xs
xsm
sm
md
lg

ยุคสมัยแห่งความดราม่า : นาทีนี้เป็นเรื่องยากที่สรยุทธจะทิ้งจอ

เผยแพร่:   โดย: โลกนี้มีคนอื่น


เมื่อเช้าวันหลังศาลอ่านคำพิพากษาคดีสรยุทธ ผมเชื่อว่าเรตติ้งของช่องสามในวันนั้นพรุ่งปรี้ดอย่างแน่นอน มีทั้งกองเชียร์สองฝั่งนั่งลุ้น ว่าสรยุทธจะมาอ่านข่าวเช้าเหมือนเดิมไหม แล้วในที่สุด เฮียก็มา มาตามความคาดหมายของผมและใครอีกหลายคน

ผมบอกกับเพื่อนฝูงหลายคนว่า นาทีนี้ไม่มีทางหรอกครับที่คุณสรยุทธกับสถานีจะยอมถอยจากจอ เพราะในยุคที่ช่องสามกำลังตีคู่กับช่องเจ็ด เบียดเพื่อแย่งความเป็นสถานีที่มีคนดูอันดับหนึ่ง ถ้าหากเปรียบเหมือนสงคราม สรยุทธก็เหมือนเครื่องบินรบ เหมือนรถถัง เหมือนจรวดนำวิถี ถ้าสรยุทธเลิกอ่านข่าวก็เหมือนสถานีโดนปลดอาวุธหนัก

งานนี้อ่านไม่ยาก คือแม้จะเห็นๆ อยู่ว่าอะไรเป็นยังไง และศาลพิพากษาว่าอย่างไร รายละเอียดอ่านแล้วพอเข้าใจได้อยู่ แต่ทั้งนี้ต้องคำนึงว่า ถ้ามีช่องทางให้ไปต่อ ทั้งสรยุทธกับสถานีก็ไม่มีเหตุผลที่จะยอมถอย เนื่องจากตัวละครมันเกี่ยวข้องกับโครงสร้างธุรกิจที่มีเม็ดเงินหมุนเวียนอยู่มหาศาล และหากจะใส่ใจในมุมกระแสสังคม มันก็ไม่แน่ว่าฝั่งไหนจะมากกว่ากัน ถึงแม้คนที่ออกมามองว่าทางจริยธรรมมันไม่ถูกต้องที่จะอ่านข่าวต่อก็มีจำนวนพอสมควร แต่ก็ต้องยอมรับว่าฝั่งแฟนคลับสรยุทธก็จัดเป็นจำนวนมหึมา งานนี้ทั้งสรยุทธและสถานีจึงไม่น่าจะต้องคิดมากเลย ยังไงก็ไปต่อ

หากจะย้อนกลับไปดูหลายปีก่อนหน้านี้ ลองพิจารณาหลายๆ องค์ประกอบและแง่มุม ลองประเมินดูแบบชาวบ้านธรรมดานี่แหละ ลองหาคำตอบว่า ระยะเวลาที่ผ่านมา ช่องสามสามารถวิ่งตีคู่ช่องเจ็ดได้เพราะเหตุไร คำตอบน่าจะเกี่ยวข้องกับสองส่วนหลักๆ ที่สอดประสานกันได้อย่างลงตัว ข่าว+ละคร

ในที่นี้จะคุยกันเฉพาะในส่วนของข่าว คำตอบไม่ใช่แค่ว่าเพราะช่องสามภายใต้สรยุทธเป็นหัวหอกเอาข่าวมาให้ชาวบ้านเข้าถึงง่ายแต่เพียงอย่างเดียว แต่มันมีรายละเอียดมากกว่านั้น แต่สรยุทธคือผู้บุกเบิกที่ทำรายการข่าวเป็นรายการเอนเตอร์เทนคนดู ทำข่าวให้ดูสนุกเหมือนดูละคร มีทั้งดารา มีทั้งตลก มีทั้งคอนเสิร์ตมีวงดนตรีให้ดูสดๆ เวลาดาราฝรั่งมาไทยก็มาหาสรยุทธ นักร้องเกาหลีมาก็มารายการสรยุทธ ทีมฟุตบอลดังๆ จากนู่นนี่มาก็มาออกรายการสรยุทธ ...มีนั่นนู่นนี่มาใส่ไว้ในโครงสร้างของรายการ เท่านั้นไม่พอ รายการของสรยุทธยังเป็นครูใหญ่ให้ชาวบ้านมาฟ้องเวลามีใครทำผิด ถ้าเรื่องถึงสรยุทธเดี๋ยวเดียวปัญหามันได้รับการตอบสนองอย่างฉับพลันและเบ็ดเสร็จเหมือนเด็กนักเรียนมาฟ้องครูใหญ่ รายการสรยุทธยังเป็นมูลนิธิช่วยคนจน คนป่วย ช่วยน้ำท่วม และอื่นๆ อีกมากมาย

ทั้งหมดนี้อาจพูดด้วยภาษาง่ายๆ ว่าเอาข่าวที่เคยมีแต่สาระน่าเบื่อมาใส่ความดราม่าเข้าไป โดยที่สถานีมีสรยุทธเป็นหัวหอกสำคัญของโครงสร้างและยุทธศาสตร์ดังกล่าว

ภายใต้ยุคสมัยแห่งความดราม่า

ย้อนกลับไปในภาพรวมของสังคม ในรอบสิบปีที่ผ่านมา ในความเห็นส่วนตัวของผม มีวิวัฒนาการของสามอย่างที่เกิดขึ้นแล้วก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่มหาศาลขึ้นในวัฒนธรรมการใช้ชีวิตของคนในสังคม

สิ่งแรกมันเกิดขึ้นจากการยกระดับจากโทรศัพท์มือถือขึ้นเป็นสมาร์ทโฟน ตามมาด้วย โซเชียลมีเดีย+อินเทอร์เน็ตที่เร็วและถูกขึ้น สุดท้ายก็คือ การเกิดของสื่อสายดราม่า ไม่ว่าจะเป็นสื่อเดี่ยวที่มาพร้อมกับการเกิดของโซเชียบเน็ตเวิร์ค จึงทำให้เกิดสนามแข่งขันของการทำสื่อแบบผสานดราม่าเพื่อให้คนดูข่าวอย่างสนุกสนานขึ้น โดยที่สื่อหลักต่างๆ ก็หันมาเล่นตามกระแสเพื่อการต่อสู้ในสนามแข่งขันดราม่านี้

การที่โซเชียลเน็ตเวิร์คเติบโตอย่างรวดเร็วและรุนแรงนั้น มีคนเคยวิเคราะห์กับผมว่า สัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์นั้น ส่วนหนึ่งคือการมีนิสัยชอบโอ้อวด ซึ่งตรงนี้ผมว่าทั้งมีส่วนถูกและไม่ถูก เพราะถ้าจะใช้คำว่าโอ้อวดนั้นมันอาจจะเป็นการตีความหมายในทางแคบเกินไป หากจะให้กว้าง ครอบคลุม และอาจจะรวมถึงเป็นธรรมสำหรับมนุษยชาติมากขึ้น รวมถึงอาจจะเป็นการมองในเชิงวิชาการมากขึ้นอีกหน่อย เราก็อาจจะมองว่า “มนุษย์เรานั้นชอบแลกเปลี่ยนมุมมองของชีวิตตนเองกับผู้คนอื่นในสังคม” ทั้งนี้ก็เพื่อตัวเองจะได้นำมาปรับใช้ให้สอดรับกับกระแสสังคมนั่นเอง

ซึ่งแน่นอนว่า ส่วนใหญ่มักจะชอบบอกเล่าชีวิตหรือแง่มุมที่ดีของตัวเอง ซึ่งตรงนี้แหละที่ถูกมองว่าเป็นการโอ้อวด แต่ในบางขณะ หรือในบางคนก็อาจจะมีการนำเสนอในแง่มุมอื่นๆ ให้เห็นบ้าง เช่น บอกเล่าเรื่องความเหนื่อยยาก เรื่องเศร้า เรื่องโกรธ เรื่องหงุดหงิด เรื่องนั่นนู่นนี่ไปเรื่อย ในมุมมองทางจิตวิทยาอาจจะมองได้ว่า เป็นการแบ่งเบาภาระที่อัดอั้นอยู่ออกไปจากอก ให้คนอื่นร่วมรับรู้ ทั้งนี้ก็จะมีผลให้ตัวเองผ่อนคลายลงได้

สมัยก่อนคนเราอาจจะไปคุยเรื่องดีๆ ของเราอวดเพื่อนๆ ที่โรงเรียน หรือถ้าเราเกิดอกหักขึ้นมาเราก็อาจจะนัดกลุ่มเพื่อนไปตั้งวงดริ๊งแล้วก็รำพึงรำพันความทุกข์โศก ไปจนถึงเรื่องประมาณแบบที่ ถ้าหากคุณมีโอกาสได้บังเอิญไปนั่งอยู่ช่วงเวลาหลังเลิกเรียนท่ามกลางชุมนุมผู้ปกครองในโรงเรียนต่างๆ คุณจะฟังเรื่องราวดีงามของลูกหลานของผู้ปกครองเหล่านั้น ทั้งหมดทั้งปวงนี้ ไม่ต่างกันเลยกับสมัยนี้ที่คนนิยมโพสต์กันบนโซเชียลมีเดียบอกเพื่อนฝูงญาติสนิทมิตรสหาย

เรื่องเช่นนี้มีมาทุกยุคทุกสมัย

โซเชียลมีเดียกลายเป็นชุมชนที่สำคัญไม่แพ้กลุ่มทางสังคมอื่นๆ และทวีความสำคัญมากขึ้นในทุกวัน ทั้งนี้ก็เพราะโซเชียลมีเดียนั้นครบรส เข้าถึงบรรยากาศ และทันใจ

ยกตัวอย่างเช่น หนูมาลีสามารถบอกเล่าเรื่องที่หนูมาลีไปเจอหนูชบาเพื่อนสาวที่ไม่ถูกกันในงานปาร์ตี้แห่งหนึ่งด้วยการอัพรูปของหนูชบาลงโซเชียลฯ จากนั้นยังสามารถอัพคลิปถ่ายหนูชบาไปนัวเนียกับเพื่อนชายได้อีกต่างหาก และถ้าหนูชบาจับได้ว่าหนูมาลีอัพลูกตัวเองขึ้นเฟซ หนูชบาก็อาจจะเดินมาตบหนูมาลีแล้วถ่ายคลิปหนูมาลีโดนตบหน้าหันโพสต์ขึ้นโซเชียลฯได้เช่นกัน

หรืออีกตัวอย่างก็เช่น ถ้าหากชายหนุ่มทั้งหลายไปดินเนอร์กับกิ๊ก แล้วมีเพื่อนของเมียเราไปเห็นเข้าโดยบังเอิญ สมัยก่อนเพื่อนของเมียเราก็จะแค่โทรไปบอกเมียเรา และพอเรากลับถึงบ้านเมียเราก็จะหน้าบึ้งเข้ามาหาและคาดคั้นเอากับเรา เรื่องนี้แค่เพียงชายหนุ่มทั้งหลายทำหน้าซื่อยืนกระต่ายขาเดียวพูดซ้ำๆ ว่า “ไม่จริง ไม่จริง ไม่จริง” ตั้งมั่นอยู่แค่นั้นยังไงก็ไม่ถึงขั้นบาดเจ็บรุนแรง แต่ขณะที่สมัยนี้ เพื่อนสาวของเมียสามารถถ่ายคลิปและส่งโลเคชั่นไปให้เมียเราได้ แม้ว่าเมียเราจะขับรถไม่เป็น และไม่รู้ว่าร้านที่เราอุตส่าห์คัดมาอย่างดีว่าลึกลับและอยู่ในซอยที่คนไม่ค่อยรู้จัก แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เพียงแค่เมียเราใช้แอปเรียกอูเบอร์นำทางมาหาเราก็สามารถทำได้ง่ายนิดเดียว อันนี้ไม่เกี่ยวกับโซเชียลฯ แต่ยกตัวอย่างถึงวัฒนธรรมบางอย่างของคนในสังคมเปลี่ยนไปในยุคอุปกรณ์ไฮเทคทั้งหลายฉลาดขึ้น ใช้งานได้หลากหลายขึ้น และมันยังเชื่อมต่อโลกได้อย่างสะดวกและรวดเร็วด้วย
เรื่องต่างๆ ทั้งหลายในยุคสมัยนี้มันกลายเป็นเรื่องดราม่ามากขึ้นมากมายกว่าที่ผ่านมาส่วนหนึ่งก็เพราะโซเชียลมีเดียบวกกับวิวัฒนาการของเทคโนโลยีสมัยใหม่สำหรับการสื่อสารนี่เอง

นอกจากนี้เทคโนโลยีของเครื่องมือเครื่องไม้ในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับคนอื่นนั้น มันก็มีวิวัฒนาการไปในทางที่ฉลาดขึ้น เร็วขึ้น แต่ขณะเดียวกันสิ่งต่างๆ เหล่านี้กลับหาง่ายและราคาถูกลงเรื่อยๆ อีกต่างหาก สมัยนี้สิ่งต่างๆ นั้นคุณภาพดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ราคากลับอยู่ในระดับที่เราแปลกใจ เพราะมันยิ่งดีขึ้นแต่ยิ่งถูกลง รวมตลอดไปถึงอินเทอร์เน็ตทั้งแบบสายไปตามบ้านและไร้สาย 4g ที่ใช้กันในสมาร์ทโฟน ลองย้อนไปดูความเร็วของอินเทอร์เน็ตและราคาของมันเมื่อสักสี่ห้าปีก่อนแล้วมาย้อนดูตอนนี้ ก็จะพบว่ามันช่างเร้าใจ

ในโลกของสื่อออนไลน์นั้นยังมีเรื่องของการเกิดขึ้นของสื่อเดี่ยวสายดราม่า ที่หมายถึงปัจเจกชนคนธรรมดาทั่วไป แปรสถานภาพกลายเป็นผู้เล่นในสนามสื่อ ทั้งนี้เพราะโลกของการวิวัฒนาการที่เล่ามา1-2-3ข้างต้น มันทำให้คุณป้าคุณน้าที่คุยเก่งๆ ในออฟฟิศใดสักแห่ง ผู้ที่เล่าเรื่องชาวบ้านได้เห็นภาพชัดเจนเป็นฉากๆ หรืออาเฮียนักวิจารณ์การบ้าน-การเมืองฝีปากฉมังที่ร้านกาแฟปากซอย ได้กลายเป็นเจ้าของหน้าเพจในโซเชียลฯ ที่ทรงอิทธิพล มีคนกดไลค์กดแชร์ในโซเชียลเน็ตเวิร์ควันละเป็นหมื่นเป็นแสน

คนอย่างคุณน้าที่คุยเก่งในออฟฟิศทั่วไป หรืออาเฮียฝีปากกล้าในร้านกาแฟหน้าปากซอย จึงกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดของคนในสังคม มีบทบาทในการชี้นำในเรื่องโน้นเรื่องนี้ ในขณะเดียวกันสื่อหลักทั้งหลายก็ไม่ยอมนิ่งเฉย โดดตูมลงมาเล่นตามกระแสดราม่านี้เพื่อเธอ ลงมาเพื่อสู้ในสนามแข่งขันกับสื่อเดี่ยวสายดราม่าที่เกิดขึ้นใหม่ที่ว่ามานี้อย่างเร้าใจ

ว่ากันจริงๆ สื่อหลักเองควรจะยึดโยงกับหลักการเอาไว้ไม่ไหลไปตามกระแส แต่ดราม่าไม่เข้าใครออกใคร เพราะเม็ดเงินในสนามสื่อนาทีนี้มันไหลตามดราม่า ในส่วนของสื่อออนไลน์นั้นดราม่าหมายถึงการนำมาซึ่งยอดคลิก และยอดคลิกนาทีนี้คือหัวใจหลักในคัมภีร์ซื้อสื่อของทั้งเจ้าของสินค้าและเอเจนซี่ในยุคปัจจุบัน

กรณีของช่องสามและรายการข่าวแบบสรยุทธที่กล่าวมาตอนต้น ถือเป็นตัวอย่างอันดีของความสำคัญสำหรับการปรับปรุงแนวทางข่าวโดยใส่ความดราม่าเข้าไปเพื่อเร้าใจคนดู เอาใจตลาด

ดราม่า Is All Around!

อย่าแปลกใจที่ดราม่าจะถูกนำมาใช้เป็นช่องทางการตลาด ทั้งในระดับ Primitive ที่เอาก้อนหินมาทำฆ้อนทุบหัวอย่างบรรดาเว็บคลิกเบตต่างๆ รวมถึงพวกโพสต์ลักษณะแชร์ลูกโซ่ในอินเทอร์เน็ต ไปจนถึงระดับเหนือชั้นขั้นกูรูการตลาด ยกตัวอย่างชาเขียวตัวพ่อ ที่มุกแจกไอโฟนกับแจกเบนซ์อันเป็นอมตะนิรันดร์กาลยังถูกใช้อยู่เรื่อยๆ หรือก่อนหน้านี้อย่างชูวิทย์ก็เข้าสู่แวดวงการเมืองได้ส่วนหนึ่งก็เพราะแกเดินสายดราม่า (และจะว่าไปทั้งสองคนนี้ก็ได้คอนเนคชั่นจากรายการสรยุทธ)

ดราม่าในโซเชียลเน็ตเวิร์คกลายเป็นเรื่องที่เห็นกันบ่อยทั้งๆ ที่แบบเราไม่แน่ใจว่าตั้งใจการตลาดหรือไม่ตั้งใจจะการตลาดกันแน่ อย่างเช่น การหมดเกลี้ยงทุกตู้ของไอติมกลูลิโกะ ที่พอมีคนนำรูปตู้เปล่าขึ้นโพสต์ คราวหน้าก็จะมีคนหากินไม่ได้แล้วโพสต์บ้างจนกลายเป็นกระแส ผมเป็นคนเดินซูเปอร์มาร์เก็ตอยู่ทุกสัปดาห์เพื่อซื้อของเข้าบ้าน ช่วงนี้ผมเดินผ่านเซ็กชั่นที่มีตู้ไอติมวางอยู่ ผมจะคุ้นตากับไทยมุงที่ตู้ไอติมเพื่อมะรุมมะตุ้มกันหยิบลงตะกร้า และในขณะเดียวกันก็หยิบมือถือขึ้นมาเพื่อถามเพื่อนถามญาติที่ฝากซื้อ รวมไปถึงหลายคนกดถ่ายรูปตู้ไอติมแล้วไปโพสต์ลงโซเชียลฯ ว่าซื้อได้แล้ว หรือก่อนหน้าอย่างเช่นเรื่องดราม่าการโดนรังแกจากยักษ์ใหญ่ของศึกขนมใส้กล้วยก็ทำให้มีผลทางการตลาดให้คนแห่ไปให้กำลังใจขนมใส้กล้วยที่โดนรังแก (ความเห็นส่วนตัว : ไอติมได้ไปต่อ ส่วนขนมใส้กล้วยไม่ผ่าน) มาจนล่าสุดสดๆ ร้อนๆ ถึงดอกเตอร์เซปิง ที่มาสัมภาษณ์ออกรายการบ่ายของสรยุทธถึงสองวันซ้อน มีครบทั้งตื่นเต้นเร้าใจ ซับซ้อนซ่อนเงื่อนเพื่อนทรยศ พร้อมทั้งที่มาที่ไปลึกลับดำมืดท้าทายให้สัมผัส ผมดูแล้วรู้สึกว่าเรื่องมันราวกับละคร

อ่า พอพูดถึงคำนี้ ดราม่าก็คือประเด็นนั้นเลยครับ แบบว่า “เรื่องมันราวกับละคร” สังคมชอบอะไรแบบนี้ครับ ถ้าให้ดีต้องมีองค์ประกอบต่างๆ เหล่านี้แทรกในรายละเอียด เช่น ซับซ้อนซ่อนเงื่อน มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ตื่นเต้นเร้าใจ ถ้าเข้าสูตร “ผี- ตลก-โป๊” ได้ก็จะยิ่งน่าติดตาม ตบท้ายด้วยลีลาหักมุมจะยิ่งทันสมัย

ที่พูดมาทั้งหมดนี้ไม่ใช่ว่า ดราม่านั้นผิดหรือเป็นเรื่องเลวร้าย ผมค่อนข้างโอเคกับทุกดราม่า ยกเว้นบางประเด็นที่ผมรู้สึกว่า มันอาจจะเป็นปัญหา เช่น ผมไม่ค่อยรู้สึกดีที่สื่อหลักทั้งหลายจะลงไปเล่นสนามดราม่าด้วย ทั้งนี้เป็นเรื่องที่ต้องตระหนักและระมัดระวัง ส่วนตัวผมคิดว่า มันค่อนข้างอันตรายที่สื่อหลักจะไปเล่นเกมนี้ สำนักข่าวบางทีก็ต้องตั้งมั่นว่าเป็นสำนักข่าวนะครับ ไม่ใช่เผลอคิดว่ากำลังเป็นผู้จัดละคร

และนอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องเล็กไม่ใหญ่แต่สะกิดใจ ซึ่งมันอาจจะทำให้ค่านิยมหรือความเข้าใจต่อมุมมองบางอย่างผิดเพี้ยน อย่างเช่น คำถามที่ผมมักสงสัยอยู่เสมอว่า ทำไมเด็กหน้าตาสวยช่วยแม่ขายของมักจะถูกสังคมโซเชียลฯ มองเป็นลูกกตัญญูที่ได้รับการไลค์แชร์ผ่านทางโซเชียลอย่างล้นหลาน ในขณะที่เด็กหน้าตาธรรมดาอีกหลายคนทำเช่นนั้นมานานหลายรุ่นหลายยุคสมัยแล้ว คนกลับรู้สึกเฉยๆ ...ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะดราม่ามันพาไปให้ในจุดนั้นนั่นเอง

ตลอดจนเรื่องที่บางครั้งก็มีคำถามว่า มันใช่แล้วหรือที่เวลาชาวบ้านมีปัญหาในชุมชนก็มาฟ้องสรยุทธแทนที่จะไปร้องเรียนผู้ว่ากทม. บางครั้งมีผู้ป่วยที่ต้องการความช่วยเหลือแทนที่จะเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐมาทำหน้าที่จัดการก็มาบอกสรยุทธ จริงๆ แล้วเป็นเรื่องดีและน่าชื่นชมที่มีสรยุทธมาประสานงานจัดการให้ แต่ในระยะยาวเราก็ควรจะผลักดันให้โครงสร้างทางสังคมมันมีระบบที่ถูกต้องเพื่อจะรับผิดชอบคนที่อยู่ในสังคมทั้งหมดได้ ทั้งนี้ก็เพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้ที่สรยุทธจะรับแก้ปัญหาให้คนทุกหมู่บ้าน ช่วยคนป่วยได้ทั้งตำบล หรือช่วยคนจนได้ทั้งจังหวัด

หรือแม้แต่หลังจากนี้ที่ผมเชื่อว่ากรณีของสรยุทธจะนำพาพวกเราไปสู่ความดราม่ามากขึ้นเรื่อยๆ และจะมีสองฝั่งที่เห็นต่างมาร่วมวงดราม่ากันให้ครื้นเครง ขณะที่ฝ่ายหนึ่งเหตุว่า คนอ่านข่าวคือตัวอย่างทางสังคม หากศาลตัดสินว่าผิด ก็ควรจะทำตัวเป็นแบบอย่างงดออกอากาศจนกว่าจะสิ้นสุดกระบวนการและพิสูจน์ตัวได้ว่าไม่ผิดแล้วค่อยมาออกจอใหม่ ไม่ใช่รอจนถึงที่สุดของกระบวนการแล้วค่อยถอนตัวจากหน้าจอ แต่ในส่วนของกองเชียร์ก็คงจะพูดถึงความดีงามของสรยุทธที่ทำไว้กับสังคม ทำให้ชาวบ้านหันมาสนใจข่าว ทำให้ข่าวกลายเป็นเรื่องสนุก ไปจนช่วยคนจน ช่วยคนป่วย ช่วยน้ำท่วม ซึ่งสองฝั่งก็คงจะมีดราม่าโต้เถียงกันไปเรื่อยๆ และผมเชื่อว่าสรยุทธก็ยังน่าจะไม่หายไปไหน ยังจะปรากฏตัวอยู่หน้าจออยู่ดี

ทั้งนี้เพราะเรื่องนี้มันโคตรดราม่า มันเหมือนมีละครซ้อนอยู่ในรายการข่าว และเรตติ้งมันคงจะดีมากๆ
พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา  “ถ้าท่านไม่ทุจริตแล้วท่านจะกลัวอะไร”  “มันอยู่ที่ธรรมมาภิบาลของ สสส.”
พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา “ถ้าท่านไม่ทุจริตแล้วท่านจะกลัวอะไร” “มันอยู่ที่ธรรมมาภิบาลของ สสส.”
โครงการเร่งด่วนของรัฐบาลเยอะแยะไป สั่งจ่ายเรื่องวาตภัย เรื่องประสบอุบัติภัย อยู่ดีๆ เอาเงินไปจ่ายโครมๆ โดยไม่ต้องมีใบเสร็จได้ไหมหละ? หรือว่ามีแค่ใบสั่งอย่างเดียวได้ไหม? เขาเร่งด่วนกว่าท่านจะตาย อย่างเช่น สสส. ให้เงินมูลนิธิ โครงการ 14 ตุลา ไปพัฒนาทางด้านจิตสำนึก ทางด้านจิตใจ มันเร่งด่วนมากกว่าการช่วยน้ำท่วม ภัยพิบัติแล้ง มันเร่งด่วนกว่ากันมากขนาดนั้นเลยหรอ ถ้ามันไม่ เร่งด่วนมันก็ต้องทำตามระเบียบราชการแผ่นดิน มันสามารถเทียบเคียงได้ พอเราพูดกันอย่างนี้ สสส. ก็เห็นด้วยนะ ไม่ใช่ว่า สสส. จะคัดค้าน พอเรายกตัวอย่างอย่างนี้เขาก็เห็นด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น