xs
xsm
sm
md
lg

เลือกตั้งน้ำเน่า เราจะพากันไปตายวิธีล้างการเลือกตั้งน้ำเน่าที่เด็ดขาดก็คือ ไม่เลือก (3)

เผยแพร่:   โดย: ปราโมทย์ นาครทรรพ

ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมหนักใจที่สุดว่าจะเขียนบทความนี้ต่ออย่างไร ทั้งๆ ที่ผมมีข้อมูลและความคิดอยู่พร้อม ตรวจสอบมาแล้วอย่างดี วิลสัน (Lord Wilson 1916-1995) อดีตนายกฯ อังกฤษว่า “เวลาหนึ่งสัปดาห์เป็นเวลานานในการเมือง” เพราะจะมี “ข้อมูลใหม่” และเหตุการณ์ที่แปรเปลี่ยนเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ ทำให้ “ทางออก” ก็ดี “ทางตัน” ก็ดี หรือ “ทางเลือก” ก็ดี ต้องปรับเปลี่ยนตามไปด้วย

ผลของการปรับเปลี่ยนข้างต้น คิดง่ายๆ ก็มีอยู่ 3 ทาง คือ เสมอตัว ดีขึ้น หรือ เลวลง ถ้าจะให้นักการเมืองเป็นผู้ตัดสินว่าจะเลือกทางไหน เหตุผลต่างๆออกจะไร้ความหมาย เพราะนักการเมืองจะเลือกผลประโยชน์ของตนก่อน ใครหรือแม้กระทั่งชาติจะฉิบหายก็ช่างมัน จึงมีคำพังเพยว่า “นักการเมืองคิดถึงแต่การเลือกตั้งข้างหน้า” แต่ “รัฐบุรุษคิดถึงประโยชน์และอนาคตของชาติ”

ปัญหาที่คนไทยทั้งชาติเป็นทุกข์อยู่ขณะนี้คือพระอาการประชวร ใครๆ และผมด้วยย่อมไม่ปรารถนาที่จะให้การเมืองกลายเป็นเรื่องรบกวนเบื้องยุคลบาท แต่เหตุผลของผมอาจจะต่างกับคนอื่น ว่า ไหนๆ ก็มีพระราชกฤษฎีกาให้เลือกตั้งแล้ว ปล่อยให้เลยตามเลยไปก่อน ผมกลับเห็นว่า การหาเสียงเลือกตั้งในระหว่างเฉลิมฉลองพระราชสมภพครบแปดสิบพรรษานั้นผิดกาลเทศะ และเป็นการรบกวนฯ ผลของการเลือกตั้งจะย้อนรอยไปสู่อดีตที่เลวร้ายก่อน 19 กันยายน 2549 จะเป็นการรบกวนเบื้องยุคลบาทยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

เหตุผลที่อ้างว่า ก็แล้วแต่ประชาชนตัดสินนั้นฟังไม่ขึ้น มีสุภาษิตว่า “ความรู้ที่ปราศจากเสรีภาพนั้นอาจไร้ความหมาย แต่เสรีภาพที่ปราศจากความรู้ยิ่งอันตรายกว่ามากนัก” ประชาชนอาจถูกชักนำไปในทางที่ผิดถึงขนาดทำลายสถาบันกษัตริย์โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ในขณะเดียวกัน ผมก็ไม่ต้องการเห็นทหาร รัฐบาล หรือ กกต. ใช้มาตรการนอกกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมเล่นงานพรรคหนึ่งพรรคใด เพราะจะเป็นเยี่ยงอย่างไม่ดี ซ้ำจะเกิดผลพลอยเสียมหาศาล ทำให้ประชาชนแค้นใจแทนวีรบุรุษที่ถูกรังแก แม้ 19 กันยายน 2549 ผ่านมา จนบัดนี้ คมช.กับรัฐบาลก็ยังไม่มีปัญญาชี้แจงให้เขาสิ้นสงสัย

สุดสัปดาห์กลางเดือนนี้ ผมพูดในชั้นกับนักศึกษาราชภัฏอีสาน 50 คน มีชายคนเดียว ทั้งหมดเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลเด็กเล็กประจำศูนย์ อบต. 50 แห่ง ผมถามตรงๆ ว่า ใครคิดถึงอยากให้ทักษิณกลับมาบ้าง มีมือที่ชูไม่ขึ้นแค่ 3 เท่านั้น เหตุผล เดี๋ยวนี้เบี้ยเลี้ยงไม่ค่อยได้รับ ปรับวุฒิทั่วไปก็ไม่ได้ ถูกบังคับให้มาเรียน ป.ตรีศึกษาประถมวัย ผมลืมถามว่า หลวงหรือตนเองออกค่าใช้จ่าย

คืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ครูเศรษฐศาสตร์จากธนาคารชาติของผม 3 ท่านจะมาเยี่ยมกินข้าวเย็น ก็พอดี พลเอกหนึ่ง พลโทหนึ่ง ศิษย์เก่า จปร. โทร.มาหามีเรื่องจะปรึกษา ท่านอาจารย์สามนักเศรษฐศาสตร์หนุ่มชั้นแนวหน้า ทุนเล่าเรียนหลวง ก็ยินดีเพราะจะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ผมโชคดีที่ได้เรียนรู้จากคนรุ่นใหม่แบบนี้อยู่เสมอ จนเกิดความมั่นใจอนาคตของไทย ที่มีคนฉลาดรอบรู้ (กว่าผม) อยู่มาก

เราคุยกันอยู่เกือบสองยาม สรุปได้ว่า ปัจจุบันนี้เรายังมั่นใจอะไรไม่ได้นัก เพราะการตัดสินใจของผู้มีอำนาจยังไม่มีระบบที่ถูกต้อง ไม่ได้ตั้งอยู่บนเหตุผล ความรู้หรือข้อมูลที่มีอยู่อย่างครบถ้วน มักจะเป็นไปตามบุคลิกหรืออำเภอใจของผู้นำแต่ละคนแต่ละงาน ท่านนายพลทั้งสองท่านมีความรู้เรื่องธุรกิจหรือเศรษฐศาสตร์ประยุกต์ดีมาก จึงทำให้นักเศรษฐศาสตร์เห็นพ้องว่า กฎเกณฑ์หรือกฎหมายที่ออกมาจัดการและควบคุมธุรกิจต่างๆ และแม้กระทั่งการเมืองมักจะมีผลเสียมากกว่าผลดี

ทั้งหมดไม่สู้วิตกเรื่องเศรษฐกิจหลังการเลือกตั้ง เพราะใครเป็นรัฐบาลก็เหมือนกัน ดูแต่ทักษิณคุยว่ารัฐบาลปฏิรูปเศรษฐกิจจะตกต่ำ ตลาดหุ้นจะพังทลาย แต่ตลาดหุ้นขิงแก่กลับพุ่งกระฉูดทำสถิติซื้อขายสูงสุดในรอบ 11 ปี ดีกว่ายุคทักษิณเสียอีก

แต่ที่ทุกฝ่ายเห็นตรงกัน ก็คือผลการเลือกตั้งจะส่งประเทศกลับไปสู่วงจรอุบาทว์และวัฏจักรน้ำเน่าอย่างแน่ๆ สมมติว่าทักษิณดันทุรังกลับมาประกาศชัยชนะ แต่ถูกฆ่าตาย หรือไม่ตายแต่กลับมาเถลิงอำนาจล้างแค้น หรือแม้แต่ทักษิณไม่กลับ แต่สมุนบริวารตัวเอ้ผู้เชี่ยวชาญการสร้างและกินคำโตของระบอบทักษิณกลับมามีอำนาจ อะไรจะเกิดขึ้น นอกจากการต่อสู้แตกแยกยืดเยื้อ ในทางกลับกัน วิธีเดียวที่จะกำจัดระบอบทักษิณ ก็คือ วิธีใช้อำนาจเป็นธรรม ในการเลือกตั้ง ซึ่งย่อมจะไม่ถูกต้อง หากปล่อยให้เกิดขึ้น ผลที่ตามมาก็จะไม่ต่างกัน

ท่านนายพลเอกจึงบ่นเสียดาย “ประเพณีตีงูให้หลังหัก” ชายชาติทหารแท้ๆ ทำไมหนอ ปฏิวัติทั้งทีไม่รู้จักใช้อำนาจเป็นธรรม กำจัดเสี้ยนหนามและอธรรมของแผ่นดินเสียก่อน

ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของบุคคล 2 คนที่รุ่งเรืองในยุคทักษิณ คือ พลเอกจารุอุดม เรืองสุวรรณ อดีต กกต.ที่พ้นคุกไปหวุดหวิด กับ นายสุชน ชาลีเครือ อดีตประธานวุฒิสภาที่ถูกเปลี่ยนชื่อว่า สุชิน ทั้งคู่ขอร้องผมให้หาทางอย่าให้กลับไปสู่การเลือกตั้งระบบเก่า เพราะการเลือกตั้งแบบเดิมๆ ไม่มีทางจะดีขึ้น มีแต่วันจะเลวลง สงสารประเทศชาติ ผมพยายามทำตามคำขอร้องทุกอย่าง แต่ลืมบอกว่า ท่านขอผิดคน ต้องไปขอร้อง คมช. ส.ส.ร. และ สนช. จึงจะถูกที่

ท่านนายพลเอกบอกผมว่า แต่ก่อนท่านเคยหลงคิดว่าจะไม่มีการปฏิวัติอีกแล้ว แต่เดี๋ยวนี้ท่านแน่ใจ จะเร็วหรือช้าเท่านั้น ท่านเกรงว่าเมืองไทยจะแตกแยกครั้งยิ่งใหญ่ เหตุผลของท่านเหมือนกับของพลโทฤกษ์ดีที่ผมเคยเล่ามาแล้ว ว่าทหารจะทะเลาะกัน อันตรายเหลือเกิน ไม่เหมือนนักการเมืองทะเลาะกันแล้วก็เกี่ยเซียะแลกผลประโยชน์กันก็จบ แต่ทหารแตกกันจะไม่มีใครยอมใคร และจะไม่มีวันจบ ต่อไปนี้กลัวว่าจะไม่มีใครสามารถเรียกอนาคต พลเอกสุจินดา กับอนาคตพลตรีจำลองมานั่งพับเพียบต่อหน้าได้อีกแล้ว

เมื่อทหารแตกกันเป็นหลายฝักหลายฝ่าย เพราะระบบการเมืองไปสร้างให้เกิดขั้ว ทหารเมื่ออยู่ขั้วใดก็อยู่ขั้วนั้น ด้วยวินัยและความภักดีที่ปราศจากเหตุผล เขาเกรงว่าในชั่วชีวิตจะมีโอกาสเห็นการปฏิวัติ และการต่อสู้กันของทหารที่มีมากกว่า 3-4 ฝ่าย และ เมืองไทยหลังสงครามกลางเมือง จะไม่ใช่เมืองไทยที่เรารู้จักและรักอีกแล้ว น่ากลัวยิ่งนัก

ท่านนายพลย้ำความเชื่อของพลโทฤกษ์ดีว่า ทหารแตกกันมากเหลือเกิน พลเอกอนุพงษ์ คนเดียวเอาไม่อยู่ สมควรเชิญ พลเอกชวลิต พลเอกสุจินดา และพลตรีจำลอง ซึ่งเก่งกันคนละอย่างให้กลับมารู้รักสามัคคี และช่วยกันแก้วิกฤตที่สุดในโลกให้ได้

ในทางตรงกันข้าม มีผู้ตั้งข้อสังเกตกับผมว่า นักการเมืองชั้นนำของเราช่างรู้รักสามัคคีกันเสียเหลือเกิน ทำวิ่งพล่านตั้งพรรค แย่งพรรค ควบพรรคหรือเข้าพรรคโน้นพรรคนี้ไปยังงั้นเองแหละ ถึงเวลาก็จะสามัคคีรวมหมู่ผูกขาดอำนาจการเมืองต่อ เพราะเคยกินสุกกินดิบและสวาปามจนร่ำรวยมหาศาลมาด้วยกัน

หมู่นี้คุณอุดร ตันติสุนทร นักการเมืองน้ำดี อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวงหลายรัฐบาลโทร.คุยกับผมบ่อย คุณอุดรยืนยันปรากฏการณ์เช่นนี้ แถมเล่าให้ผมฟัง ถึงสิ่งที่สังคมไทยไร้ความจำหรือลืมไปหมดแล้ว ว่าก่อนที่รัฐบาลชาติชายจะถามหาใบเสร็จ ผู้มีอำนาจทางการเมืองหลังบัลลังก์ของชาติชายคือ สามศักดิ์ ได้แก่ ไกรศักดิ์ บวรศักดิ์ และพันศักดิ์ ประมุข “บ้านพิษ” ที่สุรเกียรติ์ เสถียรไทย ก็เป็นสมาชิก กลุ่มนี้สามารถบงการหรือเปลี่ยนมติครม.ได้ ส่วนพวกนักการเมืองที่เรืองบารมีขึ้นทุกที จนในที่สุดสามารถปลดรัฐมนตรีที่ไม่หากิน ประกอบด้วยพลอากาศเอกสิทธิ เศวตศิลา นายพงษ์ สารสิน นายอุดร ตันติสุนทร นายประพาส ลิมปะพันธุ์ ออกจากรัฐบาลได้ ปล่อยให้หัวหน้ากลุ่มขวัญใจม.ร.ว.คึกฤทธิ์ คือนายมนตรี พงษ์พานิช นำสานุศิษย์คือสมศักดิ์ เทพสุทิน รักเกียรติ สุทธนะ สุวิทย์ คุณกิตติ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เข้าไปเติมเต็มสุวัจน์ ลิปตพัลลภในบุบเฟต์คาบิเนตอย่างเต็มที่ จนเป็นข้ออ้างอย่างหนึ่งของการยึดอำนาจ รสช.

คนพวกนี้นอกจากรักเกียรติ ซึ่งไปเข้าคุก และไกรศักดิ์ ที่ไปเป็นวุฒิสมาชิก ต่างก็เป็นกำลังสำคัญของระบอบทักษิณ และกำลังแยกย้ายกันจัดระบบพรรคการเมืองใหม่เพื่อรับใช้แผ่นดินอยู่ขณะนี้

ผมคิดถึงข้อเสนอ “ชวลิต-สุจินดา-จำลอง” แล้วก็เคลิ้ม แต่ท่านนายพลเอกบอกว่าคนพวกนี้ไม่มีวันจะจับมือกันได้ถ้าไม่มีคนกลาง ผมถามว่าพลเอกเปรมหรือ คำตอบที่หนักแน่นคือไม่ใช่ ผมเคยเสียดายที่คมช.หรือรัฐบาลไม่ตั้งที่ปรึกษาราชการแผ่นดินเพื่อระบอบประชาธิป ไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขประกอบด้วยอดีตนายกรัฐมนตรีทั้งหมด ผมจึงยังฝันค้างถึงท่านเหล่านี้ แถมด้วยอดีตนายกรัฐมนตรีอานันท์ ชวน และบรรหาร มีผู้เสนอเพิ่มพลเอกสายหยุด น.พ.ประเวศ วะสี อาจารย์ระพี สาคริก และแม้กระทั่ง พลเอกสุรยุทธ์ เพิ่มเติม ผมก็ไม่ขัดข้อง ผมอยากรู้แต่ว่าใครจะเป็นคนตั้ง ตั้งเมื่อไร และจะต้องมีพระบรมราชโองการหรือไม่

ท่านผู้อ่านอย่าคิดเป็นอันขาดว่าผมเสนอให้มีการปฏิวัติยึดอำนาจ ผมเชื่อมั่นและอยากเห็นระบอบการปกครองอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขซึ่งเราคอยมาแล้ว 75 ปี

ผมคิดว่า บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่การเมืองไทยจะถวายของขวัญอันมีค่าให้กับในหลวง คือสิ่งที่เป็นยอดปรารถนาของพระองค์ ได้แก่ “ประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม” และจะได้ขอพระราชทาน “ราชประชาสมาสัย” คือ การปกครองที่มีส่วนร่วมของปวงชนและพระมหากษัตริย์ของเขา อันเป็นระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง

ถ้าเราจะต้องเลิกการเลือกตั้งน้ำเน่า ก็อย่ากลัวหรือเสียดายเลย ช่วยกันรักษาประเทศและสถาบันกษัตริย์ไว้ดีกว่า
กำลังโหลดความคิดเห็น