MGR online - สนช. รับหลักการแก้ กม. ยกเลิกเรียกเก็บใบขับขี่ รองรับ “ใบขับขี่ดิจิทัล” ตร. แนะระหว่างนี้ผู้ขับขี่พกพาใบอนุญาตขับขี่ทั้งสองแบบไปก่อน จนกว่าการแก้กฎหมายจะแล้วเสร็จ
วันนี้ (17 ม.ค.) พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองผู้บัญชาการศึกษา ในฐานะคณะทำงานแก้ไขปัญหาจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยความคืบหน้าการแก้ไข พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 เพื่อรองรับการใช้ใบอนุญาตขับขี่ดิจิทัล ว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี ได้เสนอร่างแก้ไข พ.ร.บ. จราจรทางบก ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แล้ว ซึ่งสาระสำคัญในการแก้ไขกฎหมายดังกล่าว คือ 1. กำหนดให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ กรมการขนส่งทางบก ประสานจัดทำข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ บันทึกประวัติของผู้ขับขี่และการทำผิดกฎหมาย รวมทั้งข้อมูลทะเบียนรถ เพื่อให้มีประสิทธิภาพ 2. ปรับแก้ไขระบบบันทึกความประพฤติให้สอดรับเทคโนโลยีให้เสมอภาค มีประสิทธิภาพ 3. ยกเลิกอำนาจพนักงานจราจรเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ เป็นให้อำนาจพนักงานจราจร ตรวจบัตรอนุญาตแทนเพื่อแก้ปัญหาที่ต้องใช้ใบขับขี่คู่กับการขับรถ และสอดรับใบขับขี่อิเล็กทรอนิกส์ และ 4. ชำระค่าปรับได้ทั้งทางไปรษณีย์ ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ธนาคาร และสถานีตำรวจทั่วประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชน
ทั้งนี้ ภายหลัง สนช. รับหลักการแก้ไขกฎหมายดังกล่าว ขั้นตอนต่อไป คือ ส่งเรื่องคณะกรรมาธิการวิสามัญ 22 คน พิจารณายกร่างภายใน 45 วัน และ แปรญัติ อีก 7 วัน ก่อนมีผลบังคับใช้ คาดว่านับจากนี้ไปอีก 6 เดือน
“ระหว่างนี้ขอความร่วมมือผู้ขับขี่พกพาใบอนุญาตขับขี่ทั้งสองแบบไปก่อน จนกว่าการแก้กฎหมายจะแล้วเสร็จ เนื่องจากหากมีการกระทำความผิด ตำรวจมีอำนาจเรียกเก็บใบขับขี่ และออกใบสั่งให้ผู้กระทำความผิดชำระค่าปรับตามกฎหมาย และหากผู้ขับขี่ไม่สามารถนำใบขับขี่มาแสดงได้ ก็จะมีความผิดเพิ่มในข้อหาไม่พกพาใบอนุญาตขับขี่” พล.ต.ต.เอกรักษ์ กล่าว
พล.ต.ต.เอกรักษ์ กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เห็นด้วยกับแนวทางการใช้ใบขับขี่ดิจิทัล เนื่องจากช่วยอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชน แต่ติดขัดข้อกฎหมาย พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 140 ที่ให้อำนาจตำรวจจราจรมีอำนาจเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ได้ไม่เกิน 7 วัน หากผู้ขับขี่กระทำผิดกฎหมาย และออกใบสั่งให้แก่ผู้ที่กระทำผิดให้ชำระค่าปรับตามกฎหมาย ซึ่งหากใช้ใบขับขี่แบบดิจิทัลทันที จะมีผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจจราจร ซึ่งควรจะต้องรอให้มีการแก้กฎหมายเสร็จก่อน อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ยังไม่พบปัญหาในทางปฏิบัติ เนื่องจากผู้ขับขี่เข้าใจเป็นอย่างดีว่ายังต้องพกพาใบขับขี่แบบเดิมอยู่