ผู้จัดการรายวัน - ด้วยฝีมือของศิลปินรุ่นใหญ่อย่าง “รัชช์ เศรษฐบุตร” นำวัสดุอย่าง “มะพร้าวทุย” ซึ่งคนทั่วไปเมินประโยชน์ มาแกะสลักเป็นงานศิลปหัตถกรรมที่ใครเห็นต่างต้องทึ่งในฝีมือและความคิดสร้างสรรค์ นับเป็นหนึ่งเดียวในไทยขณะนี้ที่สามารถทำงานดังกล่าวได้
ลุงรัชช์ เศรษฐบุตร เจ้าของผลงานหัตถกรรมแกะสลักจากมะพร้าวทุย อธิบายแรงบันดาลใจที่คิดนำมะพร้าวทุยมาแกะสลัก เพราะรักงานศิลปะผ่านการเรียนในรั้วเพาะช่าง และมหาวิทยาลัยศิลปกร ประกอบกับพ่อของท่านมีสวนมะพร้าวอยู่ใน จ.เพชรบุรี ความผูกพันกับผลไม้ชนิดนี้จึงมากเป็นพิเศษ เวลาเข้าไปเที่ยวสวนจะพบเห็น “มะพร้าวทุย” ถูกทิ้งขวางไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์การค้า เพราะมะพร้าวทุยไม่มีทั้งเนื้อและน้ำ ทำให้เกิดแนวคิดว่า อยากนำวัสดุที่คนอื่นไม่เห็นค่ามาสร้างสรรค์เป็นงานศิลปะซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ลุงรัชช์ เล่าต่อว่า งานแกะสลักมะพร้าวทุยในต่างประเทศมีทำมานานแล้ว โดยเฉพาะประเทศฟิลิปปินส์ แต่รูปแบบจะไม่สวยงาม หรือละเอียดมากนัก ดังนั้น เมื่อคิดจะนำมะพร้าวทุยมาแกะสลักบ้าง บอกกับตัวเอง ต้องให้ออกมาสะท้อนคุณค่าทางศิลปะ และสื่อถึงความเป็นไทย รวมถึงในแง่หนึ่งสอดแทรกปรัชญาแนวคิดของตัวเองลงไปด้วย
“งานของลุงส่วนใหญ่จะเน้นเกี่ยวกับศาสนา และศิลปะไทย เพราะลุงมองว่ามะพร้าวเป็นของสูง ตั้งแต่เกิดแก่เจ็บตาย มะพร้าวอยู่ในวิถีชีวิตของคนไทยตลอด เช่น เนื้อนำไปประกอบอาหาร ตอนตายก็ใช้น้ำล้างหน้า ถ้าเราจะเอาไปแกะสลักอะไรที่ไม่ควร เท่ากับเราไม่เห็นคุณค่าของมะพร้าว” ลุงรัชช์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม หลังจากริเริ่มงานแกะสลักมะพร้าวทุยเมื่อกว่า 30 ปีที่แล้ว ก็ต้องหยุดทำงานนี้ไปเป็นเวลานาน ด้วยความจำเป็นของชีวิตที่ต้องไปทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนเพื่อมีรายได้ให้มากพอจะดูแลครอบครัว แต่หลังจากลูกๆ สำเร็จการศึกษา และตัวเองถึงวัยเกษียณอายุ ทำให้มีเวลาว่างมากพอสามารถย้อนกลับมาทำงานที่รัก และตัวเองเป็นคนริเริ่มไว้อีกครั้ง เมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว
มะพร้าวทุยแกะสลักใช้ทั้งฝีมือทางศิลปะ ประกอบกับภูมิปัญญาชาวบ้านมาผสม ขั้นตอนเริ่มตั้งแต่ไปหาวัตถุดิบมะพร้าวทุย ซึ่งส่วนใหญ่มาจากสวนของคุณพ่อลุงรัชช์นั่นเอง จากนั้น จะนำมะพร้าวทุยแต่ละลูกมาดูลักษณะเพื่อกำหนดว่าจะแกะสลักออกมาเป็นแบบใด อย่างเช่น ถ้าเป็นลักษณะรูปทรงกลม ส่วนใหญ่จะแกะออกมาเป็นหัวโขนต่างๆ เช่น หนุมาน เป็นต้น
ส่วนการแกะสลักมะพร้าวทุย เริ่มจากแกะเอาส่วนเปลือกแข็งภายนอกออก โดยส่วนที่จะใช้แกะสลักจริงๆ คือ “กาบอ่อน” แต่เนื่องจากเนื้อของกาบอ่อนมีลักษณะยุ่ย และเป็นขุย เทคนิคสำคัญต้องฉีดน้ำเชลแล็กเข้าไปให้พอหมาด แล้วใช้มือนวดเหมือนปั้นดิน รอให้แห้งจนได้ที่ ก็จะช่วยให้เนื้อกาบอ่อนมีความแข็งตัวขึ้น สามารถแกะสลักต่อได้ โดยอุปกรณ์ที่ใช้แกะมีแค่ “มีดคัตเตอร์” อย่างเดียวเท่านั้น ส่วนการตกแต่งผิวใช้กระดาษทรายขัด ซึ่งลุงรัชช์ ระบุว่า จะขัดแค่บางๆ เท่านั้น ไม่ให้ผิวเรียบจนเกินไป เพราะต้องการโชว์ให้เห็นธรรมชาติของผิวมะพร้าว
หลังแกะสลักเสร็จ จะทาเคลือบผิวด้วยแล็กเกอร์ชนิดด้าน จากนั้น นำไปประกอบกับฐานไม้สัก โดยภายในแก่นกลางของมะพร้าวทุยจะเจาะรูแล้วใส่กำมะถันป่นเข้าไปด้วย เพื่อป้องกันมอด หรือปลวกมากัดกิน ต่อชิ้นใช้เวลาประมาณ 3- 4 วัน โดยแบบมีมากมาย เช่น หัวโขน เศียรพระ องค์จำลองพระเกจิ พระพิฆเนศ และองค์จตุคามรามเทพ ฯลฯ สนนราคาอยู่ที่ 2,000 – 5,000 บาทต่อชิ้น
ด้านการตลาดนั้น เนื่องจากงานหัตถกรรมนี้ ได้รับคัดเลือกเป็นสินค้าโอทอปของ จ.นนทบุรี ทำให้มีช่องทางขายผ่านการออกงานแสดงสินค้าโอทอป กับขายผ่านเว็บไซต์ Thaitambom.com นอกจากนั้น จากการบอกปากต่อปาก ทำให้มีลูกค้าติดต่อขอซื้อเองโดยตรง
ลุงรัชช์ บอกว่า ลูกค้าส่วนใหญ่จะนำไปตกแต่งสถานที่ และมีไม่น้อยที่ซื้อไปแล้วจะนำไปให้พระเกจิที่เคารพปลุกเสก เพื่อนำไปวางบูชา โดยเฉลี่ยต่อเดือนจะขายได้ประมาณ 5-6 ชิ้น ซึ่งเงินที่ได้มาจะแบ่งส่วนหนึ่งไปใส่บาตรทำบุญ พร้อมตั้งจิตถึงผู้ที่ซื้อผลงานของลุงไป ขอให้เขาได้รับผลบุญ และความเจริญรุ่งเรืองติดตามไปด้วย
ทุกวันนี้ ความกังวลของลุงรัชช์ คือ ท่านเป็นผู้เดียวในประเทศไทยที่ผลิตงานชิ้นนี้ ทั้งที่พยายามถ่ายทอดภูมิปัญญาดังกล่าวให้แก่คนรุ่นใหม่มาสืบสาน แต่ที่ผ่านมา ทุกครั้งที่เรื่องราวของคุณลุงถูกนำเสนอผ่านสื่อออกไป จะมีคนแห่มาขอเรียนรู้จำนวนมาก ซึ่งคุณลุงยินดีสอนให้ด้วยความเต็มใจ โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น แต่หลังจากคนเหล่านั้นเข้ามาเรียนรู้ไม่นาน ก็จะค่อยๆ หนีหายไป ไม่มีใครอดทนฝึกฝนจนสำเร็จ
อย่างไรก็ตาม ศิลปินคนนี้ ยืนยันว่าจะพยายามฝึกฝนคนรุ่นใหม่ให้มาสืบสานภูมิปัญญานี้ต่อไปให้ได้ เพราะได้แรงบันดาลใจจากครั้งหนึ่งมีโอกาสถวายผลงานหัตถกรรมจากมะพร้าวทุยแก่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งพระองค์ทรงตรัสถามว่า ‘ถ้าลุงไม่ทำแล้ว จะมีใครทำต่อหรือไม่ งานชิ้นนี้มีคุณค่า อยากให้สืบสานต่อไป’ จึงได้ทูลตอบไปว่า พยายามแล้วแต่ยังหาไม่ได้ แต่จะพยายามต่อไป เชื่อว่า สักวันหนึ่งต้องมีคนมาสืบทอดแน่นอน
“ลุงอายุขนาดนี้แล้ว จะอยู่ได้อีกเท่าไรกันเชียว คนที่จะมาเรียน ลุงไม่คิดเงิน ขอแค่มีความมานะ อดทน และตั้งใจจริง ลุงอยากผลักดันให้สังคมรู้ว่า วัสดุชนิดนี้ สามารถนำไปทำอะไรได้อีกมาก เดี๋ยวนี้ มีคนรุ่นใหม่เก่งๆ จำนวนมาก ลุงอยากให้เขานำไปต่อยอดเป็นศิลปประยุกต์ เพื่ออนุรักษ์ให้อยู่คู่ประเทศไทยตลอดไป” ลุงรัชช์ ฝากทิ้งท้าย
089-990-5700 , 02-925-2694
ลุงรัชช์ เศรษฐบุตร เจ้าของผลงานหัตถกรรมแกะสลักจากมะพร้าวทุย อธิบายแรงบันดาลใจที่คิดนำมะพร้าวทุยมาแกะสลัก เพราะรักงานศิลปะผ่านการเรียนในรั้วเพาะช่าง และมหาวิทยาลัยศิลปกร ประกอบกับพ่อของท่านมีสวนมะพร้าวอยู่ใน จ.เพชรบุรี ความผูกพันกับผลไม้ชนิดนี้จึงมากเป็นพิเศษ เวลาเข้าไปเที่ยวสวนจะพบเห็น “มะพร้าวทุย” ถูกทิ้งขวางไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์การค้า เพราะมะพร้าวทุยไม่มีทั้งเนื้อและน้ำ ทำให้เกิดแนวคิดว่า อยากนำวัสดุที่คนอื่นไม่เห็นค่ามาสร้างสรรค์เป็นงานศิลปะซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ลุงรัชช์ เล่าต่อว่า งานแกะสลักมะพร้าวทุยในต่างประเทศมีทำมานานแล้ว โดยเฉพาะประเทศฟิลิปปินส์ แต่รูปแบบจะไม่สวยงาม หรือละเอียดมากนัก ดังนั้น เมื่อคิดจะนำมะพร้าวทุยมาแกะสลักบ้าง บอกกับตัวเอง ต้องให้ออกมาสะท้อนคุณค่าทางศิลปะ และสื่อถึงความเป็นไทย รวมถึงในแง่หนึ่งสอดแทรกปรัชญาแนวคิดของตัวเองลงไปด้วย
“งานของลุงส่วนใหญ่จะเน้นเกี่ยวกับศาสนา และศิลปะไทย เพราะลุงมองว่ามะพร้าวเป็นของสูง ตั้งแต่เกิดแก่เจ็บตาย มะพร้าวอยู่ในวิถีชีวิตของคนไทยตลอด เช่น เนื้อนำไปประกอบอาหาร ตอนตายก็ใช้น้ำล้างหน้า ถ้าเราจะเอาไปแกะสลักอะไรที่ไม่ควร เท่ากับเราไม่เห็นคุณค่าของมะพร้าว” ลุงรัชช์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม หลังจากริเริ่มงานแกะสลักมะพร้าวทุยเมื่อกว่า 30 ปีที่แล้ว ก็ต้องหยุดทำงานนี้ไปเป็นเวลานาน ด้วยความจำเป็นของชีวิตที่ต้องไปทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนเพื่อมีรายได้ให้มากพอจะดูแลครอบครัว แต่หลังจากลูกๆ สำเร็จการศึกษา และตัวเองถึงวัยเกษียณอายุ ทำให้มีเวลาว่างมากพอสามารถย้อนกลับมาทำงานที่รัก และตัวเองเป็นคนริเริ่มไว้อีกครั้ง เมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว
มะพร้าวทุยแกะสลักใช้ทั้งฝีมือทางศิลปะ ประกอบกับภูมิปัญญาชาวบ้านมาผสม ขั้นตอนเริ่มตั้งแต่ไปหาวัตถุดิบมะพร้าวทุย ซึ่งส่วนใหญ่มาจากสวนของคุณพ่อลุงรัชช์นั่นเอง จากนั้น จะนำมะพร้าวทุยแต่ละลูกมาดูลักษณะเพื่อกำหนดว่าจะแกะสลักออกมาเป็นแบบใด อย่างเช่น ถ้าเป็นลักษณะรูปทรงกลม ส่วนใหญ่จะแกะออกมาเป็นหัวโขนต่างๆ เช่น หนุมาน เป็นต้น
ส่วนการแกะสลักมะพร้าวทุย เริ่มจากแกะเอาส่วนเปลือกแข็งภายนอกออก โดยส่วนที่จะใช้แกะสลักจริงๆ คือ “กาบอ่อน” แต่เนื่องจากเนื้อของกาบอ่อนมีลักษณะยุ่ย และเป็นขุย เทคนิคสำคัญต้องฉีดน้ำเชลแล็กเข้าไปให้พอหมาด แล้วใช้มือนวดเหมือนปั้นดิน รอให้แห้งจนได้ที่ ก็จะช่วยให้เนื้อกาบอ่อนมีความแข็งตัวขึ้น สามารถแกะสลักต่อได้ โดยอุปกรณ์ที่ใช้แกะมีแค่ “มีดคัตเตอร์” อย่างเดียวเท่านั้น ส่วนการตกแต่งผิวใช้กระดาษทรายขัด ซึ่งลุงรัชช์ ระบุว่า จะขัดแค่บางๆ เท่านั้น ไม่ให้ผิวเรียบจนเกินไป เพราะต้องการโชว์ให้เห็นธรรมชาติของผิวมะพร้าว
หลังแกะสลักเสร็จ จะทาเคลือบผิวด้วยแล็กเกอร์ชนิดด้าน จากนั้น นำไปประกอบกับฐานไม้สัก โดยภายในแก่นกลางของมะพร้าวทุยจะเจาะรูแล้วใส่กำมะถันป่นเข้าไปด้วย เพื่อป้องกันมอด หรือปลวกมากัดกิน ต่อชิ้นใช้เวลาประมาณ 3- 4 วัน โดยแบบมีมากมาย เช่น หัวโขน เศียรพระ องค์จำลองพระเกจิ พระพิฆเนศ และองค์จตุคามรามเทพ ฯลฯ สนนราคาอยู่ที่ 2,000 – 5,000 บาทต่อชิ้น
ด้านการตลาดนั้น เนื่องจากงานหัตถกรรมนี้ ได้รับคัดเลือกเป็นสินค้าโอทอปของ จ.นนทบุรี ทำให้มีช่องทางขายผ่านการออกงานแสดงสินค้าโอทอป กับขายผ่านเว็บไซต์ Thaitambom.com นอกจากนั้น จากการบอกปากต่อปาก ทำให้มีลูกค้าติดต่อขอซื้อเองโดยตรง
ลุงรัชช์ บอกว่า ลูกค้าส่วนใหญ่จะนำไปตกแต่งสถานที่ และมีไม่น้อยที่ซื้อไปแล้วจะนำไปให้พระเกจิที่เคารพปลุกเสก เพื่อนำไปวางบูชา โดยเฉลี่ยต่อเดือนจะขายได้ประมาณ 5-6 ชิ้น ซึ่งเงินที่ได้มาจะแบ่งส่วนหนึ่งไปใส่บาตรทำบุญ พร้อมตั้งจิตถึงผู้ที่ซื้อผลงานของลุงไป ขอให้เขาได้รับผลบุญ และความเจริญรุ่งเรืองติดตามไปด้วย
ทุกวันนี้ ความกังวลของลุงรัชช์ คือ ท่านเป็นผู้เดียวในประเทศไทยที่ผลิตงานชิ้นนี้ ทั้งที่พยายามถ่ายทอดภูมิปัญญาดังกล่าวให้แก่คนรุ่นใหม่มาสืบสาน แต่ที่ผ่านมา ทุกครั้งที่เรื่องราวของคุณลุงถูกนำเสนอผ่านสื่อออกไป จะมีคนแห่มาขอเรียนรู้จำนวนมาก ซึ่งคุณลุงยินดีสอนให้ด้วยความเต็มใจ โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น แต่หลังจากคนเหล่านั้นเข้ามาเรียนรู้ไม่นาน ก็จะค่อยๆ หนีหายไป ไม่มีใครอดทนฝึกฝนจนสำเร็จ
อย่างไรก็ตาม ศิลปินคนนี้ ยืนยันว่าจะพยายามฝึกฝนคนรุ่นใหม่ให้มาสืบสานภูมิปัญญานี้ต่อไปให้ได้ เพราะได้แรงบันดาลใจจากครั้งหนึ่งมีโอกาสถวายผลงานหัตถกรรมจากมะพร้าวทุยแก่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งพระองค์ทรงตรัสถามว่า ‘ถ้าลุงไม่ทำแล้ว จะมีใครทำต่อหรือไม่ งานชิ้นนี้มีคุณค่า อยากให้สืบสานต่อไป’ จึงได้ทูลตอบไปว่า พยายามแล้วแต่ยังหาไม่ได้ แต่จะพยายามต่อไป เชื่อว่า สักวันหนึ่งต้องมีคนมาสืบทอดแน่นอน
“ลุงอายุขนาดนี้แล้ว จะอยู่ได้อีกเท่าไรกันเชียว คนที่จะมาเรียน ลุงไม่คิดเงิน ขอแค่มีความมานะ อดทน และตั้งใจจริง ลุงอยากผลักดันให้สังคมรู้ว่า วัสดุชนิดนี้ สามารถนำไปทำอะไรได้อีกมาก เดี๋ยวนี้ มีคนรุ่นใหม่เก่งๆ จำนวนมาก ลุงอยากให้เขานำไปต่อยอดเป็นศิลปประยุกต์ เพื่ออนุรักษ์ให้อยู่คู่ประเทศไทยตลอดไป” ลุงรัชช์ ฝากทิ้งท้าย
089-990-5700 , 02-925-2694