xs
xsm
sm
md
lg

ปัญหาของคนเขียนหนังสือ

เผยแพร่:   โดย: ยอดรัก ตะวันรอน

.
ผมรู้เหมือนกันว่าบทความที่ผมเขียนนั้น จะต้องมีปัญหาไม่วันใดก็วันหนึ่งหรือจะต้องมีอยู่ตลอดไป ประการแรกที่ทำให้ผมมีปัญหาไม่ได้มาจากอะไรอื่นนอกจาก

(1) เรื่องที่เสีย ก็คือ ภาษาที่ผมนำมาใช้ในการเขียนหนังสือก็คงเป็นการเขียนที่ใช้ภาษาชาวบ้านมีอะไรที่ต้องการจะพูดก็พูดออกไป เป็นภาษาของสามัญชนไม่มีการโอดครวญหรืออ่อนโยนอย่างที่ควรจะเป็น

(2) เรื่องต่างๆ ที่นำมาพูดมาเขียนส่วนมากจะพูดกันตรงๆ เรื่องที่จะต้องพูด ไม่มีการโลมเลียคนส่วนมากจะชอบเนื้อพึงใจ

(3) วิพากษ์วิจารณ์แบบฉีกหน้ากันออกมาโดยไม่สนใจว่าคนที่ผมเขียนวิพากษ์วิจารณ์นั้นเป็นเทวดาหรือเป็นพระผู้เป็นเจ้าสถิตอยู่เหนือสามัญชน เพื่อช่วยทุกอย่างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น

มีสองอย่างในสังคมไทยและคนไทยที่ผมรับไม่ได้และไม่พอใจที่จะรับ ซึ่งผมมักจะพูดออกไปตรงๆ ถึงความไม่ชอบของผมมันขัดกับทัศนะของผม นั่นคือความชั่วที่เราทำกันอยู่ในสังคมไทยอย่างเหนียวแน่น ทุกเรื่องที่ทำกันมาจะด้วยกาย วาจา ใจหรือพฤติกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ผมจะเขียนถึงหรือตำหนิโดยไม่ยั้ง นั่นทำให้ผมได้รับการตำหนิติเตียน และมีคนไม่ชอบหน้า เช่นเดียวกับนักอ่านบางจำพวกที่มีความโง่เขลาติดสันดานอยู่มาก

เช่นเดียวกับคนเขียนหนังสืออื่นๆ คนที่ไม่ชอบหน้าหรือตั้งตัวเป็นศัตรูไม่ชอบงานเขียนของผมจะเป็นคน 2 ประเภทคือ

(1) ประเภทที่ชั่ว และต้องการที่จะทำชั่วหรืออยู่กับความชั่วให้ถึงที่สุด

(2) จะเป็นคนที่โง่ และไม่ยอมเลิกโง่อย่างที่โง่มาตลอดชีวิตที่เป็นผู้เป็นคนมา

แต่ผมเลิกการเขียนในรูปนี้ไม่ได้ ผมถือว่าผมไม่ทำหน้าที่ที่จะไปสยบความโง่ และความชั่วของใครในโลกนี้โดยวิธีอื่น ผมก็เขียนตามความคิดเห็นของผมเพราะความเบื่อหน่ายความชั่ว และความโง่ของคนที่ว่านั้น เผื่อว่าจะทำให้เขาหมดความชั่วกับความโง่ทั้งสองประการออกไปจากชีวิต ถ้าบังเอิญเขาได้อ่านและรื้อความไม่ถูกต้องของเขาแต่ละคนให้สูญพันธุ์ไปได้บ้าง

ผมไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอะไรในความคิดเห็นของผมด้วย ไม่ว่าจะทำดีหรือทำเลวไปกว่านี้มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นนอกจากไม่กี่วันผมก็ต้องตายเหมือนคนอื่น

ระยะนี้ ผมก็เจอปัญหานี้อีก

มีบทความทางการเมืองชิ้นหนึ่งที่ผมเขียนลงในหนังสือพิมพ์ “ผู้จัดการรายวัน” ฉบับวันที่ 16 เมษายน 2550 นี้ มีชื่อ “ปฏิวัติต้องฆ่า รีบลงมือเร็วๆ เข้าเถอะ” เกิดปัญหาเกี่ยวกับความไม่เข้าใจในเนื้อหาของเรื่องที่ผมนำมาพูดถึง แต่ดูเหมือนจะมีความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ที่จะยกย่องตัวเองว่าเป็นนักอ่านจากนรกที่ไหนสักแห่งหนึ่งมาตำหนิว่ากล่าวผมว่าเป็นบทความที่เลวทรามหรือไม่มีมารยาทที่ผมเขียนย่ำยีวีรกรรมของเขาที่พยายามสุมหัวทำลายบ้านเมืองภายใต้การปฏิวัติสมานฉันท์ของรัฐบาลชุดนี้

เท่าที่ผมทราบจากกองบรรณาธิการผู้จัดการรายวัน กล่าวว่าได้มีกลุ่มสัตว์นรกกลุ่มหนึ่ง (ผมต้องขอใช้คำนี้เรียกคนและสัตว์เหล่านี้ตามที่ผมเข้าใจ) ที่อ่านหรือไม่ได้อ่านบทความของผมแล้วตีความเป็นการเขียนอย่างไม่มีมารยาท ซึ่งผมก็มองไม่เห็นว่ามีใครบ้างที่กล่าวหาผม คนพวกนี้มีมารยาทมากนอกจากการมาชุมนุมเห่าหอนรัฐบาลอยู่ที่ท้องสนามหลวงโดยการนำบทความที่ผมเขียนขึ้นยื่นต่อสภาการหนังสือพิมพ์เป็นทางการเอาทีเดียว

ในข้อเขียนของผมนั้น ความจริงไม่มีอะไรมาก นอกจากผมเขียนติงพล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ที่ท่านให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ถึงเรื่องของความยุ่งยากวุ่นวายที่เกิดขึ้นแก่บ้านเมืองซึ่งวุ่นวายสับสนยิ่งกว่าคลื่นสึนามิ สัตว์นรกพวกนี้จะไม่แคร์หรือไม่สนใจอะไรต่อปัญหาบ้านเมืองของเราที่วุ่นวายอย่างหนักอยู่ทุกวันนี้ ซึ่งไม่ได้เกิดจากอะไรอื่นนอกจากเกิดจากการแย่งอำนาจระหว่างโจรกับโจรที่แย่งกันปล้นบ้านปล้นเมืองพวกเก่า และพวกใหม่ที่ยังลงมือปล้นได้ไม่มากพอ ซึ่งแต่ละพวกก็พยายามเรียกร้องสิทธิในการที่จะปล้นบ้านปล้นเมืองต่อไป และพวกที่จะเข้ามาปล้นใหม่ก็จะขออยู่เพื่อปล้นต่อไปก่อน วิธีแย่งกันก่อความวุ่นวายเพื่อให้แหลกกันไปข้างหนึ่งก็คือ พยายามทำลายกันด้วยการให้ร้ายป้ายสีนานาประการต่อกัน ทางกลุ่มที่แสดงตัวเองว่าเป็นกลุ่มผู้ประเสริฐกว่าคนอื่นพากันออกมาขับไล่รัฐบาล พากันเรียกร้องให้รีบเลือกตั้ง พากันมาสบประมาทผู้คนที่คิดว่าจะสร้างความเด่นดังให้แก่พวกตัวเองได้อย่างการพยายามเสนอให้ถอด พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ออกจากตำแหน่งประธานองคมนตรี ซึ่งพ ล.อ.เปรม ท่านก็ไม่ได้ไปข้องแวะกับใคร แต่ก็ไม่มีลูกศิษย์ลูกหาคนใดกล้าหือออกมาตอบโต้เพราะถือว่าทุกอย่างเป็นเรื่องของการสมานฉันท์กันทั้งสิ้น

ความยุ่งยากวุ่นวายเหล่านี้นับวันจะเกิดขึ้นทุกวัน ไม่เป็นแต่เพียงสัตว์นรก (นี่ก็อีก เป็นภาษาชาวบ้านที่คนไทยใช้กันมาแต่โบราณ ผมขออนุญาตนำมาใช้ในบทความนี้อีก เพราะเป็นคำที่ให้ความหมายที่ชัดเจนและสมบูรณ์อย่างยิ่ง จะด่าว่าอะไรผมก็เอาเลย) ที่เป็นมนุษย์กเฬวรากที่ไหนไม่เคยมีใครรู้จักเท่านั้น แต่ปรากฏว่าพอกลุ่มนั้นเกิดกลุ่มนี้ก็เกิด ไม่มีใครรู้เห็นว่ามันโผล่มาจากที่ไหนที่ต่างก็มาจับกลุ่มแสดงอภินิหารกันขึ้น โดยที่ผู้ปกครองบ้านเมืองไม่ว่าจะเรียกว่าคณะปฏิวัติหรือคณะรัฐบาลต่างก็ทำหน้าที่เป็นหัวหลักหัวตอหรือที่เรียกกันว่าเป็นการปกครองแบบสมานฉันท์ สัตว์ร้ายที่หากินด้วยการก่อกวนบ้านเมืองที่กล่าวมาแล้วต่างฝ่ายก็ลุกฮือกันขึ้นมาเป็นการใหญ่ แม้แต่พวกพระที่บวชเข้ามาพร้อมกับโลภะ โทสะ โมหะเหลือคณานับ และแหกคำสอนของพระพุทธเจ้าเข้ามาหากินก็พยายามแสดงความอหังการอันมิใช่วิสัยของพระ ด้วยการประกาศข่มขู่ว่า อีกไม่กี่วันก็จะมีพระในพุทธศาสนาที่ไม่ได้สนใจในพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าเป็นแสนๆ องค์จะยกขบวนกันออกมาสำแดงอาสวกิเลสนานาชนิดออกมาเดินโชว์ และชุมนุมเรียกร้องเอาข้อความที่พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้บัญญัติ และไม่ได้สั่งสอนไว้ในพระธรรมวินัยของพระองค์ จะมีพุทธศาสนิกชนที่ไหนคิดมาแต่งเติมสร้างธรรมวินัยใหม่ขึ้นมาไว้ในศาสนาของพระองค์เพิ่มเติมอีกคัมภีร์หนึ่งคือ คัมภีร์รัฐธรรมนูญ

แสดงถึงว่าความยุ่งยากวุ่นวายในบ้านเมืองอย่างไม่มีวันจบ แต่จะขยายตัวออกไปซึ่งจะเป็นทั้งความยุ่งยากและความรุนแรงก็เป็นได้

ผมเข้าใจและเห็นใจการแสดงออกของพล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ที่พูดออกมาอย่างอัดอั้นตันใจและไม่มีทางออก

แต่ผมไม่เพียงแต่แสดงความคิดเห็นตามปกติ ผมกลับโอหังบังอาจไปตำหนิเอาว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้น เป็นความผิดของคณะปฏิวัติเองที่ทำการปฏิวัติมาอย่างที่ไม่เคยมีนักปฏิวัติกลุ่มใดในโลกที่เคยปฏิวัติเหมือนนักปฏิวัติของไทย เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ซึ่งผมเรียกว่าเป็นการปฏิวัติแบบ “หมาเลียปาก” ซึ่งผมนำภาษาชาวบ้านที่พูดกันมาเป็นร้อยๆ ปีว่าการทำอะไรก็ตามที่แสดงว่าเป็นเพียงการเล่นกับหมา หมาก็จำเป็นต้องเลียปากตามสันดานของหมา

การเขียนหนังสือโดยการใช้ภาษาไทยที่มีความหมายชัดเจนและลึกซึ้งไม่ใช่ผมเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ใช้ด้วยความเคารพและยกย่อง เมื่อไม่กี่วันมานี้หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันพาดหัวข่าวออกมาตรงๆ ว่า “สุเมธฯ ถามทะเลาะกันไม่อายหมาหรือ” (ผู้จัดการรายวัน วันที่ 21-22 เมษายน 2550 ) ซึ่งแม้แต่ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล องคมนตรี ผู้ใกล้ชิดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ยังต้องใช้คำเดียวกันกับที่ผมใช้ในสถานการณ์ปัจจุบันนี้

และผมก็จะใช้ต่อไปโดยไม่สนใจว่าใครจะสาปแช่งหรือชมเชย จะเป็นหรือจะตายผมไม่ยี่หระอะไร

เรื่องที่จะต้องพูดต้องเขียนกันต่อไปก็คือ ขอบอกกล่าวพล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ว่าการปฏิวัติที่ทำกันมาเพื่อให้หมาเลียปากหรือต้องเลียปากหมานั้น จะไม่มีอะไรดีขึ้น แก้ไขอะไรไม่ได้นอกจากนำไปสู่ความวินาศฉิบหาย แต่อาจจะมีคนร่ำรวยขึ้นมาเพราะเชื่อว่าเป็นการปฏิวัติเพื่อความสมานฉันท์หรือเพื่อทำเงินที่นอนรอคอยอยู่ในการปฏิวัติขณะนี้นั้น ขอให้เชื่อผมว่าเวรกรรมมันมีและรุนแรงด้วย รออีกไม่กี่เดือนก็จะเข้าใจกันว่าผลมันจะเป็นอย่างไร ยังไงๆ ก็หาทางตีจากเสียก็จะดีมาก ถ้าทำได้

การปฏิวัตินั้นหมายถึง การโค่นล้ม การทำลายไม่ให้เหลือเสี้ยนหนาม ปล้นชาติปล้นแผ่นดินที่จะต้องทำได้ทางเดียวคือ การทลายกลุ่มโจรในชาติทุกประเภทให้หมดหรือเรียกว่าเป็นการทำลายในรูปของการกวาดล้างศัตรูไม่ให้เหลือ ถ้าจำเป็นต้องทำและจะต้องไม่ยกคอขึ้นมาเห่า เอาให้เห็นดำเห็นแดงกันไปข้างหนึ่งเรื่องมันจึงจะจบลง

ไม่ต้องมาเสียเวลากัดกับหมาหรือมาทะเลาะอะไรกันอยู่อย่างการปฏิวัติ 19 กันยายน 2549

การปฏิวัตินั้น ไม่มีผิดหรือไม่มีถูกมันจะมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือ แพ้กับชนะไม่ว่าจะแพ้หรือชนะนั้นมันจะไม่มีอะไรยั่งยืน แต่ละฝ่ายสามารถจะประสบความพินาศหรือย่อยยับแตกหักไปได้ ทั้งสองรูปแบบนั้นมันเกิดขึ้นได้เท่าๆ กัน

เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะเป็นนักปฏิวัติหรือไม่เป็นก็ต้องยอมรับกันเสียก่อนว่า ถ้ามันจะเกิดอะไรก็ให้มันเกิด และถ้าไม่ต้องการให้มันเกิดก็อย่าไปเกี่ยวข้องกับมัน ที่สำคัญก็คือว่าการปฏิวัตินั้นคนปฏิวัติจะทำเพื่อใครและเพื่อเหตุผลอะไร เราสามารถจะทำตามความมุ่งหมายนั้นได้หรือไม่ ถ้าทำได้ก็ประสบความสำเร็จ ถ้าทำไม่ได้ก็พินาศไปเราจะต้องตั้งหลักกันตรงนี้เสียก่อน

ไม่ต้องไปอ้างฮิตเลอร์ มุสโซลินี หรือแม้แต่นโปเลียน โฮจิมินห์ หรือเหมาเจ๋อตุง เอากันแค่ในประเทศไทยนี้แหละในปี 2475 มีคนไทยพวกหนึ่งซึ่งถือได้ว่าต้องการปฏิวัติเพื่อล้มล้างระบบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตย มีคนไทยอยู่สองพวกในระยะนั้น พวกแรกก็คือ พวกนักเรียนนอกหรือผู้มีการศึกษาประชาธิปไตยมาอย่างดีก็ถือว่าตนจะต้องปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนการปกครองให้ได้ และก็มีอีกพวกหนึ่งที่ไม่เห็นด้วย

ที่ทำให้เกิดกบฏบวรเดชขึ้นที่โคราช โดยมีพระองค์เจ้าบวรเดชนำคนที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงรวมพวกกันมาต่อสู้กับพวกปฏิวัติ ในการปฏิวัติครั้งนั้นถ้าพระองค์เจ้าบวรเดชไม่โลเลหรือสองจิตสองใจเสียโอกาสชนะฝ่ายปฏิวัติก็มีร้อยเปอร์เซ็นต์

แต่ก็เกิดรวนเรขึ้นเมื่อการต่อสู้มายันกันอยู่ที่หลักสี่ ทำให้ฝ่ายพระองค์เจ้าบวรเดชต้องยกขบวนกลับโคราชหรือต้องแพ้ไปเพราะปัญหาบางประการ ลูกน้อง เพื่อนฝูงหรือผู้คนที่มีข้อสงสัยว่าร่วมมือกับพระองค์เจ้าบวรเดชก็ต่างคนต่างหนี พรรคพวกทุกคนที่เป็นฝ่ายต่อต้าน ที่ไม่ได้มีความรักความชังอะไรกับใครเลยทุกคนก็ถูกจับเข้าคุกไป เพราะถือว่าเป็นพวกกบฏ ทุกคนก็ยอมรับ

ไม่ได้ทำอะไรผิด เพียงแต่มีความเห็นไม่ตรงกันกับคณะผู้เปลี่ยนแปลงการปกครองเท่านั้น

ท่านเหล่านั้นมีพระยาศราภัยพิพัฒน์ ม.จ.สิทธิพร กฤดากร ม.ร.ว.นิมิตมงคล เนาวรัตน์ สอ เสถบุตร แฉล้ม เลี่ยมเพ็ชรรัตน์ และอีกมากมายหลายสิบคนก็ถูกจับเข้าคุกเนรเทศอยู่เกาะตะรุเตาตลอดชีวิต บางคนโชคร้ายก็ถูกฆ่าไป เรื่องพรรค์นี้ไม่ตายบ้างไม่มี!

มันเสียหายอะไรหนักหนา ถ้ามันไม่มีทางเลือกอย่างทุกวันนี้?

ตอนหลังก็ถูกปล่อยออกมา ม.จ.สิทธิพร กฤดากรก็กลับมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ในรัฐบาลใหม่เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ก็มีโอกาสแตกต่างกันไป

ไม่ว่าฝ่ายแพ้หรือฝ่ายชนะไม่มีใครว่าใคร นั่นคือการปฏิวัติ

ไม่มีการเลียปากหมาหรือไม่มีการยอมให้หมาเลียปาก มันก็เท่านั้น!!
กำลังโหลดความคิดเห็น