กระแสต่อต้านการก่อสร้างห้างค้าปลีกขนาดยักษ์ที่มีในช่วง 5 ปีที่แล้ว มีการประท้วงให้เห็นชัดมากขึ้นแทบทุกทำเลที่จะสร้างห้างใหม่ ในช่วงปีที่ผ่านมา
รวมทั้งเหตุการณ์ล่าสุดเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ซึ่งมีการจัดสัมมนาหัวข้อ “ร่วมมือร่วมใจพัฒนาค้าปลีก” ที่โรงแรมสีมาธานี จังหวัดนครราชสีมา
งานนี้มีกลุ่มพ่อค้าแม่ค้ารายย่อยจากหลายอำเภอของนครราชสีมา พากันไปยื่นหนังสือเรียกร้องให้หยุดยั้งการอนุญาตก่อสร้าง และมอบช่อดอกไม้ให้กำลังใจคุณเกริกไกร จีระแพทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้รีบผลักดันกฎหมายควบคุมการค้าปลีกค้าส่งออกมาบังคับใช้โดยเร็ว
ร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ซึ่งคาดว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 27 มีนาคมนี้ หากผ่านการเห็นชอบ ก็จะไปสู่การพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาก่อนส่งเข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ
หากทุกจุดไม่มีปัญหา ก็คงจะประกาศให้มีผลบังคับใช้ประมาณเดือนกรกฎาคมนี้ เพื่อเป็นกฎกติกาควบคุมให้ธุรกิจค้าปลีกและค้าส่ง ไม่ให้ยักษ์ใหญ่แสดงฤทธิ์เดชส่งผลกระทบต่อรายย่อยและสังคม
ความจริงการมีกฎหมายออกมาควบคุมตอนนี้ยังนับว่าช้าไปมากแล้ว เพราะด้วยอิทธิพลของทุนขนาดยักษ์ในประเทศที่ไปร่วมทุนกับยักษ์ใหญ่ข้ามชาติทำให้นักการเมืองยุคที่ผ่านมา ไม่ยอมออกมาตรการหรือกฎหมายเพื่อทำในสิ่งที่เหมาะสม
กระทรวงพาณิชย์ในยุคระบอบทักษิณครองเมืองก็แกล้งเฉไฉตั้ง “บริษัทค้าปลีกเข้มแข็ง” ทำทีจะช่วยร้านโชวห่วยธุรกิจค้าปลีกรายย่อยในการเป็นตัวกลางสั่งซื้อสินค้าเพื่อหวังจะได้ราคาต่ำลง แต่ก็หมดเงินไปหลายร้อยล้านบาทไปกับค่าระบบคอมพิวเตอร์ และค่าการบริหาร ผลก็คือช่วยอะไรโชวห่วยไม่ได้ และกิจการนี้ที่วางมาดจะเป็นผู้ช่วยเหลือก็เอาตัวเองไม่รอด เจ๊งไปในที่สุด
ธุรกิจค้าปลีกยักษ์ใหญ่แบบที่เรียกว่า ดิสเคาท์สโตร์ มีรายการสินค้าลดราคากันตลอดทุกวันนั้น มีพลังเงินและอำนาจต่อรองสูงทำให้บีบราคารับซื้อ หรือสร้างเงื่อนไขการส่งเสริมการขายเอากับผู้ผลิตสินค้าส่งให้
พลังการทำลายล้างในการแข่งขันจึงมีมากเหมือนตัว “ก๊อตซิลล่า” ในหนังญี่ปุ่น
ในต่างประเทศนั้น เขาจึงไม่ยอมให้ห้างยักษ์แบบนี้มาตั้งในเมืองหรือในชุมชน แต่จะให้ไปอยู่ชานเมือง ซึ่งธุรกิจนี้มีพลังมากพอจะใช้กลยุทธ์การตลาด และการโฆษณาดึงดูดคนที่นิยมความทันสมัยราคาถูกเข้าไปได้อยู่แล้ว
เพื่อป้องกันผลกระทบต่อร้านค้าปลีกรายย่อย และไม่ให้ทำลายธุรกิจการค้าชุมชนดั้งเดิม และอีกทั้งป้องกันปัญหาการจราจรแออัด
แม้แต่ที่ประเทศเวียดนามซึ่งเร่งพัฒนาเศรษฐกิจปัจจุบันให้ทันสมัย เขาก็ยังรู้จักปกป้องการค้าของชุมชน และธุรกิจรายย่อย การเปิดรับการลงทุนใหม่ก็จะมีกฎกติกา “สร้างภูมิคุ้มกัน” เศรษฐกิจชุมชนและการค้าดั้งเดิม
ห้างบิ๊กซีแห่งแรกที่ฮานอย ก็เพิ่งได้เปิดเมื่อกลางปี 2549 และกำหนดให้อยู่ในย่านเมืองใหม่ที่ไม่ใช่ชุมชนดั่งเดิม
แต่ในประเทศไทยด้วยการอ้างหลักความเป็นระบบเศรษฐกิจเสรี การค้าเสรี (Free Trade) แต่ละเลยการคำนึงถึงความสมดุลเหมาะสม และยุทธศาสตร์การพัฒนาในอดีตมุ่งแต่จะให้ธุรกิจการค้าขยายตัวเพื่อสร้างตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยไม่คำนึงถึงความเป็นธรรมในการแข่งขันทางการค้า (Fair Trade)
ทุนใหญ่ทางการค้าอุตสาหกรรม ที่สนับสนุนทุนทางการเมือง ก็ได้โอกาสสร้างความได้เปรียบผ่านนโยบายทางการเมือง
การทำเหมือนไม่รับรู้การร้องทุกข์ และเฉไฉไม่จัดการแก้ปัญหาให้ตรงจุดอย่างเช่น การกำหนดเงื่อนไขขนาด และทำเลการเปิดห้างยักษ์เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อการค้าของชุมชนอย่างที่ทำมา 5 ปี
มีการปล่อยให้ห้างยักษ์เปิดสาขากันในใจกลางกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่จนไม่เหลือทำเลสำคัญแล้วจึงแผ่ขยายทำเลระดับต่อไป รวมทั้งลดขนาดเป็นระดับกลางเข้าไปเปิดในปั๊มน้ำมัน และบางชุมชนแล้ว
อย่างไรก็ตาม การมีกฎหมายควบคุมธุรกิจค้าปลีกค้าส่งก็ยังจำเป็น แม้จะค่อนข้างช้าไปเพราะการดึงเกมของรัฐบาลที่ผ่านมา จึงเป็นโอกาสสำหรับรัฐบาลและสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่จะทำในสิ่งสมควร
แต่ถึงแม้กระบวนการลุล่วงจนมีกฎหมายการประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งออกมาบังคับใช้ ก็ยังต้องจับตาดูว่ากลไกตามกฎหมายนี้จะทำงานเพื่อใคร
เพราะร่างฉบับแก้ไขของกฎหมายฉบับนี้ กำหนดให้มี “คณะกรรมการกลางกำกับดูแลธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง” (กกค.) มีอำนาจและหน้าที่กำหนดนโยบาย และมาตรการจัดระบบเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ผู้ผลิต เกษตรกร หรือความเป็นอยู่ของประชาชนชุมชน และสิ่งแวดล้อม
ขณะเดียวกันก็กำหนดให้มี “คณะกรรมการระดับจังหวัดกำกับดูแลธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง” (กจค.) มีอำนาจหน้าที่ในจังหวัดสามารถเสนอแนะ และให้ความเห็นต่อ กกค.ในการกำหนดให้ธุรกิจประเภทใดเป็นธุรกิจควบคุม กำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับสถานที่ตั้ง สภาพแวดล้อมของธุรกิจ และกำหนดบริเวณหรือพื้นที่ห้ามขาย
เอาละครับ ถึงแม้ยินดีที่จะมีกฎหมายควบคุมออกมา ตามที่รัฐมนตรีพาณิชย์ยืนยันว่าจะผลักดัน แต่ยังต้องจับตาว่าตัวบุคคลที่จะเป็นคณะกรรมการกำกับดูแล ทั้งระดับศูนย์กลาง และระดับจังหวัดจะเป็นคนที่วางใจได้ในความเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายเพียงไร
รวมทั้งเหตุการณ์ล่าสุดเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ซึ่งมีการจัดสัมมนาหัวข้อ “ร่วมมือร่วมใจพัฒนาค้าปลีก” ที่โรงแรมสีมาธานี จังหวัดนครราชสีมา
งานนี้มีกลุ่มพ่อค้าแม่ค้ารายย่อยจากหลายอำเภอของนครราชสีมา พากันไปยื่นหนังสือเรียกร้องให้หยุดยั้งการอนุญาตก่อสร้าง และมอบช่อดอกไม้ให้กำลังใจคุณเกริกไกร จีระแพทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้รีบผลักดันกฎหมายควบคุมการค้าปลีกค้าส่งออกมาบังคับใช้โดยเร็ว
ร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ซึ่งคาดว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 27 มีนาคมนี้ หากผ่านการเห็นชอบ ก็จะไปสู่การพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาก่อนส่งเข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ
หากทุกจุดไม่มีปัญหา ก็คงจะประกาศให้มีผลบังคับใช้ประมาณเดือนกรกฎาคมนี้ เพื่อเป็นกฎกติกาควบคุมให้ธุรกิจค้าปลีกและค้าส่ง ไม่ให้ยักษ์ใหญ่แสดงฤทธิ์เดชส่งผลกระทบต่อรายย่อยและสังคม
ความจริงการมีกฎหมายออกมาควบคุมตอนนี้ยังนับว่าช้าไปมากแล้ว เพราะด้วยอิทธิพลของทุนขนาดยักษ์ในประเทศที่ไปร่วมทุนกับยักษ์ใหญ่ข้ามชาติทำให้นักการเมืองยุคที่ผ่านมา ไม่ยอมออกมาตรการหรือกฎหมายเพื่อทำในสิ่งที่เหมาะสม
กระทรวงพาณิชย์ในยุคระบอบทักษิณครองเมืองก็แกล้งเฉไฉตั้ง “บริษัทค้าปลีกเข้มแข็ง” ทำทีจะช่วยร้านโชวห่วยธุรกิจค้าปลีกรายย่อยในการเป็นตัวกลางสั่งซื้อสินค้าเพื่อหวังจะได้ราคาต่ำลง แต่ก็หมดเงินไปหลายร้อยล้านบาทไปกับค่าระบบคอมพิวเตอร์ และค่าการบริหาร ผลก็คือช่วยอะไรโชวห่วยไม่ได้ และกิจการนี้ที่วางมาดจะเป็นผู้ช่วยเหลือก็เอาตัวเองไม่รอด เจ๊งไปในที่สุด
ธุรกิจค้าปลีกยักษ์ใหญ่แบบที่เรียกว่า ดิสเคาท์สโตร์ มีรายการสินค้าลดราคากันตลอดทุกวันนั้น มีพลังเงินและอำนาจต่อรองสูงทำให้บีบราคารับซื้อ หรือสร้างเงื่อนไขการส่งเสริมการขายเอากับผู้ผลิตสินค้าส่งให้
พลังการทำลายล้างในการแข่งขันจึงมีมากเหมือนตัว “ก๊อตซิลล่า” ในหนังญี่ปุ่น
ในต่างประเทศนั้น เขาจึงไม่ยอมให้ห้างยักษ์แบบนี้มาตั้งในเมืองหรือในชุมชน แต่จะให้ไปอยู่ชานเมือง ซึ่งธุรกิจนี้มีพลังมากพอจะใช้กลยุทธ์การตลาด และการโฆษณาดึงดูดคนที่นิยมความทันสมัยราคาถูกเข้าไปได้อยู่แล้ว
เพื่อป้องกันผลกระทบต่อร้านค้าปลีกรายย่อย และไม่ให้ทำลายธุรกิจการค้าชุมชนดั้งเดิม และอีกทั้งป้องกันปัญหาการจราจรแออัด
แม้แต่ที่ประเทศเวียดนามซึ่งเร่งพัฒนาเศรษฐกิจปัจจุบันให้ทันสมัย เขาก็ยังรู้จักปกป้องการค้าของชุมชน และธุรกิจรายย่อย การเปิดรับการลงทุนใหม่ก็จะมีกฎกติกา “สร้างภูมิคุ้มกัน” เศรษฐกิจชุมชนและการค้าดั้งเดิม
ห้างบิ๊กซีแห่งแรกที่ฮานอย ก็เพิ่งได้เปิดเมื่อกลางปี 2549 และกำหนดให้อยู่ในย่านเมืองใหม่ที่ไม่ใช่ชุมชนดั่งเดิม
แต่ในประเทศไทยด้วยการอ้างหลักความเป็นระบบเศรษฐกิจเสรี การค้าเสรี (Free Trade) แต่ละเลยการคำนึงถึงความสมดุลเหมาะสม และยุทธศาสตร์การพัฒนาในอดีตมุ่งแต่จะให้ธุรกิจการค้าขยายตัวเพื่อสร้างตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยไม่คำนึงถึงความเป็นธรรมในการแข่งขันทางการค้า (Fair Trade)
ทุนใหญ่ทางการค้าอุตสาหกรรม ที่สนับสนุนทุนทางการเมือง ก็ได้โอกาสสร้างความได้เปรียบผ่านนโยบายทางการเมือง
การทำเหมือนไม่รับรู้การร้องทุกข์ และเฉไฉไม่จัดการแก้ปัญหาให้ตรงจุดอย่างเช่น การกำหนดเงื่อนไขขนาด และทำเลการเปิดห้างยักษ์เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อการค้าของชุมชนอย่างที่ทำมา 5 ปี
มีการปล่อยให้ห้างยักษ์เปิดสาขากันในใจกลางกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่จนไม่เหลือทำเลสำคัญแล้วจึงแผ่ขยายทำเลระดับต่อไป รวมทั้งลดขนาดเป็นระดับกลางเข้าไปเปิดในปั๊มน้ำมัน และบางชุมชนแล้ว
อย่างไรก็ตาม การมีกฎหมายควบคุมธุรกิจค้าปลีกค้าส่งก็ยังจำเป็น แม้จะค่อนข้างช้าไปเพราะการดึงเกมของรัฐบาลที่ผ่านมา จึงเป็นโอกาสสำหรับรัฐบาลและสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่จะทำในสิ่งสมควร
แต่ถึงแม้กระบวนการลุล่วงจนมีกฎหมายการประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งออกมาบังคับใช้ ก็ยังต้องจับตาดูว่ากลไกตามกฎหมายนี้จะทำงานเพื่อใคร
เพราะร่างฉบับแก้ไขของกฎหมายฉบับนี้ กำหนดให้มี “คณะกรรมการกลางกำกับดูแลธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง” (กกค.) มีอำนาจและหน้าที่กำหนดนโยบาย และมาตรการจัดระบบเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ผู้ผลิต เกษตรกร หรือความเป็นอยู่ของประชาชนชุมชน และสิ่งแวดล้อม
ขณะเดียวกันก็กำหนดให้มี “คณะกรรมการระดับจังหวัดกำกับดูแลธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง” (กจค.) มีอำนาจหน้าที่ในจังหวัดสามารถเสนอแนะ และให้ความเห็นต่อ กกค.ในการกำหนดให้ธุรกิจประเภทใดเป็นธุรกิจควบคุม กำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับสถานที่ตั้ง สภาพแวดล้อมของธุรกิจ และกำหนดบริเวณหรือพื้นที่ห้ามขาย
เอาละครับ ถึงแม้ยินดีที่จะมีกฎหมายควบคุมออกมา ตามที่รัฐมนตรีพาณิชย์ยืนยันว่าจะผลักดัน แต่ยังต้องจับตาว่าตัวบุคคลที่จะเป็นคณะกรรมการกำกับดูแล ทั้งระดับศูนย์กลาง และระดับจังหวัดจะเป็นคนที่วางใจได้ในความเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายเพียงไร