xs
xsm
sm
md
lg

อินทัช เผยผลประกอบการครึ่งปี กำไร 6,938 ล้านบาท

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


อินทัช ประกาศผลประกอบการครึ่งแรกของปี 2561 มีกำไรสุทธิ 6,938 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้น 16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการปรับโครงสร้างธุรกิจไทยคม และการเติบโตของรายได้จากลูกค้ารายเดือน และการให้บริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ของเอไอเอส

นายเอนก พนาอภิชน (ขวา) รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบัน เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในการดำเนินชีวิตประจำวัน และการดำเนินธุรกิจ ในฐานะที่อินทัช ลงทุนในธุรกิจโทรคมนาคม สื่อ และเทคโนโลยี มองว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ออกสู่ตลาดโดยใช้ศักยภาพของบริษัทลูก และบริษัทร่วมที่เราไปลงทุนเพื่อต่อยอดธุรกิจ และรองรับการใช้งานของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

เห็นได้ชัดจากยอดการใช้งานดาต้าของเอไอเอส เพิ่มขึ้นเป็น 8.9 กิกะไบต์ต่อเดือนในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ จาก 4.7 กิกะไบต์ต่อเดือนในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ส่วนอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงมีลูกค้าใช้เอไอเอส ไฟเบอร์เพิ่มขึ้น 40% จากไตรมาสที่ 2 ของปี 2560

สำหรับการจ่ายเงินปันผล อินทัชยังคงนโยบายจ่ายเงินปันผลส่วนใหญ่ที่บริษัทได้รับจากบริษัทร่วมและบริษัทย่อยหลังหักค่าใช้จ่าย โดยจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานระหว่างกาลสำหรับงวดวันที่ 1 มกราคม-30 มิถุนายน 2561 ในอัตรา 1.35 บาทต่อหุ้น โดยจะจ่ายให้ผู้ถือหุ้นในวันที่ 30 สิงหาคม 2561

เอไอเอส เน้นคุณภาพการให้บริการ 4G และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง

จากอัตราการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ 4G ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2561 เอไอเอสมีลูกค้าสุทธิทั้งสิ้น 40.1 ล้านราย โดยลูกค้าระบบรายเดือนเพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาสก่อน ขณะที่ธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเติบโตขึ้นจากการให้บริการคอนเวอร์เจนซ์ที่รวมบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ อินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ และคอนเทนต์เข้าไว้ด้วยกันโดยใช้แพกเกจ Fixed-Mobile-Content (FMC) ที่ครอบคลุมการใช้งานดึงลูกค้าที่มีคุณภาพใน 50 เมืองใหญ่ที่ให้บริการ เพื่อเพิ่มความสะดวก และความต่อเนื่องของผู้ใช้บริการมากขึ้น

นอกจากนี้ เอไอเอสได้เปิดบริการ NU Mobile ซึ่งเป็นบริการแบบออนไลน์ครบวงจร เน้นให้ลูกค้าใช้งานอินเทอร์เน็ตบนมือถือได้อย่างสะดวก ไม่ซับซ้อนสอดรับกับการขยายตัวของช่องทางการเติมเงิน และชำระบิลออนไลน์ที่เติบโตขึ้นตามพัฒนาการของระบบอีเพย์เมนต์ (e-payment) ในประเทศไทย เอไอเอสยังคงเดินหน้าต่อยอดโครงสร้างพื้นฐานทั้งดิจิทัลแพลตฟอร์ม และเครือข่าย NB-IoT ที่ครอบคลุม 77 จังหวัด เพื่อสนับสนุนการเติบโตของลูกค้าองค์กร และภาคอุตสาหกรรมต่างๆ

ไทยคม เร่งหาลูกค้าในตลาดใหม่

ในครึ่งปีแรก รายได้ของไทยคมปรับลดลงจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากสภาวการณ์แข่งขันในตลาด โดยบริษัทจะเน้นหาลูกค้าใหม่ที่มีการใช้งานดาวเทียมแบบทั่วไปเพิ่มขึ้นในแถบแอฟริกา ภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และเอเชียใต้

ส่วนดาวเทียมบรอดแบนด์มีการรับรู้รายได้จากลูกค้าใหม่ที่เซ็นสัญญาเมื่อปี 2560 ได้แก่ ลูกค้าในประเทศอินโดนีเซีย, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, อินเดีย และไทย นอกจากนี้ ในปี 2561 ไทยคมยังบรรลุข้อตกลงในการให้บริการสัญญาณดาวเทียมบรอดแบนด์กับบริษัท วี อาร์ ไอที ฟิลิปปินส์ จำกัด เพื่อให้บริการเชื่อมต่อสัญญาณบรอดแบนด์สำหรับโครงการของภาครัฐ และเอกชน ที่จะเกิดขึ้นทั่วฟิลิปปินส์

รวมทั้งการให้บริการแพลตฟอร์ม “นาวา” กับบริษัท ชิพ เอ็กซ์เปิร์ท เทคโนโลยี จำกัด โดยติดตั้งบริการบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงทางทะเลผ่านดาวเทียมจากไทยคมในเรือปฏิบัติงานนอกชายฝั่ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานและให้บริการทางทะเล

อินเว้นท์ ต่อยอดนวัตกรรมด้วยการลงทุนในสตาร์ทอัปที่มีโอกาสเติบโตสูง

อินเว้นท์ (InVent) มีนโยบายการลงทุนในสตาร์ทอัปที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงโดยเฉพาะบริษัทที่อยู่ในธุรกิจโทรคมนาคม สื่อ และเทคโนโลยีตั้งแต่ระดับซีรีส์ A ขึ้นไป มีความพร้อมทั้งโมเดลธุรกิจ และลูกค้า

ในช่วงครึ่งปีแรกได้ร่วมลงทุนในธุรกิจให้บริการด้านดิจิทัลมาร์เกตติ้งครบวงจร ภายใต้บริษัท YDM Thailand ซึ่งเป็นบริษัทดิจิทัลมาร์เกตติ้งโซลูชันครบวงจรให้บริการตั้งแต่การวางกลยุทธ์ออนไลน์ สร้างสรรค์ไอเดีย วางแผนโซเชียลมีเดีย ซื้อสื่อออนไลน์ ทำเว็บไซต์ โมบายแอปพลิเคชัน ไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูลระดับแนวหน้าของไทยซึ่งเป็นธุรกิจในเครือ Yello Digital Marketing Global (YDMG) ประเทศเกาหลีใต้ โดยใช้เงินลงทุนทั้งสิ้น 30 ล้านบาท

เส้นทางการลงทุนของอินทัชใน 6 ปีที่ผ่านมา ได้สร้างมูลค่าเพิ่มให้บริษัทที่ได้ร่วมลงทุน และทำให้มูลค่าเงินลงทุนของอินทัชภายใต้โครงการอินเว้นท์ เพิ่มขึ้นถึง 50% มาอยู่ที่ 647 ล้านบาท ซึ่งนอกจากการสร้างมูลค่าให้เติบโตขึ้นแล้ว บริษัทได้สร้างอีโคซิสเตมส์ในระบบเศรษฐกิจการลงทุน เกิดการสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ จากความคิดให้เป็นความจริงขึ้นมาได้ โดยอินทัช ไม่หยุดที่จะต่อยอดการเติบโตของธุรกิจต่างๆ ยังคงเดินหน้าลงทุนภายใต้งบประมาณที่ตั้งไว้ 200 ล้านบาทต่อปี

ไฮ ช็อปปิ้ง ยอดขายเติบโตจากการขยายช่องทางจัดจำหน่ายในหลายแพลตฟอร์ม

ในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 ไฮ ช็อปปิ้งมียอดขายเฉลี่ยต่อวันที่ 1.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันการเติบโตมาจากการขยายช่องทางการขายสินค้าในแพลตฟอร์มที่หลากหลายมากขึ้นโดยเฉพาะการเพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายทางโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมในช่อง และช่วงเวลาที่มีผู้ชมจำนวนมาก เช่น MCOT, PSI, M Channel และช่องทางออนไลน์ต่างๆ รวมทั้งเพิ่มความหลากหลายของสินค้าที่เป็นที่นิยม และเป็นสินค้าที่มีอัตรากำไรสูง เช่น สินค้าแฟชั่น สินค้าเพื่อสุขภาพและความงาม เป็นต้น

สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจของอินทัชในช่วงครึ่งปีหลัง ยังคงเน้นการร่วมสร้างมูลค่าให้กับบริษัทร่วมและบริษัทย่อย รวมถึงบริการที่ตอบโจทย์การใช้งานของผู้บริโภคในยุคดิจิทัลที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว และต่อเนื่อง นอกจากนี้ อินทัชยังคงแสวงหาการลงทุนในธุรกิจโทรคมนาคม สื่อ และเทคโนโลยี ทั้งในรูปแบบธุรกิจร่วมทุน และธุรกิจใหม่ เพื่อสร้างมูลค่าให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในระยะยาว



กำลังโหลดความคิดเห็น