xs
xsm
sm
md
lg

หัวเว่ย ขึ้นแท่นผู้นำเทคโนโลยีระบบเก็บข้อมูลออลแฟลชสตอเรจ เพิ่มประสิทธิภาพเสถียรภาพ-ลดต้นทุน TCO ไอทีองค์กร

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


หัวเว่ย รับเทรนด์ ‘ออลแฟลช สตอเรจ’ ดึง ESG Lab บริษัททดสอบผลิตภัณฑ์ชั้นนำจากสหรัฐฯ ช่วยการันตี ผลิตภัณฑ์สตอเรจรุ่นใหม่ ‘Huawei OceanStor Dorado V3’ โดยระบุว่าเป็นสตอเรจที่ให้ความคุ้มค่า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และเสถียรภาพ และลดต้นทุนการเป็นเจ้าของ (Total cost of ownership) กว่า 50% เมื่อเทียบกับสตอเรจรูปแบบเดิม

ดร. จุมพต ภูริทัตกุล (ขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยี กลุ่มธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ บริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เทรนด์ของสตอเรจที่ทั่วโลกให้ความสนใจตอนนี้คือกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากฮาร์ดดิสก์ในรูปแบบจานแม่เหล็ก เปลี่ยนมาเป็น Solid State แทน ซึ่งช่วยลดต้นทุนในการดูแลรักษา และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน รองรับปริมาณ Big dataที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“ที่ผ่านมา หัวเว่ยมีการลงทุนวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสตอเรจมากว่า 15 ปี ซึ่งเป็นพื้นฐานให้ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์สตอเรจของหัวเว่ยขึ้นมาเป็นผู้ให้บริการอันดับ 1 ในจีน และมีอัตราการเติบโตเป็นอันดับ 2 ในตลาดโลก และเมื่อมองในแง่ของการจัดส่งสินค้าสู่ท้องตลาดจะอยู่ในอันดับ 4 ของโลก”

เป้าหมายของหัวเว่ย คือ ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า จะสร้างรายได้ในกลุ่มผลิตภัณฑ์สตอเรจจากนอกประเทศจีน ให้มีสัดส่วนมากขึ้น จากปัจจุบัน รายได้จากนอกจีนอยู่ที่ราว 30% ต่อ 70%

“ในภูมิภาคเอเชียตลาดประเทศไทยถือเป็นตลาดที่มีความสำคัญมาก โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าด้านการเงินการธนาคาร ภาครัฐบาล และภาคธุรกิจ ที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ บนความปลอดภัย รองรับการประมาณผล และการส่งผ่านข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และต้นทุนในการดูแลรักษาที่ต่ำกว่าเทคโนโลยีที่ใช้งานในปัจจุบัน”

สำหรับกลยุทธ์ในการผลักดันตลาดในไทย หัวเว่ย มุ่งเน้นการขยายฐานลูกค้าในกลุ่มสถาบันการเงิน, สาธารณูปโภค, ภาครัฐ, ภาคคมนาคมขนส่ง, ผู้ให้บริการดิจิทัล, ภาคการศึกษา และองค์กรขนาดใหญ่ เพื่อช่วยยกระดับประสิทธิภาพ ผลลัพธ์ในการดำเนินงาน ตลอดจนช่วยกระตุ้นการปรับธุรกิจรองรับการเข้าสู่ยุคดิจิทัล (Digital Transformation) และสนับสนุนนโยบายไทยแลนด์ 4.0

ผู้บริหารหัวเว่ย ระบุต่อว่า จากการพัฒนาผลิตภัณฑ์สตอเรจของหัวเว่ยอย่างต่อเนื่อง ช่วยยืนยันว่า หัวเว่ยได้รับการยอมรับจากองค์กรธุรกิจทั่วโลก โดยล่าสุด หัวเว่ยยังกลายเป็นผู้นำในการผลิตระบบออลสตอเรจที่มีประสิทธิภาพมากที่สูงสุดในโลก บนพื้นฐานของการออกแบบทั้งระบบตั้งแต่สตอเรจชิป, แฟรตสตอเรจ, อัลกอริทึม และระบบป้องกันความผิดพลาด และยังสามารถลดต้นทุนการเป็นเจ้าของ (Total cost of ownership) ซึ่งรวมถึงการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาได้ไม่ต่ำกว่า 50% โดยยืนยันได้จากผลการทดสอบของ ESG Lab ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยและทดสอบผลิตภัณฑ์ไอทีชั้นนำระดับโลกของสหรัฐฯ

โทนี่ พัลเมอร์ (ซ้าย) วิศวกรอาวุโส จาก ESG Lab เปิดเผยว่า เทคโนโลยีออลแฟลช สตอเรจกำลังเป็นแนวโน้มสำหรับระบบการจัดเก็บข้อมูลขององค์กร ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของปริมาณข้อมูล อีกทั้งต้นทุนค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บที่สูงขึ้นกลายเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี

“ขณะที่เทคโนโลยีสตอเรจแบบ Solid-State เริ่มได้รับความสนใจพิจารณาเลือกใช้งานในองค์กรมากขึ้นจาก 4 ปัจจัยสำคัญด้านประสิทธิภาพ, ความเสถียรในการทำงาน, ค่าใช้จ่ายต่อการจัดเก็บ รวมถึงความคุ้มค่าในการลงทุน (TCO)”

จากการทดสอบพบว่า Huawei OceanStor Dorado V3 ให้ TCO ต่ำกว่าระบบสตอเรจแบบไฮบริดถึง 73% ทั้งยังมีต้นทุนในการบำรุงรักษาต่ำ และยังมีผลต่อค่าใช้จ่ายของแผนกไอทีที่จะลดลงอีกจากความเสถียรของเทคโนโลยี SSD ที่ใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนาน และประสิทธิภาพการทำงานที่เพิ่มกว่าระบบทั่วไปถึง 10 เท่า

อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่เทคโนโลยีสตอเรจแบบรูปแบบใหม่ที่ใช้งานเฉพาะ Solid State นั้น ยังเป็นเทคโนโลยีที่มีระดับราคาค่อนข้างสูงกว่าระบบเดิม ดังนั้น ในช่วงแรกองค์กรธุรกิจที่สนใจลงทุนจะต้องเป็นองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ ที่เล็งเห็นในแง่การลงทุนที่คุ่มค่าในระยะยาวในแง่ความปลอดภัยของข้อมูล การลดต้นทุนค่าใช้จ่าย และช่วยยกระดับในการเข้าถึงข้อมูลให้เร็วขึ้น

นอกเหนือจากในอุตสาหกรรมการเงิน และการธนาคาร ที่จะเป็นกลุ่มหลักที่ลงทุนในสตอเรจรูปแบบใหม่แล้ว ก็จะมีในส่วนของผู้ให้บริการโอเปอเรเตอร์, องค์กรธุรกิจขนาดใหญ่, ภาครัฐ และกลุ่มสื่อที่ต้องการผลักดันคอนเทนต์ในรูปแบบ 4K ที่ต้องการความเร็วในการส่งต่อข้อมูล




กำลังโหลดความคิดเห็น