สศค.เผยกองทุนเกาะอังกฤษ-ฮ่องกงเข้าขอข้อมูลก่อนตัดสินใจเพิ่มพอร์ตลงทุนในไทย เชียร์หมอเลี้ยบตัดสินใจยกเลิกมาตรการ 30% ระบุปัญหาตลาดหุ้นไทยสภาพคล่องต่ำเจ้าของบริษัทปล่อยหุ้นหมุนเวียนในตลาดน้อยเกินไปไม่เพียงพอต่อการปรับพอร์ตขนาดใหญ่ มั่นใจหุ้นกลุ่มแบงก์จะสร้างกำไรได้ดีหลังหมดภาระตั้งสำรอง IAS39
นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้อำนวยการกลุ่มกลยุทธ์และพัฒนาระบบการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) เปิดเผยว่า ในสัปดาห์ที่ผ่านมา นาย Andrew Zlot ผู้จัดการกองทุน บริษัท Algebris Investments จากสหราชอาณาจักร และ นาย Joshua Saldanha รองประธานบริษัท Bear Sterns Asia Limited จากฮ่องกง ได้เข้าพบเพื่อขอข้อมูลทางด้านเศรษฐกิจของไทยเพื่อประกอบการตัดสินใจพิจารณาเพิ่มพอร์ตการลงทุนในประเทศไทย
โดยพอร์ตการลงทุนของ Algebris ในตลาดหุ้นของไทยนั้นมีมูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งผู้จัดการกองทุนมีความเห็นด้วยหากนพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะยกเลิกมาตรการกันสำรองเงินตราต่างประเทศ 30% เพราะจะส่งผลดีต่อระบบการเงินของประเทศและสร้างบรรยากาศการลงทุนให้กับนักลงทุนชาวต่างประเทศ
“กองทุนต่างชาติต่างรอว่าในสัปดาห์นี้รัฐบาลจะประกาศนโยบายการบริหารประเทศออกมาจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดให้มีการลงทุนมากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะนโยบายที่จะยกเลิกมาตรการ 30% นักลงทุนต่างชาติเชื่อว่าจะทำให้ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยดีขึ้น” นายโชติชัยกล่าว
นายโชติชัยกล่าวว่า สำหรับพอร์ตการลงทุนของ Algebris จะเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์เกือบทั้งพอร์ต โดยในช่วงหลังได้แบ่งพอร์ตการลงทุนในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นมาเป็น 10% เนื่องจากมีความเห็นว่ารัฐบาลที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาจะกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการก่อสร้างโครงการเมกะโปรเจกต์ซึ่งจะทำให้หุ้นกลุ่มนี้ได้รับอานิสงส์ไปด้วย กองทุน Algebrisจึงเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้
ขณะที่กลุ่มธนาคารพาณิชย์ Algebris ให้ความเห็นว่าหลังจากที่ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งตั้งสำรองตามเกณฑ์มาตรฐานทางบัญชีระหว่าประเทศฉบับที่ 39 (IAS39) ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ครบตามเกณฑ์เมื่อปลายปีที่ผ่านมาจะส่งผลให้การดำเนินการในปีนี้มีกำไรสูงขึ้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยในเรื่องการปล่อยสินเชื่อที่มีการเติบโตสูงและมีคุณภาพมากขึ้นจะเป็นสิ่งที่สนับสนุนให้ผลประกอบการออกมาเป็นที่น่าพอใจมากขึ้น
“หุ้นกลุ่มแบงก์ยังมีความน่าสนใจแม้ว่าหุ้นบางตัวราคาสูงมากแล้วก็ตามเช่นหุ้นของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) SCB และธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) KBANK แต่ก็ยังมีบางตัวที่ราคาไม่สูงนักและน่าลงทุนคือหุ้นของธนาคารนครหลวงไทย จำกัด(มหาชน) SCIB “ นายโชติชัยกล่าว
นอกจากนี้ Algebris ยังได้ให้ข้อคิดเห็นต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยว่ายังมีอุปสรรคบ้างในเรื่องของสภาพคล่องและมูลค่าตลาดของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไม่มากนัก เนื่องจากการลงทุนของ Algebris จะซื้อหุ้นครั้งละ 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นอย่างต่ำหุ้นของบริษัทในตลาดมีการกระจายหุ้นออกมาน้อยไม่เพียงพอต่อความต้องการซื้อของกองทุนทำให้เสียเวลาบริหารจัดการพอร์ตลงทุน
ส่วนกองทุนของ Bear Sterns ให้ความเห็นต่อภาวะเศรษฐกิจไทยในช่วงนี้ว่าจะเข้าสู่ช่วงที่ปรับตัวดีขึ้นจากปัญหาซับไพรม์ที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้เงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้ามาสู่ประเทศในภูมิภาคเอเชียมากขึ้นรวมทั้งประเทศไทยก็ได้รับอานิสงส์ไปด้วย และปัจจัยทางการเมืองไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนอีกแล้ว
“กองทุน Bear Sterns เชื่อว่าหากรัฐบาลดำเนินนโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นจะสนับสนุนให้การซื้อขายหุ้นในตลาดกลับมาคึกคักและบรรยากาศการลงทุนมีแนวโน้มดีขึ้น ส่วนการแข็งค่าของเงินบาทที่เพิ่มขึ้น 4-5% ต่อปีไม่น่าจะมีผลกระทบในทางลบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ” นายโชติชัยกล่าว.
นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้อำนวยการกลุ่มกลยุทธ์และพัฒนาระบบการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) เปิดเผยว่า ในสัปดาห์ที่ผ่านมา นาย Andrew Zlot ผู้จัดการกองทุน บริษัท Algebris Investments จากสหราชอาณาจักร และ นาย Joshua Saldanha รองประธานบริษัท Bear Sterns Asia Limited จากฮ่องกง ได้เข้าพบเพื่อขอข้อมูลทางด้านเศรษฐกิจของไทยเพื่อประกอบการตัดสินใจพิจารณาเพิ่มพอร์ตการลงทุนในประเทศไทย
โดยพอร์ตการลงทุนของ Algebris ในตลาดหุ้นของไทยนั้นมีมูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งผู้จัดการกองทุนมีความเห็นด้วยหากนพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะยกเลิกมาตรการกันสำรองเงินตราต่างประเทศ 30% เพราะจะส่งผลดีต่อระบบการเงินของประเทศและสร้างบรรยากาศการลงทุนให้กับนักลงทุนชาวต่างประเทศ
“กองทุนต่างชาติต่างรอว่าในสัปดาห์นี้รัฐบาลจะประกาศนโยบายการบริหารประเทศออกมาจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดให้มีการลงทุนมากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะนโยบายที่จะยกเลิกมาตรการ 30% นักลงทุนต่างชาติเชื่อว่าจะทำให้ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยดีขึ้น” นายโชติชัยกล่าว
นายโชติชัยกล่าวว่า สำหรับพอร์ตการลงทุนของ Algebris จะเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์เกือบทั้งพอร์ต โดยในช่วงหลังได้แบ่งพอร์ตการลงทุนในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นมาเป็น 10% เนื่องจากมีความเห็นว่ารัฐบาลที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาจะกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการก่อสร้างโครงการเมกะโปรเจกต์ซึ่งจะทำให้หุ้นกลุ่มนี้ได้รับอานิสงส์ไปด้วย กองทุน Algebrisจึงเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้
ขณะที่กลุ่มธนาคารพาณิชย์ Algebris ให้ความเห็นว่าหลังจากที่ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งตั้งสำรองตามเกณฑ์มาตรฐานทางบัญชีระหว่าประเทศฉบับที่ 39 (IAS39) ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ครบตามเกณฑ์เมื่อปลายปีที่ผ่านมาจะส่งผลให้การดำเนินการในปีนี้มีกำไรสูงขึ้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยในเรื่องการปล่อยสินเชื่อที่มีการเติบโตสูงและมีคุณภาพมากขึ้นจะเป็นสิ่งที่สนับสนุนให้ผลประกอบการออกมาเป็นที่น่าพอใจมากขึ้น
“หุ้นกลุ่มแบงก์ยังมีความน่าสนใจแม้ว่าหุ้นบางตัวราคาสูงมากแล้วก็ตามเช่นหุ้นของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) SCB และธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) KBANK แต่ก็ยังมีบางตัวที่ราคาไม่สูงนักและน่าลงทุนคือหุ้นของธนาคารนครหลวงไทย จำกัด(มหาชน) SCIB “ นายโชติชัยกล่าว
นอกจากนี้ Algebris ยังได้ให้ข้อคิดเห็นต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยว่ายังมีอุปสรรคบ้างในเรื่องของสภาพคล่องและมูลค่าตลาดของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไม่มากนัก เนื่องจากการลงทุนของ Algebris จะซื้อหุ้นครั้งละ 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นอย่างต่ำหุ้นของบริษัทในตลาดมีการกระจายหุ้นออกมาน้อยไม่เพียงพอต่อความต้องการซื้อของกองทุนทำให้เสียเวลาบริหารจัดการพอร์ตลงทุน
ส่วนกองทุนของ Bear Sterns ให้ความเห็นต่อภาวะเศรษฐกิจไทยในช่วงนี้ว่าจะเข้าสู่ช่วงที่ปรับตัวดีขึ้นจากปัญหาซับไพรม์ที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้เงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้ามาสู่ประเทศในภูมิภาคเอเชียมากขึ้นรวมทั้งประเทศไทยก็ได้รับอานิสงส์ไปด้วย และปัจจัยทางการเมืองไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนอีกแล้ว
“กองทุน Bear Sterns เชื่อว่าหากรัฐบาลดำเนินนโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นจะสนับสนุนให้การซื้อขายหุ้นในตลาดกลับมาคึกคักและบรรยากาศการลงทุนมีแนวโน้มดีขึ้น ส่วนการแข็งค่าของเงินบาทที่เพิ่มขึ้น 4-5% ต่อปีไม่น่าจะมีผลกระทบในทางลบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ” นายโชติชัยกล่าว.
