xs
xsm
sm
md
lg

ตรวจแถว iPhone ใหม่ที่ราคาสูงสุดขยับแพงขึ้นไปอีก และ Apple Watch Series 4

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


แอปเปิล (Apple) เปิดตัวไอโฟน (iPhone) รุ่นใหม่ด้วยกัน 3 รุ่น 3 ขนาดหน้าจอ คือ 5.8 นิ้ว 6.1 นิ้วและ 6.5 นิ้วโดยรุ่นแพงสุดราคาขยับขึ้นไปอยู่ที่ 1,449 เหรียญสหรัฐฯ จากปีก่อนหน้าที่ iPhone X รุ่นแพงสุดอยู่ที่ 1,149 เหรียญสหรัฐฯ พร้อมกับ Apple Watch Series 4 ที่ปรับขนาดหน้าปัดเป็น 40 มม. และ 44 มม. ตามลำดับ

ทิม คุก ซีอีโอแอปเปิล ขึ้นกล่าวเปิดถึงภาพรวมอีโคซิสเตมส์ของแอปเปิลว่า ปัจจุบันมีผู้ใช้งาน iOS เกิน 2 พันล้านดีไวซ์แล้วเช่นเดียวกับ Apple Watch ที่มียอดขายเป็นอันดับ 1 ในตลาดนาฬิกาเวลานี้ ดังนั้น ในวันนี้จะเป็นการเปิดตัว 2 ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่อยู่ใกล้ชิด และกลายเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตของผู้บริโภคในปัจจุบัน

โดยสรุปแล้ว ภายในงานครั้งนี้มีการเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ด้วยกันทั้งหมด 3 รุ่น ประกอบไปด้วย iPhone Xs (ไอโฟนเท็นเอส) และ iPhone XS Max (ไอโฟนเท็นเอสแมกซ์) ที่เป็นรุ่นต่อของ iPhone X โดยยังคงใช้หน้าจอ OLED ขนาด 5.8 นิ้ว และ 6.5 นิ้ว ตามลำดับกันน้ำกันฝุ่นมาตรฐาน IP68

ภายในก็ได้มีการอัปเดตหน่วยประมวลผลเป็น Apple A12 Bionic ที่ให้ประสิทธิภาพดีขึ้นกว่ารุ่นก่อน โดยเป็นหน่วยประมวลผลที่นำสถาปัตยกรรม 7 นาโนเมตรมาใช้ และจะวางขายเป็นรุ่นแรกในโลก รวมถึงการเพิ่ม GPU ให้ประมวลผลเร็วขึ้น 50% NPU ที่มากับ 8 Core ช่วยให้ประมวลผลได้รวดเร็วขึ้นอีก

ส่วนเรื่องของกล้องถ่ายภาพจะมาพร้อมกับกล้องคู่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซลเลนส์คู่ โดยเลนส์มุมกว้างจะมากับ f/1.8 ส่วนเลนส์เทเลยังใช้ f2.2 เช่นเดิมส่วนกล้องหน้ามากับกล้องความละเอียด 7 ล้านพิกเซล ที่มาพร้อมเซ็นเซอร์ Face ID ในการปลดล็อกใบหน้า

โดยมีการนำระบบ NPU มาช่วยในการประมวลผลทั้งกล้องหน้า และกล้องหลัง เพื่อให้ได้ภาพที่สวยเก็บรายละเอียดได้ครบ และสมจริงมากที่สุด โดยเฉพาะบนระบบ Smart HDR ที่จะช่วยถ่ายภาพแบบชดเชยแสง

นอกจากนี้ ยังเพิ่มความพิเศษในการถ่ายภาพแบบ Portriat ที่เปิดให้ผู้ใช้สามารถปรับความเบลอของฉากหลังได้ตั้งแต่ f/1.4 เพื่อให้เกิดโบเก้ด้านหลังภาพไปจนถึง f/16 ที่จะให้ความคมชัดทั้งภาพ

iPhone XS จะใช้งานได้นานกว่า iPhone X 30 นาที ส่วน iPhone XS Max ใช้งานได้นานกว่า 1.30 ชั่วโมง ด้านการเชื่อมต่อรองรับเครือข่าย Gigabit LTE พร้อมรองรับการใช้งานแบบ Dual SIM โดยใช้งานคู่กับ eSIM ส่วนรุ่นจำหน่ายในประเทศจีน รองรับการใส่ใช้งาน 2 ซิม

มีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 3 รุ่น คือ ขนาด 64 GB 256 GB และ 512 GB โดยจะมีการเพิ่มสีทองเข้ามาจากเดิมที่เป็น สีเงิน และสีเทาสเปซเกรย์ โดยราคาในสหรัฐฯ จะเริ่มต้นที่ 999 เหรียญสหรัฐฯ สำหรับ XS และ 1,099 เหรียญสหรัฐฯ ใน XS Max ไปจนถึง 1,449 เหรียญสหรัฐฯ

ถัดมา คือ iPhone XR ที่เปิดตัวมาในราคา 749 เหรียญสหรัฐฯ โดยถือว่าเป็นรุ่นราคาเริ่มต้นในปีนี้ที่หน้าจอยังคงใช้เป็น LCD ขนาด 6.1 นิ้ว มีจุดที่แตกต่างจาก iPhone XS คือ เรื่องของกล้องหลังที่ใช้เลนส์เดียวส่วนหน่วยประมวลผลภายในก็ปรับมาใช้ Apple A12 Bionic เช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ ในรุ่น iPhone XR จะมีให้เลือก 3 ความจุเช่นเดียวกัน คือ 64 GB 128 GB และ 256 GB นอกจากนี้ แอปเปิลยังสร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการมีสีสันให้เลือกถึง 6 สีด้วยกันประกอบไปด้วย ดำ, ขาว, แดง, เหลือง, ส้ม และฟ้า

อีกผลิตภัณฑ์ที่เปิดตัวในงาน คือ นาฬิกา Apple Watch Series 4 ที่มีหน้าปัดที่ใหญ่ขึ้น 35% และ 32% ตามลำดับเป็นขนาด 40 มม. และ 44 มม. ที่มาพร้อมกับหน่วยประมวลผล Apple S4 ที่ให้ประสิทธิภาพในการประมวลผลเร็วขึ้น 2 เท่าเพิ่ม Haptic ที่ Digital Crown

สิ่งที่น่าสนใจถัดมา คือ เรื่องของตรวจจับการเคลื่อนไหวได้ละเอียดขึ้น จากการพัฒนาเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวให้สามารถตรวจจับการล้ม หรือการเปลี่ยนแปลงระยะความสูงด้วยความเร็วได้ต่อเนื่องไปจนถึงการเพิ่มโหมดฉุกเฉินในกรณีที่มีการตรวจพบว่า ผู้สวมใส่ล้มลงจะมีการโทรเรียกรถฉุกเฉินได้ทันที

เช่นเดียวกับการพัฒนาเซ็นเตอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจที่สามารถตรวจจับได้ว่า การเต้นของหัวใจต่ำกว่าปกติจากที่ก่อนหน้านี้จะมีการแจ้งเตือนเมื่อมีการเต้นของหัวใจสูงผิดปกติอยู่แล้วพร้อมเพิ่มการบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram : ECG) มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพิ่มเติม

การเพิ่ม ECG เข้ามาช่วยให้สามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ในกรณีที่เข้าไปหาหมอ เพื่อตรวจสุขภาพ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ได้รับการยอมรับจากหลายๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพในการเก็บข้อมูลผ่านอุปกรณ์สวมใส่ต่างๆ และมีการเข้ารหัสข้อมูลด้วย

ส่วนเรื่องของแบตเตอรีใช้งานได้ต่อเนื่อง 18 ชั่วโมง ไม่นับรวมกับไฮไลต์หลักๆ ที่จะมาพร้อมกับ watchOS 5 ช่วยให้สามารถใช้ท้าเพื่อนในการออกกำลังการใช้งานระบบ Walkie Talkie ที่สำคัญ คือ มีสีทองเพิ่มออกมาให้เลือกใช้ด้วยวางจำหน่ายในรุ่นธรรมดา 399 เหรียญสหรัฐฯ และรุ่น Cellular 499 เหรียญสหรัฐฯ


กำลังโหลดความคิดเห็น