xs
xsm
sm
md
lg

เอ็งหยุดข้าแหย่

เผยแพร่:   โดย: พระบาท นามเมือง

ในที่สุดสองพี่น้องตระกูลชินวัตร ก็ได้พื้นที่บนหน้าสื่อไปอีกครั้ง ด้วยเรื่องง่ายๆ อย่างการพิมพ์ปฏิทินแจกแฟนคลับ

ปฏิทินรูปสองพี่น้อง ที่คนหนึ่งเป็นผู้กระทำความผิดหนีคดี อีกคนเป็นจำเลยในคดีทุจริตอุกฉกรรจ์ ห้ามออกนอกราชอาณาจักร

ไม่รู้คนที่อยากบูชาปฏิทินพรรค์นี้เขาคิดอย่างไรเหมือนกัน หรือเชื่อว่ามันจะก่อให้เกิดมงคลอย่างไรรับวันปีใหม่ก็ไม่ทราบได้

การแจกปฏิทินนี้ ถ้าจะมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา ก็อาจจะได้ คืออย่างน้อยก็เพื่อเลี้ยงกระแส “แฟนคลับ” ของตัวเองเอาไว้...จะได้ไม่ลืมกัน

ส่วนเรื่องหวังจะสร้างแรงกระเพื่อมทางการเมืองหรือไม่ ก็อาจจะนับว่าเล็งเห็นผลได้ ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง เมื่อในที่สุด ทางการได้แก่ฝ่ายปกครอง คือผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด ก็สั่งให้ยุติการแจกปฏิทินดังกล่าว

และพอทางการทหารเข้ามารับลูก ด้วยการแห่กันออกมาให้สัมภาษณ์ในเรื่องความไม่ถูกไม่ควร ก็ยิ่งเป็นเหมือนไปเข้าทาง

หรือที่หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล ออกมาเขียนข้อความลง Facebook ส่วนตัว ว่าด้วยความเหมาะความควรในการจัดทำปฏิทินแจก เปรียบเปรยกับการที่มีผู้มาขออนุญาตนำรูปท่านไปทำปฏิทินว่า ในทางจารีตประเพณีของไทย ภาพที่จะไปปรากฏอยู่บนปฏิทินแขวนฝาผนังบ้านมอบให้แก่ผู้คนในปีใหม่นั้น ต้องเป็นภาพที่มีความหมายสำคัญยิ่งต่อคนในชาติ

ก็ปรากฏว่ามีเพจเสื้อแดงเพจหนึ่ง ไปตัดต่อรูปและคำพูดของท่าน เข้ากับภาพปฏิทินวับๆ แวมๆ ปลุกใจเสือป่า ทั้งชายหญิงหลายฉบับที่เหมือนจะเป็นการล้อเลียนว่าท่านไปอยู่ไหนมา ไม่รู้จักปฏิทินพวกนี้หรือไง

แต่แหม คนพวกนี้เขาลืมคิดไปหรืออย่างไรไม่ทราบนะครับ ที่เอาปฏิทินขวัญใจพี่น้องของพวกเขาไปเปรียบเทียบกับปฏิทินโป๊เสียฉิบ!

การ “โต้ตอบ” ของทางการในเรื่องปฏิทินนี้ ทำให้กระแสที่ไม่ว่าจะจงใจหรือไม่ ถูกจุดขึ้นมาติดกลายเป็นเรื่องของสองพี่น้องต้องคดีคู่นี้ กลายมาเป็นข่าวตามหน้าสื่อไปเสียอีก

แต่ถ้าจะมองว่า ทางการนั้นทำเกินไป หรือหลงงับเหยื่อของสองพี่น้องคู่นี้ก็ว่าไม่ได้เสียเท่าไร

เพราะการที่อยู่ในระหว่างสั่งให้นักการเมือง “หยุดพัก” เพื่อรอความชัดเจนเรื่องการปฏิรูป และแนวทางของรัฐธรรมนูญเพื่อการปฏิรูปการเมืองของอาจารย์มีชัย ฤชุพันธุ์

การที่ขั้วการเมืองยังไม่หยุด หรือมีการ “เช็กชื่อ - วัดความนิยม” ผ่านการแจกปฏิทิน ก็ไม่ต่างจากการจงใจ “ท้าทาย” อำนาจของ คสช.แบบไม่ยี่หระ

จะปล่อยให้แจกกันโจ๋งครึ่มเพื่อวัดคะแนนเลี้ยงกระแสก็ไม่ได้ แต่พอห้ามหรือสั่งให้ยุติ ก็ดันกลายเป็นว่าสร้างทางวางพื้นที่ข่าวให้ขั้วอำนาจกลุ่มนี้อีก

เรียกว่าเสียทั้งขึ้นทั้งล่อง

การรับมือกับการก่อกวนแบบ “เอ็งมาข้ามุด เอ็งหยุดข้าแหย่” ของนักการเมืองขั้วนี้เป็นเรื่องเล่นเอาเถิดที่ฝ่ายปกครองอำนาจในขณะนี้จำเป็นต้องวางแผนรับมือให้ดี เพราะทุกกิจการกิจกรรม ถูกคิดมาดีแล้ว เหมือนเรื่องที่เคยปล่อยจดหมายเชิญจาก ส.ส.ยุโรปออกมานั่นแหละ

และการออกมาแหย่ๆ ในช่วงนี้ ก็อาจจะเป็นสัญญาณที่ชี้ว่า ขณะนี้พวกเขาก็ยังพร้อมที่จะกลับมาอยู่

กลับมาผ่านกระบวนการเลือกตั้ง ที่ไม่ว่าอย่างไรจะต้องมีขึ้นแน่ๆ ภายในครึ่งแรกของปีหน้า อย่างที่ท่านพล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ ออกมาแย้มว่า รัฐบาลพร้อมที่จะส่งไม้ให้รัฐบาลใหม่ กลางปี 2560 คือปีหน้า หรืออีกประมาณหนึ่งปีครึ่ง

เป็นสัญญาณบอกว่า การเลือกตั้งนั้นใกล้เข้ามาอีกนิด ดังนั้น เวลาประมาณหนึ่งปีนี้ ฝ่ายที่รออยู่จึงอาจจะเตรียมตัวอุ่นเครื่อง เรียกน้ำย่อยได้

ต้องยอมรับว่า ฝ่ายพรรคการเมืองของตระกูลชินวัตรนั้น ยังมีความมั่นใจมากในการต่อสู้และลงสนามผ่านกระบวนการเลือกตั้ง

ไม่ว่ากติกาจะสุดหินยากเย็นอย่างไรก็ตาม แต่ถ้าลงว่าในที่สุดใช้วิธีการให้ประชาชนตัดสินด้วยการลงคะแนนเสียงเลือกคนที่รักพรรคที่ชอบแล้ว เขาก็เชื่อว่าอย่างไรเสียเขาก็ได้เปรียบ

ยกเว้นจะเขียนรัฐธรรมนูญกันว่าห้ามคนตระกูลนี้ไล่สาแหรกขึ้นไปสามชั่วคนลงสมัครรับเลือกตั้งหรือรับตำแหน่งทางการเมืองนั่นแหละครับ

ก็เพราะนอกจากคะแนนเสียงเดิมจะยังค่อนข้างเข้มแข็งอยู่แล้ว ฝ่ายตรงข้ามที่เป็นเหมือน “พรรคคู่แข่ง” อย่างพรรคประชาธิปัตย์นั้นก็อยู่ในสภาพอ่อนเปลี้ยเพลียแรง

เกิดรายการแซะกันทุกระดับ ไม่ว่าจะระดับชาติหรือระดับท้องถิ่น เช่นเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าจะมีผู้มาลงแข่งชิงชัยในตำแหน่งหัวหน้าพรรคแข่งกับคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะหรือความพยายามของคนในพรรคเองที่จะ “แซะ” คุณชายหมู ผู้ว่าฯ กทม.ด้วยเรื่องการจัดซื้อเปียโน หรือล่าสุดก็เรื่องจัดไฟปีใหม่ 39 ล้านบาทนั่นแหละ

แค่คู่แข่งอ่อนแรง แต่ตัวเองยังมีพลังเท่าเดิม ก็ถือว่าได้เปรียบมากแล้ว

ดังนั้นเวลาที่เหลือ เราจึงควรต้องมาลุ้นกันว่า รัฐธรรมนูญของอาจารย์มีชัย ที่ว่าจะปฏิรูป ที่ว่าจะป้องกันไม่ให้คนโกงมีอำนาจ ไม่ว่าจะทำให้การเลือกตั้งขึ้นมาทำได้ยากขึ้นก็ดี หรือเมื่อเลือกตั้งเข้ามาแล้วไม่อาจใช้อำนาจรัฐได้ตามใจชอบก็ตามนั้น จะมีกลไกแค่ไหนที่ทำให้มั่นใจได้หรือไม่

นอกจากนี้ ในการบริหารงานของรัฐบาลเอง ก็ต้องยอมรับว่า คงจะต้องแข็งแรงและขันนอตให้แน่นกว่านี้ โดยเฉพาะในเรื่องที่ประชาชนนั้นยังไม่ค่อยพอใจหรือเห็นว่ายังเป็นปัญหาที่ยังรอการแก้ไขอยู่

ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ ปากท้อง เรื่องราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ

การปฏิรูปในด้านต่างๆ เช่นเรื่องกฎหมาย กระบวนยุติธรรม สังคม พลังงาน ศาสนา และการศึกษา ที่เคยเป็นวาระสำคัญจนมีการตั้งสภาปฏิรูปแห่งชาติหรือ สปช.ขึ้นมาในช่วงระยะแรกของการควบคุมอำนาจ ซึ่งตอนนี้เหมือนเรื่องปฏิรูปจะซาๆ ลงไป

หรือการลงดาบปราบปรามเรื่องทุจริตต่างๆ ในทุกระดับอย่างจริงจัง อย่างที่ประชาชนคาดหวังไว้ว่า เมื่อไม่มีฝ่ายการเมืองให้ต้องเกรงกลัวเกรงใจกันแล้ว ทางฝ่ายทหารน่าจะจัดการกับปัญหาให้เด็ดขาดได้ รวมทั้งช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่กระบวนยุติธรรมในการนำคนโกงหรือผู้หนีความผิดมาดำเนินคดีหรือรับโทษทัณฑ์ตามกฎหมายด้วย

การแก้ปัญหาต่างๆ ที่ประชาชนคาดหวัง การปฏิรูป และการสะสางปัญหาที่สะสมนั้น เป็นภารกิจที่จำเป็นต้องทำ

เพื่อมิให้ผู้คนบางส่วนรู้สึกโหยหานักการเมือง โดยเฉพาะนักการเมืองที่สร้างความนิยมได้ง่ายๆ อย่างค่ายชินวัตร และสำคัญที่สุด คืออย่างน้อยก็เพื่อไม่ให้ผู้คนไม่ว่าฝ่ายไหนคิดว่า ทหารกับนักการเมืองก็ทำอะไรไม่ได้พอๆ กัน

นี่คือเหตุผลว่าต้อง “ไม่หยุด” เพราะไม่งั้นเขาก็ “จะแหย่” อยู่อย่างนี้.
กำลังโหลดความคิดเห็น