีย เขากล่าวว่า "ชาวอเมริกันกำลังเจ็บปวด"
"เราต้องการอัตราภาษีที่ต่ำลง เราต้องการแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจ เราต้องการมาตรการช่วยเหลือให้ครอบครัวไม่เสียบ้านไป"แมคเคนกล่าวพร้อมกับโจมตีโอบามาว่าต้องการจะขึ้นภาษีกำไรจากการขายหลักทรัพย์
ประเด็นเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่โอบามาคุ้นเคย ขณะที่แมคเคนจะมีความเชี่ยวชาญด้านความมั่นคงแห่งชาติและนโยบายต่างประเทศ และนโยบายหลักในการหาเสียงของเขาอย่างหนึ่งก็คือโจมตีโอบามาว่าไร้ประสบการณ์อย่างยิ่งจนไม่เหมาะสมที่จะมาเป็นผู้นำของประเทศ
โอบามาวัย 46 ปีผู้ซึ่งอาจจะได้เป็นประธานาธิบดีผิวดำคนแรกของอเมริกา ก็กล่าวโจมตีแมคเคนว่าเป็นผู้สนับสนุนแผนการเพิ่มการลดภาษีของประธานาธิบดีบุช ที่ทำให้บริษัทต่าง ๆไม่ต้องจ่ายภาษีคิดเป็นมูลค่ารวมถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งก็รวมทั้งเอซซอนโมบิล บริษัทน้ำมันใหญ่ที่สุดในโลก ที่ไม่ต้องจ่ายภาษีเป็นเงินถึง 1,200 ล้านดอลลาร์ จากรายได้ที่ทำไว้ 40,610 ล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว
"หากว่านโยบายของจอห์น แมคเคนได้รับการนำไปปฎิบัติแล้ว ก็จะทำให้หนี้ของประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 5.7 ล้านล้านดอลลาร์ภายในทศวรรษหน้า นี่ไม่ใช่แนวคิดอนุรักษนิยมทางการเงิน และนี่ก็เป็นสิ่งซึ่งจอร์จ บุชทำตลอดมาในช่วงเวลา 8 ปีที่ผ่านมา" โอบามากล่าว
อนึ่ง รอยเตอร์บอกว่า มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายเกิดขึ้นต่อนโยบายของโอบามาที่จะเก็บภาษีจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นของพวกบริษัทน้ำมัน เพราะสหรัฐฯเคยใช้วิธีการนี้มาแล้วเมื่อช่วงทศวรรษ 1980 ในปีสุดท้ายของรัฐบาลประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ แต่กลับส่งผลกระทบในทางลบต่อเศรษฐกิจ
เสียงวิพากษ์กล่าวว่านโยบายจะทำให้บริษัทน้ำมันลดการผลิตภายในประเทศ ในขณะเดียวกันรัฐบาลก็อาจจะไม่สามารถเก็บภาษีได้มากเท่ากับที่พวกผู้แทนในรัฐสภาหวังเอาไว้ และมาตรการนี้ก็ถูกยกเลิกไปในปี 1988 ซึ่งเป็นสมัยของประธานาธิบดีเรแกน
โอบาม่าเริ่มการรณรงค์หาเสียงเป็นเวลาสองสัปดาห์โดยเน้นประเด็นเศรษฐกิจสหรัฐฯที่กำลังย่ำแย่ เขาได้พยายามชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างเขากับจอห์น แมคเคน ตัวแทนของพรรครีพับลิกัน โดยการบอกว่าแมคเคนสนับสนุนนโยบายการคลังของประธานาธิบดี "อย่างเต็มปากเต็มคำ" ซึ่งก็รวมถึงการยกเว้นภาษีแก่บริษัทน้ำมันด้วย
"ผมจะทำให้บริษัทน้ำมันอย่างเอซซอนต้องจ่ายภาษี สำหรับรายได้แบบส้มหล่นของพวกเขา และเราจะเอาเงินที่ได้มาไปช่วยอุดหนุนครอบครัวอเมริกันให้สามารถจ่ายค่าน้ำมันและค่าใช้จ่ายอื่น ๆที่พุ่งขึ้น" วุฒิสมาชิกจากอิลลินอยส์ที่เพิ่งได้เป็นว่าที่ตัวแทนพรรคเดโมแครตหมาด ๆหลังการถอนตัวของฮิลลารี คลินตันกล่าว
สภาพการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ชาวอเมริกันต้องดิ้นรนเพิ่มขึ้นเพื่อหาเงินมาจ่ายค่าน้ำมันเบนซิน ที่พุ่งขึ้นสู่ระดับ 4 ดอลลาร์ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์ รวมทั้งยังต้องเผชิญหน้ากับภาวะว่างงานที่สูงขึ้นและความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ดิ่งลงอีกด้วย ซึ่งเปิดโอกาสให้โอบาม่าใช้เรื่องเศรษฐกิจมาเป็นประเด็นสำคัญในการหาเสียงของเขา
การสำรวจความนิยมของแกลลัพชี้ว่า โอบามาได้รับเสียงสนับสนุนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยหลังจากคลินตันประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ และตอนนี้โอบามาก็มีคะแนนนำแมคเคน
ทางด้านแมคเคน ก็พยายามหันมาใช้ประโยชน์จากปัญหาเศรษฐกิจเช่นกัน ในระหว่างการรับประทานอาหารกลางวันเพื่อระดมทุนในเมืองริชมอนด์ รัฐเวอร์จิเนีย เขากล่าวว่า "ชาวอเมริกันกำลังเจ็บปวด"
"เราต้องการอัตราภาษีที่ต่ำลง เราต้องการแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจ เราต้องการมาตรการช่วยเหลือให้ครอบครัวไม่เสียบ้านไป"แมคเคนกล่าวพร้อมกับโจมตีโอบามาว่าต้องการจะขึ้นภาษีกำไรจากการขายหลักทรัพย์
ประเด็นเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่โอบามาคุ้นเคย ขณะที่แมคเคนจะมีความเชี่ยวชาญด้านความมั่นคงแห่งชาติและนโยบายต่างประเทศ และนโยบายหลักในการหาเสียงของเขาอย่างหนึ่งก็คือโจมตีโอบามาว่าไร้ประสบการณ์อย่างยิ่งจนไม่เหมาะสมที่จะมาเป็นผู้นำของประเทศ
โอบามาวัย 46 ปีผู้ซึ่งอาจจะได้เป็นประธานาธิบดีผิวดำคนแรกของอเมริกา ก็กล่าวโจมตีแมคเคนว่าเป็นผู้สนับสนุนแผนการเพิ่มการลดภาษีของประธานาธิบดีบุช ที่ทำให้บริษัทต่าง ๆไม่ต้องจ่ายภาษีคิดเป็นมูลค่ารวมถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งก็รวมทั้งเอซซอนโมบิล บริษัทน้ำมันใหญ่ที่สุดในโลก ที่ไม่ต้องจ่ายภาษีเป็นเงินถึง 1,200 ล้านดอลลาร์ จากรายได้ที่ทำไว้ 40,610 ล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว
"หากว่านโยบายของจอห์น แมคเคนได้รับการนำไปปฎิบัติแล้ว ก็จะทำให้หนี้ของประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 5.7 ล้านล้านดอลลาร์ภายในทศวรรษหน้า นี่ไม่ใช่แนวคิดอนุรักษนิยมทางการเงิน และนี่ก็เป็นสิ่งซึ่งจอร์จ บุชทำตลอดมาในช่วงเวลา 8 ปีที่ผ่านมา" โอบามากล่าว
อนึ่ง รอยเตอร์บอกว่า มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายเกิดขึ้นต่อนโยบายของโอบามาที่จะเก็บภาษีจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นของพวกบริษัทน้ำมัน เพราะสหรัฐฯเคยใช้วิธีการนี้มาแล้วเมื่อช่วงทศวรรษ 1980 ในปีสุดท้ายของรัฐบาลประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ แต่กลับส่งผลกระทบในทางลบต่อเศรษฐกิจ
เสียงวิพากษ์กล่าวว่านโยบายจะทำให้บริษัทน้ำมันลดการผลิตภายในประเทศ ในขณะเดียวกันรัฐบาลก็อาจจะไม่สามารถเก็บภาษีได้มากเท่ากับที่พวกผู้แทนในรัฐสภาหวังเอาไว้ และมาตรการนี้ก็ถูกยกเลิกไปในปี 1988 ซึ่งเป็นสมัยของประธานาธิบดีเรแกน