xs
xsm
sm
md
lg

6 เทรนด์ข้อมูล-คลาวด์ร้อนแรงปี 2019/นพดล เดลล์ อีเอ็มซี ประเทศไทย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นพดล ปัญญาธิปัตย์
นพดล ปัญญาธิปัตย์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย เดลล์ อีเอ็มซี ประเทศไทย ถอดรหัส 6 แนวโน้มร้อนแรงที่จะมีผลต่อตลาดข้อมูลและคลาวด์ตลอดปี 2019 ได้อย่างน่าสนใจ หนึ่งในนั้น คือ เรื่องราวของ 5G ที่จะช่วยกระตุ้น และเร่งสปีดทุกด้านอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึง AR/VR ที่จะทำให้เกิดมิติใหม่ในโลกธุรกิจชนิดที่ทุกคนไม่ควรพลาด

____

กล่าวได้ว่า บรรดาประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีอาจมีงานที่ทำแล้วดูเท่ที่สุดในองค์กร ขณะที่เราต้องสวมหมวกหลายใบในการทำงาน หนึ่งในหมวกใบสำคัญ คือ ใบที่ต้องทำหน้าที่ในการคาดการณ์ถึงสิ่งที่จะเป็นการค้นพบหรือการพัฒนาครั้งยิ่งใหญ่ครั้งต่อไปด้านเทคโนโลยี จะเผยให้เห็นถึงโอกาสใหม่ๆ สำหรับลูกค้าได้อย่างไรบ้าง

ในช่วงตลอดทั้งปีที่ผ่านมา อาจพูดได้ว่า นวัตกรรมเทคโนโลยีไม่เคยขาดแคลน จากการที่เทคโนโลยีทั้งปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI แมชชีนเลิร์นนิง 5G คลาวด์ AR และ VR รวมถึงบล็อกเชน ที่ต่างยืนอยู่ในแถวหน้าของหัวข้อการสนทนาทั้งภายในทีมงานของเราเอง และระหว่างการพูดคุยกับลูกค้า ช่วงเวลานี้ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นสำหรับคนที่สนใจใคร่รู้ทางด้านเทคโนโลยี

แต่กระนั้น คำถามที่แท้จริงก็คือ ทั้งหมดนี้มีความหมายต่อทั้งเราและลูกค้าของเราอย่างไร และเราจะช่วยเตรียมพวกเขาให้พร้อมเพื่อให้สามารถได้รับประโยชน์สูงสุดจากเทคโนโลยีเหล่านี้ได้อย่างไร คำตอบสั้นๆ ก็คือ การปฏิรูปสู่ดิจิทัลเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยให้ได้รับประโยชน์จากการลงทุนด้านข้อมูลทั้งหมดที่มีพร้อมในยุคของข้อมูล

ด้วยการมาถึงของปี 2019 เรารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นภายในอีก 12 เดือนข้างหน้า จากการที่เราได้เริ่มวางแผนเพื่อรับมือกับสิ่งที่จะมาถึงในอนาคตที่ไกลออกไปอีกนิด ในปี 2030 เพื่อเตรียมความพร้อม เดลล์ เทคโนโลยีส์ ได้เผยถึงการคาดการณ์สำหรับปี 2019 โดยเราจะแยกแยะถึงความหมาย และผลเกี่ยวพันที่ตามมาของนวัตกรรมทางเทคโนโลยีล่าสุดนี้ ให้ละเอียดลึกซึ้งมากไปกว่าเดิมอีกนิด เพราะมันเกี่ยวโยงกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปในปีข้างหน้า

multi-tiered ร้อนแรง

การคาดการณ์ข้อมูล ต้องอาศัยคลาวด์แบบ multi-tiered เปลี่ยนโฉมหน้าของโมเดิร์นดาต้าเซ็นเตอร์

ด้วยการเติบโตของดาต้าที่อุปกรณ์ปลายทาง (edge) และความต้องการการประมวลผลในแบบเรียล-ไทม์ ที่ทรงพลังในระดับที่สามารถรองรับเวิร์กโหลดของทั้ง AI และแมชชีนเลิร์นนิงได้นั้น ดาต้าเซ็นเตอร์จึงต้องกลับมาทำงานในรูปแบบของการกระจายศูนย์ (distributed) รูปแบบการตอบรับการใช้งานทั้งมัลติ-คลาวด์ และไฮบริด คลาวด์ จะพัฒนาไปไกลยิ่งขึ้น พร้อมจัดวางความสามารถของคลาวด์ คอมพิวติ้ง ไว้ในทุกลำดับชั้น (layer) ของการเดินทางของข้อมูลเพื่อตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะด้านที่เกิดขึ้นในแต่ละลำดับชั้น

การเปลี่ยนแปลงที่ขยับเข้าใกล้พื้นที่ในส่วนปลายทาง (edge) เพิ่มมากขึ้นนี้ จะสนับสนุนทั้งในด้านการวิเคราะห์ และการบริหารจัดการข้อมูลที่อยู่นอกระบบโครงสร้างหลักที่เปรียบเสมือนส่วนขยายของคลาวด์แบบ on-premise มากยิ่งขึ้น จึงมีการมองหาจุดที่ผสมผสานการทำงานระหว่างพับบลิกไพรเวต และไฮบริด เพื่อเป็นมาตรฐานใหม่ที่จะทำให้คลาวด์แบบมัลติ-เทียร์ กลายเป็นความจริงขึ้นมาได้

นอกจากนี้ ยังเป็นการกระจายการทำงานจากพับบลิกดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ไปสู่ดาต้าเซ็นเตอร์ในองค์กรได้อย่างเหมาะสม ไปยัง Edge Clouds แบบเรียลไทม์ ตลอดจนอุปกรณ์ปลายทางที่ทำงานได้ฉลาดยิ่งขึ้น เพื่อผสานการทำงานร่วมกับโมเดลไอทีมัลติ-คลาวด์ แบบหลายชั้น (multi-tier)

ปัญญาประดิษฐ์ขยายผล

ปัญญาประดิษฐ์ และแมชชีนเลิร์นนิง จะนำไปสู่การเพิ่มผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ ที่เราเห็นกันมาหลายปี ซึ่งไม่ใช่แค่เฉพาะสำหรับคน แต่สำหรับจักรกลเช่นกัน

ขณะที่ ML จะยังคงต้องอาศัยข้อมูลที่หลั่งไหลเข้ามา เพื่อสร้างประสิทธิภาพ และมุมมองเชิงลึกได้มากยิ่งขึ้น โดยจะใช้ประโยชน์จากแอปฯ และอุปกรณ์ที่เราใช้กันอยู่ทุกวัน พีซีจะสามารถคาดการณ์ถึงความต้องการใช้พลังงาน โดยอิงจากรูปแบบการใช้งาน พร้อมกับที่แอปฯ จะยังคงเรียนรู้ความชื่นชอบ และพฤติกรรมของผู้ใช้ เพื่อมอบประสบการณ์ที่ตรงต่อความต้องการเฉพาะบุคคลได้มากยิ่งขึ้น

กระทั่งระบบงานขนาดใหญ่ในองค์กรเอ็นเตอร์ไพร์ซเองก็จะมีการนำ AI และ ML มาช่วยในเรื่องของระบบออโตเมชัน และสร้างความฉลาดมากยิ่งขึ้น ช่วยให้มนุษย์รวบรวมข้อมูลเชิงลึก หรือตัดสินใจในเชิงกลยุทธ์โดยอิงจากข้อมูลได้ง่ายยิ่งขึ้น เพราะเราเปลี่ยนจากข้อมูลขนาดเพตะ-สเกล ไปเป็นเอกซะ-สเกล จนถึงเซตะ-สเกล ทั้งนี้ การ์ทเนอร์ ประเมินว่า ในปี 2021 การขยายตัวของ AI จะสร้างมูลค่าทางธุรกิจได้สู่ถึง 2.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และช่วยให้คนทำงานประหยัดเวลาทำงานได้มากถึง 6,200 ล้านชั่วโมง สำหรับการสร้างผลลัพธ์ของงาน

5G AR/VR กระตุ้นตลาด

5G จะช่วยเร่งสปีดข้อมูล รวมถึงเว็บแอปฯ และก้าวสู่ระบบไอทีที่กำหนดการทำงานด้วยซอฟต์แวร์ (software-defined IT)

5G ได้รับการกล่าวถึงในการคาดการณ์หลายๆ ชิ้นสำหรับปี 2019 แต่สิ่งที่ยังอาจจะเห็นไม่ค่อยชัด คือ 5G จะเข้ามาผลักดันกลยุทธ์ไอทีที่กำหนดการทำงานด้วยซอฟต์แวร์ (software-defined IT) มากกว่าที่ผ่านมาได้อย่างไร ทั้งนี้ 5G ต้องอาศัยเครือข่ายที่กำหนดการทำงานด้วยซอฟต์แวร์ (software-defined network) พร้อมโมเดลการประมวลผลแบบกระจายศูนย์แบบใหม่ เหล่านี้จำต้องได้รับการสนับสนุนจากโครงสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ที่กำหนดการทำงานด้วยซอฟต์แวร์ (software-defined data center) อย่างแน่นอน เพื่อให้มั่นใจได้ว่า ข้อมูลทั้งหมดสามารถเคลื่อนไปได้อย่างรวดเร็วและในปริมาณมากได้
นพดล ปัญญาธิปัตย์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย เดลล์ อีเอ็มซี ประเทศไทย
ที่สำคัญ ยังต้องสามารถบริหารจัดการ วิเคราะห์ จัดเก็บ และป้องกันข้อมูลได้อย่างดี โดยองค์กรธุรกิจจะต้องมีความสามารถในการบริหารจัดการระบบโครงสร้างพื้นฐานแบบ 5G ได้อย่างง่ายดาย และคล่องตัว เพื่อนำโค้ดซอฟต์แวร์ และ APIs แบบใหม่มาใช้ได้ตามต้องการ นอกจากนี้ ระบบออโตเมชัน และความฉลาด จะเป็นสิ่งสำคัญ อีกทั้งช่วยส่งเสริมความสามารถในการกำหนดการทำงานด้วยซอฟต์แวร์ด้วย NVMe fabrics ที่ขยายขีดความสามารถได้ รวมถึง SD-WAN

นอกจากนี้ ข้อมูลยุค 5G ที่ให้แบนด์วิดธ์สูง ความหน่วงต่ำ จะให้ประสบการณ์เสมือนจริงที่ทรงพลังมากขึ้นไปอีก เพื่อรองรับการใช้ AR, VR แอปฯ โมบาย และเกมมิ่ง สำหรับ IoT ซึ่งจะยิ่งทำให้เกิดความต้องการคอนเทนต์ที่เอดจ์มากขึ้น เราจะได้เห็นการย้ายไปสู่เว็บแอปฯ ซึ่งมีระบบปฏิบัติการ และระบบวินิจฉัยอุปกรณ์ เพื่อมอบประสบการณ์ด้านภาพที่ให้ความละเอียดสูงให้กับผู้คนจำนวนมากขึ้น ครอบคลุมหลายสถานที่ยิ่งขึ้น

ประชุมทางไกล ฮอตไม่แพ้ บล็อกเชน

การประสานความร่วมมือ จะเกิดขึ้นได้ทันทีเมื่อมีการเชิญประชุม

ขณะที่ความคิดเรื่องของการทำงานระหว่าง 9-5 (โมง) ค่อยๆ เลือนหายไปในโลกที่การเชื่อมต่อและประสิทธิผลของงานเกิดขึ้นได้แม้จะอยู่ในสถานที่ที่ห่างไกลมากที่สุดก็ตาม การเชิญประชุมผ่าน calendar ยังคงเป็นกฎที่ทำให้เรามาเจอกันตามเวลา และสถานที่ที่กำหนด แต่ทั้งหมดนี้กำลังจะเปลี่ยนไป เนื่องจากเราสามารถเรียกเพื่อนร่วมงานที่นั่งทำงานอยู่ต่างประเทศมาร่วมประชุมได้อย่างรวดเร็ว ผ่านเครื่องมือในการประสานการทำงานร่วมกันแบบใหม่ ที่ช่วยให้เราสามารถทำวิดีโอคอล และแชร์ไฟล์ได้แบบเรียลไทม์

ปี 2019 จะสร้างความก้าวหน้าในเรื่องของการประสานความร่วมมือ (collaboration) เนื่องจากองค์กรธุรกิจจำนวนมากขึ้น จะหันมาใช้เครื่องมือในการประสานงานผ่านเว็บ รวมถึงเทคโนโลยีสำหรับอุปกรณ์ เพื่อใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าของการเชื่อมต่อ wi-fi และพลังการประมวลผล เพื่อช่วยให้ทำงานร่วมกันได้ดียิ่งขึ้น ช่วยให้งานเสร็จเร็วขึ้น

สำหรับบล็อกเชน จะก่อให้เกิดปฏิกริยาลูกโซ่ โดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยีที่ยังคงมีการพูดถึงบล็อกเชนกันอยู่มาก เนื่องจากองค์กรธุรกิจยังคงมองว่าจะนำบล็อกเชนมาสร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจได้อย่างไร หลายองค์กรยังคงประเมินกันอยู่ว่า การนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้ ช่วยสร้างคุณค่าได้มากพอหรือไม่ และจะช่วยเสริมความปลอดภัย สร้างความมั่นใจให้กับซัปพลายเชนทั้งหมด หรือในการทำธุรกรรมทางการเงินทั้งหมดได้หรือไม่

ทั้งนี้ ปี 2019 จะเป็นปีที่มีการพัฒนาไปสู่การติดตั้งบล็อกเชนเพื่อใช้งานจริง เนื่องจากองค์กรได้ศึกษาเพื่อให้เข้าใจว่า บล็อกเชนเหมาะสมสำหรับองค์กรตนในตอนนี้หรือยัง และองค์กรมีระบบโครงสร้าง มีระบบงานและการบริหารที่เหมาะสมที่สามารถรองรับการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวได้หรือไม่ ตอนนี้เราพัฒนามาสู่ความเข้าใจที่ว่า distributed ledgers เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ ในกรณีที่การการกระจายความเชื่อมั่น (distributed trust) และ data immutability ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ถือเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ทำให้มีแอปพลิเคชันเฉพาะทางที่ให้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่นี้มากขึ้น

ฉะนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ปี 2019 จะเป็นปีที่น่าตื่นเต้นสำหรับคนที่สนใจใคร่รู้เรื่องของเทคโนโลยี รวมถึงผู้บริโภคเช่นกัน เพราะเราต่างใช้ชีวิตอยู่ในยุคของข้อมูลกันถ้วนหน้า.


กำลังโหลดความคิดเห็น