xs
xsm
sm
md
lg

ป.เปิดยุทธการกวาดลานวัด ตามจับคนร้ายหนีคดีไปบวชตามวัดต่างๆ ได้ 18 ราย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


MGR online - กองปราบปราม เปิดยุทธการกวาดลานวัด บูรณาการตำรวจ บช.ก.ติดตามคนร้ายหนีคดีไปบวชตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ เบื้องต้นรวบได้แล้ว 18 ราย มีทั้งพยายามฆ่า ลักทรัพย์ อนาจาร และอื่นๆ



วันนี้ (13 ก.พ.) ที่ กองปราบปราม เมื่อเวลา 16.00 น. พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผบก.ป. พร้อมด้วย พ.ต.อ.อรุณ วชิรศรีสุกัญยา ผกก.2 บก.ป. พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น ผกก.3 บก.ป. พ.ต.อ.วิจักขณ์ ตารมย์ รรท.ผกก.สนับสนุน บก.ป. และเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ บก.ป. ร่วมกันแถลงผลการจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับที่แอบไปบวชเป็นพระภิกษุตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ ตามแผน “ ยุทธการกวาดลานวัด ” โดยสามารถจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมดได้จำนวน 18 ราย แยกเป็นประเภทความผิด 4 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มที่ 1 คดีความผิดเกี่ยวกับชีวิต ร่างกาย และเพศ จำนวน 4 ราย กลุ่มที่ 2 คดีเกี่ยวกับทรัพย์ จำนวน 9 ราย กลุ่มที่ 3 คดีความผิดพิเศษ จำนวน 1 ราย กลุ่มที่ 4 คดีความผิดที่รัฐเป็นผู้เสียหาย จำนวน 4 ราย

สำหรับผู้ต้องหาที่ทางกองปราบจับกุมได้นั้นมีคดีที่น่าสนใจจำนวน 3 คดี โดยคดีแรก เจ้าหน้าที่ได้จับกุม นายมนัส ชะบา หรือ พระมนัส สุจิตโต อายุ 44 ปี ตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ จ. 446/2561 ลงวันที่ 13 กรกฎาคม 2561 ข้อหา “กระทำอนาจารแก่เด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม โดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยเด็กนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้”

ทั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อปี 2561 นายมนัส ซึ่งขณะนั้นบวชเป็นพระลูกวัดอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งในพื้นที่ กทม. ได้ก่อเหตุกระทำอนาจารเด็กหญิงวัย 10 ขวบ ซึ่งอาศัยอยู่กับยายในเพิงพักของคนงานก่อสร้างใกล้กับวัด โดยก่อนเกิดเหตุพระมนัส เห็นว่า ที่บ้านพักของผู้เสียหายนั้นเปิดเป็นร้านขายของชำ จึงทำทีสั่งของจากร้านแล้วให้ผู้เสียหายนำมาส่งมอบให้ที่กุฏิภายในวัด เมื่อผู้เสียหายมาถึงพระมนัส ก็ได้ใช้กำลังปลุกปล้ำ กอดจูบลูบคลำ ผู้เสียหายพยายามขัดขืนก่อนจะดิ้นหลุดวิ่งหนีเอาตัวรอดออกมาจากกุฏิได้ ก่อนนำเรื่องไปบอกให้กับทางผู้ปกครองทราบ จึงเข้าแจ้งความจนมีการออกหมายจับดังกล่าว ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้สืบทราบว่าภายหลังก่อเหตุพระมนัส พระมนัส ได้ไหวตัวทัน ก่อนจะหลบหนีไปจำวัดอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมา จึงนำกำลังเข้าทำการจับกุมตัวได้ดังกล่าว

สำหรับคดีน่าสนใจลำดับที่ 2 เจ้าหน้าที่จับกุม นายบุญชู จำปาศรี หรือพระบุญชู อายุ 48 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดระยองที่ จ.29/2557 ลงวันที่ 21 มกราคม 2557 ข้อหา “ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น”

ทั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2547 เวลา 15.30 น. นายบุญชู ได้ร่วมกับเพื่อนหญิงอีกจำนวน 1 คน ซึ่งถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้ ได้ก่อเหตุใช้ขวดปากฉลามแทงคู่อริรายหนึ่งจนได้รับบาดเจ็บสาหัสที่บริเวณท้อง ก่อนจะแยกย้ายกันหลบหนี ก่อนที่ต่อมาเจ้าหน้าที่จะสามารถติดตามจับกุมหญิงสาวที่ร่วมกันก่อเหตุได้แล้วคงเหลือนายบุญชู ผู้ต้องหารายนี้เพียงคนเดียว เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้กระจายกำลังลงพื้นที่สืบหาเบาะแส กระทั่งทราบว่าภายหลังก่อเหตุนายบุญชูได้หลบหนีมาบวชเป็นพระอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดกาฬสินธุ์ จึงนำกำลังเข้าทำการจับกุมตัวได้ดังกล่าว

นอกจากนี้จากการตรวจสอบประวัติของนายบุญชู ยังพบว่ามีหมายจับในคดีฆ่าผู้อื่น ติดตัวอีก 1 คดี ซึ่งได้หลบหนีคดีดังกล่าวมานานกว่า 15 ปี กระทั่งมาก่อเหตุล่าสุดจนนำมาซึ่งการถูกจับกุมตัวดังกล่าว

ส่วนคดีที่ 3 เจ้าหน้าที่ได้จับกุม นายก้องชัชพงษ์ สุวรรณพรรค หรือ พระก้องชัชพงษ์ อายุ 35 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดเชียงคำที่ 388/2556 ลงวันที่ 11 ตุลาคม 2556 ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน” และหมายจับศาลอาญาที่ 636/2558 ลงวันที่ 30 มีนาคม 2558 ข้อหา “ร่วมกันโฆษณาข้อความที่เป็นเท็จหรือเกินความจริง และร่วมกันฉ้อโกงประชาชน”

ทั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อประมาณปี 2556 ขณะที่นายก้องชัชพงษ์ ยังไม่ได้บวชเป็นพระนั้น ได้มีพฤติการณ์โฆษณาหลอกขายแพคเกจทัวร์ท่องเที่ยวเกาหลีและประเทศต่างๆ จนมีผู้เสียหายหลงเชื่อซื้อทัวร์กับนายก้องชัชพงษ์ เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อถึงกำหนดผู้เสียหายกลับไม่สามารถเดินทางได้ตามที่ตกลงกันไว้ เมื่อถูกทวงถามก็จะพยายามบ่ายเบี่ยงก่อนจะขาดหายการติดต่อไปในที่สุด ผู้เสียหายจึงได้รวมตัวกันเข้าแจ้งความจนมีการออกหมายจับ ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้สืบทราบว่าภายหลังก่อเหตุนายก้องชัชพงษ์ ได้หลบหนีคดีมาบวชเป็นพระอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดสงขลา จึงนำกำลังเข้าทำการจับกุมตัวได้ดังกล่าว

พล.ต.ต.จิรภพ กล่าวว่า สำหรับ“ ยุทธการกวาดลานวัด ” เป็นไปตามนโยบายของ พล.ต.ท.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผบช.ก. ที่ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามบูรณการกำลังหน่วยงานต่างๆ ในสังกัด บช.ก. ตรวจสอบข้อมูลบุคคลที่มีหมายจับทั่วประเทศ ที่ได้หลบหนีคดีด้วยการไปบวชเป็นภิกษุสงฆ์ตามวัดหลายแห่งทั่วประเทศเนื่องจากบุคคลเหล่านี้ถือเป็นบุคคลที่ทำให้พระพุทธศาสนามัวหมอง อย่างไรก็ตามจากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งหมดพบว่าส่วนใหญ่ให้การรับสารภาพและยอมรับว่ามีจุดประสงค์ที่จะบวชพระเพื่อหนีคดีทั้งสิ้น

พล.ต.ต.จิรภพ กล่าวต่อว่า จากนี้ไปจะมีการขยายผล ตรวจหาหมายจับค้างเก่าของคนร้ายบางส่วนเพิ่มเติมว่ามีหรือไม่ พร้อมส่งตัวกลับไปดำเนินคดีในโรงพักท้องที่เจ้าของคดี อย่างไรก็ตามอยากขอฝากไปยังพระอุปัชฌาย์ ให้ช่วยกันตรวจสอบประวัติของผู้ที่จะเข้ารับการบวชว่ามีเคยต้องประวัติคดีทางอาญาใดหรือไม่ หากพบข้อมูลสามารถแจ้งเบาะแสให้กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทันที










กำลังโหลดความคิดเห็น