xs
xsm
sm
md
lg

ช่วยกันสร้าง “พลังรู้แจ้ง” ขับเคลื่อนสังคมไทย

เผยแพร่:   โดย: สันติ ตั้งรพีพากร

พอประชาชน “รู้แจ้ง” เราก็รู้สึกมีความหวัง

มีความหวังว่า ประเทศไทยเราจะมีโอกาส “ลืมตาอ้าปาก” กับเขา (จริงๆ หากทำได้)เสียที

มิใช่เพราะทุกฝ่ายต่างฝากความหวังไว้กับพรรคไทยรักไทยละหรือ จึงพากันผิดหวังอย่างรุนแรงในวันนี้ และออกมาแสดงท่าที “ไม่เอา” พรรคไทยรักไทย

ผู้เขียนก็เช่นเดียวกันกับบุคคลในวงการต่างๆ ที่เคยนำเสนอแนวคิดสนับสนุนให้พรรคไทยรักบริหารประเทศอย่างมีประสิทธิผล ประเทศและประชาชนได้ประโยชน์ (ในชุดบทความเรื่อง “ข้อเสนอ 10 ประการ สำหรับรัฐบาล 16 ปี” ภายหลังพรรคไทยรักไทยได้ชัยชนะเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากในปี 2544)

แต่เมื่อพรรคไทยรักไทย นำโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร “ออกลาย” ไม่เพียงแต่ล้มเหลวอย่างยิ่งในการดำเนินนโยบายประชานิยม แต่ยังมีแนวโน้มเอื้อทุนใหญ่ “กลืนบ้านกินเมือง” รวบหัวรวบหางประเทศไทยและคนไทยเข้าไปอยู่ในกรงขังของทุนนิยมผูกขาด ด้วยวิธีการโจ่งแจ้งไม่เกรงกลัวหน้าอินทร์หน้าพรหม จึงได้เกิดกระแสต่อต้านขึ้นมาทีละจุดๆ แล้วขยายตัวพรึบพรับ ตามการเกิดขึ้นของวิกฤตน้อยใหญ่ ที่ล้วนแต่มีเหตุมาจากการจัดการไม่ถูกต้องของรัฐบาล เช่น ปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ การครอบงำองค์กรอิสระ และสื่อ รวมทั้งการปกป้องปิดบังการทุจริตคิดมิชอบในการใช้อำนาจบริหารประเทศของรัฐมนตรีพรรคไทยรักไทย ฯลฯ

ผลโดยรวมที่ปรากฏออกมาเป็นวิกฤตสังคม สร้างความผิดหวังอย่างยิ่งแก่คนไทยทั่วไป โดยเฉพาะบุคคลทรงคุณค่าและทรงปัญญาในระดับต่างๆ ถึงกับพากันลงความเห็นไปในทำนองเดียวกันว่า พรรคไทยรักไทยในการนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่เพียงไม่ได้แก้ปัญหาของประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริงเท่านั้น แต่กลับมีพฤติกรรมใช้อำนาจฉกฉวยประโยชน์เข้าตน

หลายๆ คนพากัน “สิ้นหวัง”
กระนั้น วิกฤตได้พลิกเป็นโอกาสโดย “บังเอิญ” (แต่ก็เป็นไป ตามกฎเกณฑ์หรือสภาวะกำหนดทิศทางการพัฒนาของสังคมไทย โดยเหตุปัจจัยที่เกี่ยวเนื่องกัน เป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน ตามหลักปฏิจจสมุปบาท) เมื่อรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ รายการวิเคราะห์สถานการณ์แบบ “เอาความจริงมาบอก” ยอดฮิต โดยคุณสนธิ ลิ้มทองกุลและคุณสโรชา พรอุดมศักดิ์ ถูกบีบให้ปิดตัวเอง มหกรรม “เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร” จึงเปิดฉากขึ้น

จากนี้ กระบวนการ “รู้แจ้ง” ของประชาชน ก็ได้ขับเคลื่อนตนเองอย่างคึกคัก อันเนื่องจากการนำเสนอ “ความจริง” ของคุณสนธิ ได้รับการตอบรับจากประชาชนอย่างกว้างขวาง และกว้างขวางขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในเขตกรุงเทพมหานคร และในต่างจังหวัด ทั่วทั้งประเทศ

ลำพังรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ คงไม่ทำให้รู้สึกเกิดความหวังอะไรมากนัก แต่เมื่อปวงประชามหาชน “ตื่น” ขึ้น เราก็พอจะมองเห็นสัญญาณอะไรบางอย่างในทางที่จะเป็นผลดีต่อการขับเคลื่อนของสังคมไทยไปสู่อนาคต

ที่ผ่านมา ประชาชนไทยต้อง “จนแต้ม” กับการเมืองระบบเลือกตั้งที่ใช้เงินเป็นใหญ่ ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากต้องเลือกพรรคการเมืองทุนใหญ่เงินหนา เหตุเพราะ ด้านหนึ่ง ไม่มีพรรคการเมืองคุณภาพที่เป็นตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชนให้เลือก (หรือยังไม่มี “พรรคทางเลือก” ที่แท้จริงเกิดขึ้น) อีกด้านหนึ่ง ประชาชนส่วนใหญ่ยังยากจน เห็นแก่อามิสสินจ้างเล็กๆ น้อยๆ ยินยอมลงคะแนนเสียงให้ผู้จ่ายเงินซื้อเสียง

วิเคราะห์ถึงที่สุดแล้ว หลักๆ เป็นเพราะไม่มีพรรคการเมืองที่ดีมีคุณภาพมากกว่าพรรคกลุ่มทุนให้ประชาชนเลือก

ในเมื่อไม่มีพรรคดีๆ ให้เลือก ก็ “หยวนว่ะ” (หรือจะ “โอเค” ก็ได้) เลือกพรรคไหนก็ได้ที่ให้ตังมากกว่า เพราะดูแล้วเลือกพรรคไหนก็ไม่แตกต่างกันเท่าไรนัก ไปใช้สิทธิลงคะแนนเสียงตามกฎหมายบังคับ แถมมีเงินติดกระเป๋าอีก ดีกว่าเสียสิทธิฟรีๆ นะเธอ!

ด้วยเหตุนี้ การเมืองที่มีพรรคกลุ่มทุนครองเมืองจึงเป็นกระแสหลักของวิถีการเมืองไทยในช่วงหลังๆ ซึ่งประเทศชาติและประชาชนไทยไม่ได้รับประโยชน์เท่าที่ควร เพราะพวกเขามัวสาละวนอยู่แต่กับการจัดสรรผลประโยชน์ส่วนตัว

อาจกล่าวได้ว่า ประเทศไทยได้เสียเวลาไปกับการบริหารประเทศของพรรคการเมืองกลุ่มทุนมานานเกินไปแล้ว ทำให้เราเริ่มล้าหลังกว่าประเทศอื่นๆอย่างเห็นได้ชัด

มองดูรอบๆ ตัว บางประเทศที่เคยแย่กว่าเรา หรือใกล้เคียงกับเรา ได้พัฒนาล้ำหน้าเราไปแล้ว ดูจากชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนของเขา ที่กระเตื้องขึ้นเรื่อยๆ และมีแนวโน้มทิ้งห่างเราไปอย่างรวดเร็ว ที่เด่นชัดที่สุดก็คือประเทศจีน สิงคโปร์ เกาหลีใต้ หรือกระทั่งมาเลเซีย และต่อไปอาจจะเป็นเวียดนาม

คุณภาพชีวิตคนไทยโดยรวมจึงตกต่ำ กระทั่งเกิด “โรคพร่องศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์”

มิใช่เพราะโรคนี้หรือ ที่ทำให้สังคมไทยกลายเป็นสังคมอาชญากรรม เกิดการข่มเหงรังแกกันในทุกซอกมุมของครอบครัว ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก ด้วยต่างไม่ได้ตระหนักถึงศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ในตนเองและในผู้อื่น

เพียงเพราะความต้องการอะไรบางอย่าง (ที่ตัวเองรู้สึกต้องการอย่างมาก) ก็พร้อมที่จะทำร้ายทำลายผู้อื่นถึงกับชีวิต การลักขโมย ปล้นชิงทรัพย์ในสังคมไทย จึงมักจะเกิดพร้อมกับการเข่นฆ่าให้อาสัญ เห็นชีวิตคนเป็นผักปลา

สังคมไทยตกอยู่ในวังวนของสังคมอำนาจนิยม อุปถัมภ์นิยม อย่างชัดเจน ไม่เอื้อต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตแต่ประการใด

ในสภาวะเช่นนี้ การเมืองไทยกลายเป็นเรื่องของการแข่งขันกันของกลุ่มอำนาจต่างๆ พรรคการเมืองไทยประกอบขึ้นจากกลุ่มอำนาจอิทธิพลต่างๆ เลือกตั้งกันทีไร ต้องมีเรื่องโจมตี ด่าว่า กระทั่งฆ่ากันตายทุกที

ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับประชาชน หรือผลประโยชน์ของประชาชนแม้แต่น้อย

การพูดถึงประชาชน ก็มักเป็นเพียงคำอ้าง คำขวัญที่เลื่อนลอย ประเภท “ดูได้ แต่กินไม่ได้”

แม้แต่นโยบายประชานิยมของรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ที่ว่ามาจากการสำรวจภาคสนามอย่างจริงจัง ก็พิสูจน์แล้วว่า ไม่ใช่นโยบายที่ยังประโยชน์แก่ประชาชนอย่างแท้จริง เป็นเพียงนโยบายหาเสียง เพื่อสร้างฐานเสียงทางการเมืองระยะยาวเท่านั้นเอง

กิจกรรมทางการเมือง สังคม วัฒนธรรม ที่รัฐหรือหน่วยงานรัฐเป็นเจ้าภาพ จึงไม่มีอะไรที่เอื้อให้แก่การตื่นรู้ของประชาชน ไม่ต้องพูดถึงสื่อสมัยใหม่ เช่น วิทยุโทรทัศน์ ที่ตกอยู่ในการครอบงำของกลุ่มทุน ทำการตลาดโน้มนำให้คนไทยเราคลั่งคลักอยู่ในลัทธิบริโภคตั้งแต่เช้ายันเย็น

แม้แต่เรื่องการสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมความรู้ ก็เป็นเพียงความรู้เทียม ไม่อาจนำมาแก้ปัญหาชีวิตและสังคมได้

ชีวิตทางสังคมของคนไทยส่วนใหญ่จึงวนเวียนอยู่กับความอยาก และการดิ้นรนเพื่อสนองความอยากอย่างไม่สิ้นสุด โดยไม่คำนึงว่า จะได้มาด้วยวิถีทางใด

เด็กใจแตก ผู้ใหญ่ใจชั่ว จึงเป็นปรากฏการณ์ทั่วไปของสังคมไทย

ต้นเหตุทั้งหมดก็เพราะ เราขาดพรรคการเมืองคุณภาพใช้อำนาจบริหารประเทศ บนเวทีการเมืองมีแต่พรรคการเมืองตัวแทนกลุ่มทุนที่ “ไว้ใจไม่ได้” ไม่มีพรรคการเมืองตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชน เสนอตัวบนเวทีการเมืองไทย ให้คนไทยเลือก

ต้นเหตุของต้นเหตุก็เพราะ ประชาชนไทยเราไม่ “รู้แจ้ง” ว่า พรรคการเมืองกลุ่มทุนไม่ใช่ทางเลือกของประชาชน

จนกระทั่งพรรคไทยรักไทยได้ทำหน้าที่เป็นครูโดยไม่ได้ตั้งใจ ให้คำตอบแก่คนไทยอย่างชัดแจ้งว่า “คนรวยแล้ว ยังโกง” พรรคไทยรักไทยซึ่งเป็นพรรคคนรวย ยังพยายามทุกอย่าง ในการใช้อำนาจบริหารประเทศ ไปในทางที่เอื้อต่อผลประโยชน์กลุ่มตนเป็นอันดับแรกเสมอ

ถึงตรงนี้ คนไทย “รู้แจ้ง” ไม่สามารถให้ความไว้วางใจพรรคกลุ่มทุนเสียแล้ว

ทว่า ประเทศไทยยังต้องเดินหน้าไปสู่อนาคต คนไทยยังต้องการให้ประเทศพัฒนาไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ตนเองจะได้อยู่ดีมีสุข มีความก้าวหน้าในทุกๆ ด้าน เฉกเช่นเดียวกับชาวโลกส่วนใหญ่

การไม่ไว้วางใจพรรคกลุ่มทุน เพียงเท่านั้นยังไม่พอ จำเป็นจะต้องช่วยกันผลักดันให้เกิดพรรคการเมือง “รู้แจ้ง” ขึ้นบนเวทีการเมืองไทย

พรรคการเมืองรู้แจ้งที่เราต้องการ ก็คือพรรคการเมืองตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชนชาวไทย มีอำนาจเหนือทุน แต่ไม่ปฏิเสธทุน กระทั่งเป็นมิตรกับทุน เห็นทุนเป็นปัจจัยที่เป็นคุณในการพัฒนาประเทศ สร้างความมั่งคั่งให้แก่ประเทศชาติ สร้างความอยู่ดีกินดีให้แก่ประชาชนชาวไทย

เพียงแต่ต้องบริหารทุนให้ดี รับใช้ประเทศชาติประชาชน ไม่ใช่มาเป็นนายเหนือหัว กดขี่ขูดรีดเอารัดเอาเปรียบ

พรรคเช่นนี้จึงเป็นพรรคการเมืองคุณภาพ ไม่เพียงสามารถบริหารจัดการทุนและทรัพยากรของชาติไปในทางที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนเท่านั้น แต่ยังสามารถพัฒนาสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจการเมือง สังคม วัฒนธรรม ให้เอื้อต่อการดำเนินชีวิตของคนไทยโดยรวมด้วย

โดยเฉพาะคือสนับสนุนอย่างเต็มที่ให้ประชาชนตื่นรู้ในความจริงของสังคมโลกและชีวิตของตน ให้คนไทยกลายเป็นประชาชนรู้แจ้ง ไม่หลงยึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเป็นอิสระ เสรี มีความรู้ความสามารถ ที่จะดำรงชีวิตสุขได้ตามอัตภาพ

เสริมเพิ่มศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ให้แก่คนไทย สามารถเชิดหน้าชูตาได้อย่างแท้จริงบนเวทีโลก

ถึงตรงนี้ ก็ต้องช่วยกันมองภาพรวมให้ชัดกันอีกครั้งว่า ที่ผ่านมาการเมืองไทย อำนาจบริหารประเทศอยู่ในมือของพรรคการเมืองกลุ่มทุน จึงส่งผลให้ประเทศไม่พัฒนาอย่างถูกต้อง ประชาชนชาวไทยต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนอยู่ในสภาพแวดล้อมชีวิตที่แย่มาก ขาดศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ที่แท้จริง กลุ่มทุนจึงไม่ใช่พลังขับเคลื่อนทางสังคมที่แท้จริง

พลังขับเคลื่อนสังคมไทยอยู่ตรงไหน?

พลังที่หนึ่ง เป็นพลังพื้นฐาน คือพลังรู้แจ้งของประชาชน การตื่นรู้ของประชาชนทั้งประเทศ การจัดตั้งกันเข้าเป็นเครือข่าย “ประชาชนรู้แจ้ง” กระจายไปทั่วทุกหัวระแหงของสังคมไทย จะเป็นเงื่อนไขหรือปัจจัยสำคัญยิ่งในการนำไปสู่การเกิดขึ้นของพรรคการเมืองรู้แจ้ง ซึ่งก็คือพรรคการเมืองตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชน

พรรคการเมืองรู้แจ้ง จึงเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญ ควบคู่ไปกับพลังขับเคลื่อนของขบวนการประชาชนรู้แจ้ง

เป็น “พลังแกนคู่” ขับเคลื่อนสังคมไทยไปสู่อนาคต

โดยธรรมชาติของพรรคการเมืองรู้แจ้ง จะต้องเป็นตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชน จะต้องเป็นพรรคเหนือทุน ไม่ตกอยู่ในการครอบงำของกลุ่มทุน ตรงกันข้าม สามารถควบคุมทุน บริหารจัดการทุนในฐานะทรัพยากรร่วมกันของสังคมไทยให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน

นั่นหมายถึงว่า จะไม่ทำลายทุน ตรงกันข้าม กลับส่งเสริมให้ทุนไทยเข้มแข็ง สามารถแข่งขันในระดับโลกได้

ทุนเช่นนี้ เป็นทุนสร้างสรรค์ ประเทศชาติจะได้ประโยชน์ ประชาชนจะได้ประโยชน์

ด้วยความเข้าใจข้างต้นทั้งหมดนี้ ผู้เขียนจึงขอเสนอต่อสังคมไทยว่า จงช่วยกันขับเคลื่อนกระบวนการตื่นรู้ของประชาชนคนไทยให้กว้างขวางยิ่งขึ้น เพื่อนำไปสู่การเกิดขึ้นของพรรคการเมืองรู้แจ้ง

ขบวนการประชาชนรู้แจ้ง กับพรรคการเมืองรู้แจ้ง จะร่วมกันขับเคลื่อนสังคมไทยให้ก้าวไปสู่อนาคตได้อย่างแท้จริง

อนาคตที่ว่านั้น ปัจจุบันอยู่ในมือของท่านทุกคน
กำลังโหลดความคิดเห็น