xs
xsm
sm
md
lg

เลือกตั้งเงินสะพัด2.1หมื่นล.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน - ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดศึกเลือกตั้งปี 50 มีเม็ดเงินสะพัด 2.1 หมื่นล้าน ลดลงจากเลือกตั้งปี 48 ที่คาดไว้ 2.5 หมื่นล้าน เหตุกกต.เข้มงวดในการใช้เงินหาเสียงมากขึ้น ในส่วนของแผ่นพับ-ป้ายโฆษณา ทำให้หันมาหาช่องทางหาเสียงผ่านสื่ออื่นมากขึ้น โดยเฉพาะผ่านวิทยุชุมชน ระบุภาคอีสานครองแชมป์แข่งขันรุนแรงสุดมีอัตราของ ส.ส. 1 ตำแหน่งต่อผู้สมัคร 11.28 คน ใช้เงินมากสุด 8 พันล้าน ขณะที่รองลงมาภาคเหนือคาดใช้เงิน 3.9 พันล้าน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ศึกเลือกตั้งปี 2550 นี้ จะมีเม็ดเงินสะพัดเป็นมูลค่า 2.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งลดลงจากการเลือกตั้งครั้งใหญ่เมื่อปี พ.ศ. 2548 ที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้เคยประมาณไว้ว่ามีเม็ดเงินสะพัดประมาณ 25,000 ล้านบาท ทั้งนี้เนื่องจากทางคณะกรรมการการเลือกตั้งได้เข้มงวดกับการใช้เงินในการหาเสียงมากขึ้น นอกจากนั้นยังได้มีการกำหนดค่าใช้จ่ายในการพิมพ์แผ่นพับ และแผ่นป้ายโฆษณา ทำให้เม็ดเงินในการเลือกตั้งลดลงทำให้วิธีการหาเสียงผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆได้ ทั้ง SMS, E-mail และ อินเตอร์เน็ต ได้เข้ามามีบทบาทในศึกเลือกตั้งครั้งนี้มากขึ้น ส่งผลให้ผู้สมัคร ส.ส.จำนวนไม่น้อยต้องใช้วิธีการหาเสียงผ่านทางสื่ออื่นแทน เช่นเดียวกับสถานีวิทยุชุมชนในต่างจังหวัดได้เข้ามามีบทบาทในการหาเสียงเพิ่มมากขึ้นด้วย

อย่างไรก็ตาม ยุทธวิธีการหาเสียงแบบดั้งเดิม คือ การเดินเคาะประตู หาเสียงในตลาด เดินเข้าแหล่งชุมชน และการปราศรัยตามที่สาธารณะ ถือว่ายังได้ผลดี แต่ผู้สมัคร ส.ส. อาจจะต้องเหนื่อยมาก และเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางเพิ่มขึ้น ส่วนด้านกลยุทธ์การสร้างภาพความเชื่อมั่นให้กับหัวหน้าพรรคการเมืองก็ถือว่าเป็นจุดขายที่ประชาชนทั่วไปสนใจ เพราะหลายคนอาจจะมองไกลไปถึงตัวผู้นำรัฐบาลในอนาคตด้วย

ดังนั้น ศึกเลือกตั้งปี 2550 นี้ แม้ว่าการหาเสียงด้วยแผ่นป้ายโฆษณาและเอกสารสิ่งพิมพ์ อาจจะมีจำนวนลดลง แต่ในทางกลับกันการหาเสียงผ่านสื่อและหาเสียงผ่านเครือข่ายหัวคะแนน และการหาเสียงผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆก็มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ทำให้เม็ดเงินค่าใช้จ่ายในการหาเสียงของผู้สมัคร ส.ส.มีแนวโน้มที่จะหมดไปกับค่าใช้จ่ายด้านการเดินทาง ค่าหัวคะแนน และค่าบริหารจัดการเครือข่ายชุมชนต่างๆเพิ่มมากขึ้น

ทั้งนี้ หากแยกพิจารณาการแข่งขันของผู้สมัครส.ส.แบบแบ่งเขตในสนามเลือกตั้งเป็นรายภาค ในส่วนของภาคอีสานที่มีตำแหน่ง ส.ส. มากที่สุดถึง 135 ที่นั่ง แต่ลดลงจากการเลือกตั้งครั้งก่อนจำนวน 1 ที่นั่ง โดยมีผู้สมัคร ส.ส.ในศึกเลือกตั้งครั้งนี้มากที่สุดถึง 1,523 คน ทำให้สนามเลือกตั้งในภาคอีสานเป็นภาคที่มีความเข้มข้นในแข่งขันมากที่สุด โดยมีอัตราของ ส.ส. 1 ตำแหน่งต่อผู้สมัคร 11.28 คน นอกจากนั้น พรรคการเมืองต่างๆยังพยายามที่จะชิงตำแหน่ง ส.ส. จากภาคอีสานให้ได้มากที่สุด เพื่อจะได้คะแนนเสียงข้างมากในสภาฯ เพื่อการจัดตั้งรัฐบาลต่อไป จึงคาดว่าในภาคอีสานจะมีเม็ดเงินสะพัดประมาณ 8,000 ล้านบาท

ในส่วนของพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.)มีตำแหน่ง ส.ส. จำนวน 36 ที่นั่ง ลดลงจากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาจำนวน 1 ที่นั่ง โดยในศึกเลือกตั้งครั้งนี้ มีผู้ลงสมัคร ส.ส. จำนวน 387 คน โดยเปรียบเทียบสัดส่วนจำนวนที่นั่งของส.ส. กับจำนวนผู้สมัคร ส.ส. อยู่ในอัตรา 1 ต่อ 10.75 ซึ่งถือว่าเป็นพื้นที่ที่มีความเข้มข้นในการแข่งขันรองจากพื้นที่ในภาคอีสาน นอกจากนั้น กทม.ยังเป็นที่ตั้งของพรรคการเมือง และเป็นศูนย์กลางของระบบสื่อสารโทรคมนาคม วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ รวมทั้งเป็นที่ตั้งของบริษัทเอเยนซี่ ต่างๆ ทั้งนี้ คาดว่าจะมีเม็ดเงินสะพัดใน กทม.ประมาณ 3,300 ล้านบาท

ขณะที่ภาคใต้เป็นภาคที่มีตำแหน่ง ส.ส. จำนวน 59 ที่นั่ง ลดลงจากการเลือกตั้งครั้งก่อน 2 ตำแหน่ง มีผู้สมัคร ส.ส. จำนวน 527 คน โดยความเข้มข้นในการแข่งขันอยู่ในอัตรา 1 ต่อ 8.93 ซึ่งถือว่าเป็นภาคที่มีการแข่งขันรุนแรงเช่นกัน เนื่องจากบางพรรคการเมืองที่ยังไม่เคยได้รับเลือกตั้งในอดีตมีความต้องการที่จะเข้าไปชิงพื้นที่จากพรรคเก่าให้ได้ ส่งผลทำให้มีผู้สมัคร ส.ส.เป็นจำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าในภาคใต้จะมีอัตราการแข่งขันที่รุนแรงกว่าในภาคเหนือ แต่เนื่องจากประชาชนในภาคใต้มีความตื่นตัวและมีความสนใจกับการเมืองมาก ทำให้มีการใช้เม็ดเงินในการเลือกตั้งน้อยกว่า โดยคาดว่าจะมีเงินสะพัดในภาคใต้ประมาณ 2,200 ล้านบาท

สำหรับภาคเหนือมีตำแหน่ง ส.ส. จำนวน 75 ที่นั่ง มีผู้สมัคร ส.ส. จำนวน 659 คน โดยมีความเข้มข้นในการแข่งขันของผู้สมัคร ส.ส. อยู่ในอัตรา 1 ต่อ 8.79 ซึ่งถือว่าเป็นภาคที่มีการแข่งขันที่ค่อนข้างจะรุนแรง เนื่องจากภาคเหนือเป็นพื้นที่เป้าหมายของหลายพรรคการเมือง เพราะมีที่นั่ง ส.ส. มากถึง 75 ตำแหน่ง ซึ่งมีตำแหน่ง ส.ส. รองจากภาคอีสาน อย่างไรก็ตามแม้ว่าอัตราความรุนแรงในการแข่งขันของภาคเหนือจะน้อยกว่าใน กทม. แต่คาดว่าปริมาณเม็ดเงินในภาคเหนือจะสูงกว่า กทม. เนื่องจากขนาดของพื้นที่ในการรณรงค์หาเสียงใหญ่กว่าหลายเท่า ทั้งนี้คาดว่าจะมีเงินสะพัดในภาคเหนือประมาณ 3,900 ล้านบาท

ภาคกลาง กลุ่ม 1 มีตำแหน่ง ส.ส. จำนวน 46 ที่นั่ง มีผู้สมัคร ส.ส. จำนวน 403 คน โดยความเข้มข้นในการแข่งขันในอัตรา 1 ต่อ 8.76 ซึ่งถือว่าเป็นอัตราการแข่งขันที่ไม่มากนัก โดยคาดว่าจะมีเงินสะพัดในภาคกลาง กลุ่ม 1 ประมาณ 1,800 ล้านบาท และภาคกลาง กลุ่ม 2 มีตำแหน่ง ส.ส. จำนวน 49 ที่นั่ง มีผู้ลงสมัคร ส.ส. จำนวน 395 คน โดยมีความเข้มข้นในการแข่งขันในอัตรา 1 ต่อ 8.06 ซึ่งถือว่าเป็นอัตราการแข่งขันที่น้อยที่สุด ทั้งนี้เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ผู้สมัคร ส.ส. ส่วนใหญ่จะเป็นหน้าเก่า หรือเป็นอดีตผู้บริหารการเมืองท้องถิ่นอยู่แล้ว โดยคาดว่าจะมีเงินสะพัดในภาคกลาง กลุ่ม 2 ประมาณ 1,800 ล้านบาท
กำลังโหลดความคิดเห็น