xs
xsm
sm
md
lg

“ราคา” ของการ “ดึงเวลา”

เผยแพร่:   โดย: พระบาท นามเมือง

<b>พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี</b>
นับเป็นการ “เสียฟอร์ม” ครั้งใหญ่ ของนายกรัฐมนตรี ผู้ขึ้นชื่อว่าสอบได้เป็นที่หนึ่งของรุ่นจากโรงเรียนเตรียมทหาร

เมื่อท่าน “เล่นใหญ่” หมายจะโหนกระแส “ออเจ้า” จากละครบุพเพสันนิวาส ที่กำลังเป็นกระแสแรงทั่วบ้านทั่วเมืองในขณะนี้ ด้วยการมอบหมายให้คณะรัฐมนตรีไปท่องหนังสือ “จินดามณี” ซึ่งเป็นแบบเรียนฉบับแรกของไทย โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับอักขระและบทร้อยกรองต่างๆ ในภาษาไทย ประพันธ์ขึ้นโดยพระโหราธิบดี ในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งเป็นช่วงเวลาในละครเรื่องดัง

แต่เมื่อผู้สื่อข่าวถามท่านว่า ท่านเองเล่าท่องจินดามณีได้หรือไม่

ท่านก็ท่องบทกลอนออกมาหน้าตาเฉย ว่า “ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย”

ซึ่งมาจาก “นิราศภูเขาทอง” ของสุนทรภู่ ซึ่งประพันธ์ขึ้นหลังจาก “จินดามณี” ร่วม 150 ปี

อันที่จริงจะอ่านให้เป็นข่าวขำข่าวฮาไม่เป็นสาระก็พอได้อยู่หรอก แต่มันสะท้อนให้เห็นถึง “ตัวตน” และ “วิธีทำงาน” ของท่านที่น่าเคลือบแคลง ว่าท่านสามารถ “สั่ง” ให้ ครม.ไปทำนั่นทำนี่ ทั้งๆ ที่ท่านเองก็ไม่รู้ไม่เข้าใจในเรื่องที่สั่งอย่างถ่องแท้งั้นหรือ?

ทั้งยังไม่ต้องถามประโยชน์ของการที่ไม่ชี้นิ้วสั่งให้รัฐมนตรีน้อยใหญ่ไปท่องตำราเรียนรุ่นโบราณ ว่ามันมีประโยชน์โภชผลอะไรกับการบริหารราชการแผ่นดิน

นับว่าเป็นเรื่อง “เสียรังวัด” อีกเรื่อง นับตั้งแต่รัฐบาลลุงตู่เข้าสู่ช่วง “ดวงตก” ตั้งแต่เรื่อง “นาฬิกายืมเพื่อน” ของพี่ใหญ่ เรียกว่าหยิบจับอะไรก็ไม่ขึ้น ขนาดจะโหนกระแสออเจ้า ยังกลายเป็นตัวตลกให้ฝ่ายตรงข้ามเอามาล้อเลียนยิ้มหัวกันเลย

ไม่ต้องพูดกันถึง “แผล” น้อยใหญ่ของรัฐบาลซึ่งปรากฏขึ้นเรื่อยๆ

อย่างท่าทางขึงขังเรื่อง จะเอาจริงเอาจังกับการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งเป็นเหมือนจุดแข็งเพียงอย่างเดียวของรัฐบาลนี้ เนื่องจากผลงานในการบริหารประเทศนั้นไม่มีอะไรเด่นชัดให้เอามาโชว์เสียเลย

ก็กลับปรากฏว่ามีเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันทุกหย่อมหญ้าจากข้าราชการหลายกระทรวง ทบวง กรม ปูดออกมาแทบไม่หวาดไม่ไหว

จริงอยู่ว่า แม้ว่าจะเป็นเรื่องของ “ข้าราชการประจำ” และหลายเรื่องนั้นก็เริ่มต้นทุจริตมาตั้งแต่รัฐบาลก่อนๆ มาแล้ว

แต่ในฐานะที่ท่านกุมบังเหียนเป็นรัฐบาลมาร่วม 4 ปี และประกาศให้การปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันเป็น “วาระแห่งชาติ” แต่กลับบ้อท่า เวลาที่ผ่านไปจับไม่ได้แม้แต่ปลาซิวปลาสร้อย

ต้องให้เด็กผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งยังเรียนไม่จบปริญญาตรีด้วยซ้ำ ออกมาเปิดโปงจนเห็นแผลเน่าในไปแทบทั้งกระทรวง

มือไม้ อำนาจของรัฐบาลหายไปไหนหมด? ข้ออ้างที่ว่าเป็นปัญหามาจากรัฐบาลก่อนๆ จะยังอ้างไปได้อีกนานแค่ไหน ในฐานะที่ท่านเป็นรัฐบาลอยู่มาตั้ง 4 ปี เผลอๆ ยาวกว่าอายุรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเป็นส่วนใหญ่อีก ทำไมถึงตรวจอะไรไม่พบแบบนั้น

และนี่เป็นคำถามถึงองค์กรอิสระที่ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบ ทั้ง สตง. และ ป.ป.ช. ด้วย ว่าทำไมที่ผ่านมาตรวจไม่เจอ

รวมถึงเรายังไม่ต้องพูดถึงเรื่อง “นาฬิกายืมเพื่อน” ที่ตอนนี้กระแสซาลงไปแล้ว ก็เหมือนทำให้บางคนเบาใจว่า ต่อจากนี้ก็อาจจะปัดเรื่องปัดคดีให้พ้นไปได้แบบเนียนๆ

คดีมหาเศรษฐียักษ์ใหญ่แห่งวงการก่อสร้าง ผู้มีอิทธิพลต่อรัฐบาล ยิงเสือดำในเขตป่าคุ้มครอง ที่เหมือนจะขึงขังจริงจังส่งนายตำรวจใหญ่ไปดูคดี นายตำรวจใหญ่คนนั้นก็ดันไปรับไหว้เขาเสียหัวแทบจรดพื้นเสียนี่

พอผลทางคดีออกมาว่า ไม่พบรอยนิ้วมือไกปืนที่ใช้ล่าสัตว์ ส่อว่ามหาเศรษฐีคนดังจะ “หลุดคดี” แล้ว ก็จะไม่ให้ประชาชนคิดมากได้อย่างไร

เสียงเรียกร้องให้มีการเลือกตั้ง จากที่เคยเป็นเสียงของคนกลุ่มเล็กๆ ก็กลับดังขึ้นเรื่อยๆ จากกลุ่มคนที่เริ่มรู้สึกว่า “ใครมาก็โกง” แต่ขอให้คนโกงนั้นประชาชนเลือกมา โกงก็ด่าได้ และยังพอดำเนินการตามกฎหมายหรือทางการเมืองได้บ้าง

ไม่ใช่ทั้ง “โกง” ทั้ง “อำนาจเบ็ดเสร็จ” ใครเอะอะให้ตรวจสอบ หรือตั้งคำถามกับพวกตัวมาก ก็ใช้ “อำนาจเบ็ดเสร็จ” จัดการ เหมือนที่อดีต กกต. สมชัย ศรีสุทธิยากร โดนไปรายล่าสุดนั่นไง

เรียกได้ว่า ยิ่งอยู่นาน นอกจาก “คะแนน” จะไม่ดีขึ้นแล้ว ยังมีเรื่องเสียรังวัด หรือเรื่องให้ผู้คนคลางแคลงไม่มั่นใจเพิ่มขึ้นไปอีก

ในขณะที่เสียงเรียกร้องอยากเลือกตั้งเริ่มมีน้ำหนักขึ้น แต่โรดแมปการเลือกตั้งกลับเหมือนมีใครสักคนอยากให้เลื่อนออกไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีหยุด ล่าสุดก็มีการส่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ทั้งๆ ที่คนร่าง ก็เป็นคณะเดียวกับที่ร่างรัฐธรรมนูญมานั่นแหละ!

แล้วจะไม่ให้ชาวบ้านเขาสงสัยได้อย่างไร ว่าเรื่องนี้เจตนาจงใจ รอใครบางคน หรือพรรคการเมืองบางกลุ่ม “พร้อม” ก่อนหรือเปล่า

แต่ก็นั่นแหละ มันก็จะเป็นดาบสองคมเหมือนกันว่า ยิ่งทิ้งเวลาเนิ่นนานไป สนิมย่อมเกิดเนื้อในตน ตัว “ท่านนายกฯ” เองจะทำเรื่องเสียรังวัดหรือสะดุดขาตัวเองอะไรอีกหรือไม่

และการที่เหมือนจะเป็นการเอาเปรียบกลุ่มการเมืองอาชีพขั้วอำนาจเก่า จนเขาจะเห็นเป็นศัตรูร่วมที่ต้องกลั้นใจกันจับมือเพื่อจัดการให้หมดพิษสงต่อแล้วค่อยกลับมาตีกันใหม่หรือไม่

กับ “กลุ่มการเมืองใหม่” ที่เปิดตัวออกมาอย่างหวือหวา น่าคิดว่า คนรุ่นที่ยังไม่เคยเลือกตั้งมาก่อน กลุ่มคนที่รังเกียจนักการเมืองหน้าเก่า พอๆ กับฝ่ายที่กุมอำนาจอยู่ในปัจจุบันนี้ พวกเขาจะตัดสินใจอย่างไร

อย่างนี้ การ “ดึงเวลา” ไปเรื่อยๆ ก็อาจจะยิ่ง “ลดราคา” ตัวเองลงไป จาก “อัศวินม้าขาว” กลายเป็น “ตัวตลกม้านั่ง” ไปเสียฉิบ.


กำลังโหลดความคิดเห็น