xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 273 ว.วชิรเมธี...“ท่านมหานกกระจอก!”

เผยแพร่:   โดย: วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

จตุคาม รามจันทร์
เช้าวันนี้... จิบกาแฟขมแล้ว คุยกับพรรคพวกที่เขาทำขนมปีใหม่ขาย ซึ่งบ่นกระปอดกระแปดว่าขายไม่ดี เพราะตั้งแต่มีเรื่องระเบิดคืนส่งท้ายศักราช ทำให้ผู้คนไม่กล้าออกจากบ้าน จนกระทั่งหลังวันเด็กผ่านไป ก็เริ่มมีคนสั่งของเข้ามาสูงกว่ายอดปกติเพียงเล็กน้อย

ทางคนขายขนมเขาถามลูกค้าว่า ทำไมเพิ่งมาส่งของขวัญเอาตอนนี้ หลายคนบอกว่าตอนปีใหม่กลัว ไม่กล้าออกจากบ้าน พอเห็นเหตุการณ์ซาไปหน่อย ก็ออกมาซื้อหาของขวัญให้ญาติมิตรเป็นการย้อนหลังกัน

หลังรัฐประหารมานี่ ผู้คนคงรู้สึกว่าบ้านเราไม่ปกติสุขกระมัง เครื่องรางของขลังจึงขายดิบขายดี จนหลวงท่านคิดเก็บภาษีวัตถุบำรุงจิตใจประเภทนี้กันแล้ว ฟังแล้วก็น่าเห็นใจ เพราะคนเรานั้นยามทุกข์ หรือคราวใดที่เห็นว่ามีอันตรายไม่มั่นคงในชีวิต ก็ต้องพึ่งพระพึ่งเจ้า หาของศักดิ์สิทธิ์เอาไว้บำรุงขวัญตัวเองกันบ้าง

ดูอย่างตอนสงครามโลกครั้งที่ ๒ ระเบิดลงกรุงเทพ ผู้คนอพยพออกนอกเมืองแล้วยังแขวนพระพวงเบ้อเริ่มกันหลายคน ในตอนนั้นใครมีของดีตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ ก็สบโอกาสงัดมาใช้กัน มีทั้งตะกรุด ผ้าประเจียด ผ้ายันต์ เขี้ยวสัตว์ลงคาถาอาคม รวมทั้งพระเอกทุกงานคือ ‘ปลัดขิก’ ที่ยังควานหากันมาบูชาในทุกโอกาส

มาถึงวันนี้ คนกรุงเทพก็เริ่มหาของดีไว้ป้องกันตน เพราะเกรงความไม่แน่นอนทางการเมือง เกิดมีอะไรปึงปังขึ้นมา หันหาใครไม่ได้ ยังมีเครื่องรางของขลังเอาไว้

พออุ่นใจกันบ้าง!

ผมไม่มีเครื่องรางของขลังอะไรกับเขานัก แต่ในรถยนต์ที่ขับทุกคัน ก็มีเครื่องรางอยู่
๒-๓ อย่างที่แม่ให้มา นำมาติดบ้านและติดรถเอาไว้ เพราะรู้สึกว่ามีไว้แล้วอุ่นใจ แต่รับรองว่าไม่มี‘จตุคาม-รามเทพ’ ที่กำลังดังรวมอยู่ด้วย เพราะยังไม่มีกับเขาสักองค์ มีแต่รูปเทพเจ้าอินเดีย ที่พวกแขกเขาเคารพนับถือ ชื่อ ‘จตุคาม-รามจันทร์’ หน้าตาหล่อเหลาอย่างที่ท่านเห็น

การพกเครื่องรางของขลังเอาไว้บ้าง เพราะเวลาจะออกทำงาน หรือยามใดที่ผู้เขียนรู้ว่าอาจต้องเข้าเผชิญเหตุร้าย หรือต้องเข้าตะลุมบอน ก็สวมสายสร้อยที่มีพระเครื่องสำคัญ หรือสวมสร้อยที่มีเหรียญรัชกาลที่ ๕ ,รัชกาลที่ ๙ อันเป็นมงคลยิ่งแขวนอยู่ แต่ถ้าลืมสวมสายสร้อย ก็ยกมือไหว้พระทุกครั้งให้คุ้มครองตน ให้พ้นจากภยันตรายทั้งปวง

นอกจากขอพรพระแล้ว ก็ทำเหมือนคนไทยทั่วไป คือนึกถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระมหากษัตริย์เจ้าทุกพระองค์ ขอพระบารมีทรงคุ้มครองและช่วยนำตนเองพ้นจากภัยทั้งมวล ซึ่งก็เอาตัวรอดปลอดภัยมาได้โดยสวัสดี ทุกครั้งไป

ม้ตัวเองจะทำบุญตักบาตรแทบจะทุกวัน แต่ไม่ค่อยได้มีโอกาสเข้าวัดมากนัก นอกจากวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาซึ่งไปเป็นประจำ เมื่อตอนเป็นเด็กอยู่ วชิราวุธ วิทยาลัย เป็นสถาบันที่ค่อนข้างเคร่งครัดในเรื่องพระพุทธศาสนา เรียกว่าเป็นโรงเรียนวิถีพุทธ ก็พอจะได้กระมัง นักเรียนต้องสวดมนต์วันละ ๒ รอบทุกวัน คือตอนเช้าแปดโมงครึ่ง ต้องขึ้นหอประชุมเพื่อสวดมนต์เช้า และตอนค่ำก็ต้องเข้าแถวสวดมนต์ก่อนนอน

ครั้นถึงวันอาทิตย์ ก็ต้องขึ้นหอประชุมสวดมนต์เป็นชั่วโมงเลยทีเดียว เพราะถือเป็นวันสำคัญ ที่จะต้องสวดเต็มรูปแบบ และยังต้องฟังการอบรมจากครูหรือพระสงฆ์อีกด้วย

ที่เล่ามานี้ ก็เพื่อจะเรียนให้ท่านผู้อ่านทราบว่า ตัวผู้เขียนได้รับอิทธิพลจากพระพุทธศาสนามาตั้งแต่ยังเด็ก จึงสนใจศึกษาธรรมะ ชอบฟังเทศน์ฟังธรรมทางวิทยุ พระองค์ไหนเทศน์เก่งและมีชื่อเสียง โดยเฉพาะที่เทศน์ทางสถานีวิทยุกระจายเสียง เคยฟังมาแล้วแทบจะทุกรูป องค์ไหนสไตล์เทศน์เป็นอย่างไร บอกถูกหมด

ตัวผมเองนั้น เขียนเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาในคอลัมน์ กาแฟขม...ขนมหวาน อยู่บ้าง เมื่อเขียนแล้วบางตอน ทางเวปพระสงฆ์องค์เจ้า เช่น เวปมหาวิยาลัย มหามกุฎราชวิทยาลัย (www.mbu.ac.th) เว็บลานธรรม (www.larndham.net) เว็บศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนา (www.bpct.org) และเว็บพระไทย (www.phrathai.net) ถอดบทความไปเผยแพร่ด้วย โดยเฉพาะ ตอนที่ ๑๘๒ “วิสาขะ-วิวาทะ รัฐบาลอย่าได้ ‘จุดชนวน’ ความขัดแย้งขึ้นอีก” นอกจากได้รับการนำไปลงในเว็บต่างๆแล้ว ยังมีการถ่ายเอกสารไปแจกจ่าย พระสงฆ์องค์เณรอ่านกันแยะเชียว ท่านที่ยังไม่ได้อ่านลองคลิกเข้าไปดูได้ จะได้ทราบแนวความคิดทางพระพุทธศาสนา ของผู้เขียนคอลัมน์นี้บ้าง

มเคยออกความเห็นในคอลัมน์นี้ว่า คนที่มาเป็นรัฐบาลนั้น ต้องสำแดงความเอื้อเฟื้อต่อพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนเป็น ‘ผู้นำ’

เมื่อครั้งทักษิณยังมีอำนาจ ครองบ้านครองเมืองอยู่นั้น จะเอากฎหมายจัดรูปที่ดินเข้าสภา โดยไม่สอบถามคณะสงฆ์เลย ในที่สุดก็ถูกต่อต้านอย่างหนัก ซึ่งผมวิจารณ์ในเรื่องนี้เอาไว้ว่า

ความจริงกฎหมายฉบับนี้ (ที่ลอกมาจากญี่ปุ่น) น่าจะเป็นประโยชน์มาก พอร่างครอบคลุมที่ดินวัดเข้าเท่านั้น กฎหมายดีที่จะเป็นประโยชน์...กลายเป็นของเน่าเสียไปเลย

นอกจากนั้น ผมยังแนะนำต่อไปอีกว่า เรื่องของคณะสงฆ์นั้น หากผู้นำรัฐบาลที่มีความคิด ต้องการความช่วยเหลือจากคณะสงฆ์ ก็ไปกราบขอท่านดีๆ ทุกอย่างก็จะสำเร็จโดยง่าย

ถ้าเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์กับชาวบ้าน ผมไม่เคยเห็นเจ้าคุณ หลวงพ่อ หรือสมภารเจ้าวัดรูปไหนท่านเคยขัด ดูอย่างหลวงพ่อคูณนั่นไง แจกเงินตำรวจไปสร้างโรงพัก อุทิศเงินสร้างโรงเรียนให้กระทรวงศึกษา สาธารณสุขขอบริจาคไปสร้างโรงพยาบาล ท่านก็ให้ ยังขุดสระน้ำ ทำสาธารณะประโยชน์ไม่รู้จักเท่าไหร่ และยังมีพระสงฆ์อีกหลายต่อหลายรูป ที่ไม่ได้เอ่ยถึง

เมื่อพระสงฆ์ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เราเป็นข้าราชการก็ต้องคุ้มครองท่านให้เต็มที่ หากคณะสงฆ์มีเหตุ เภทภัย มีคนมาคิดร้ายทำลาย หรือมีอลัชชีผีป่าเข้ามาปลอมบวช เบียดเบียนพระศาสนา ผู้ที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ก็ต้องร่วมมือกับพระสงฆ์ท่าน ลงมือจัดการปราบปรามกันให้เด็ดขาดไป เพราะพระสงฆ์ท่านทำเองไม่ได้

พวกข้าราชการโดยเฉพาะ ‘ตำรวจ’ นี่แหละ ที่จะต้องเป็นหน่วยกำลังสำคัญที่สุด ช่วยพระเจ้าพระสงฆ์ท่าน รักษาพระศาสนาเอาไว้!

ดังนั้น ผมจึงรู้สึกไม่สบายใจ ที่เห็นนายทหารจาก คมช. ออกมากล่าววิจารณ์พระ ที่ไปเทศน์งานบุญของพรรคการเมือง ว่าเชียร์อดีตนายกฯทักษิณ ซึ่งก็นั่นแหละ แม้การเทศน์ของท่านพระครู จะฟังดูเกินเลยไปบ้าง ในสายตาของคนไม่เอาทักษิณ แต่ท่านนายทหารใหญ่ก็ไม่ควรถือเป็นอารมณ์ แล้วระบายคำพูดหนักๆออกมา เพราะอาจทำให้เสียมิตรหรือขาดไมตรีกับแนวร่วมไปอย่างน่าเสียดาย แถมยังมีข่าวออกมาทางหน้าหนังสือพิมพ์อีก ว่า

มีพวกทหารไปถามหาพระครู ที่เป็นองค์เทศน์ถึงวัดสระเกศ และนี่กระมัง ที่คนเขาถึงลือกันว่า เป็นต้นเหตุให้สำคัญที่ทำให้ ประธาน คมช.ต้องรีบเข้าวัดสระเกศ ปรึกษาหารือ ขอจัดงานบุญระดับประเทศกับพระเดชพระคุณ เจ้าประคุณสมเด็จฯท่านเลยทีเดียว

ตรงนี้ อยากจะบอกว่า

อัน คมช.นั้น ท่านอยู่ในตำแหน่งแห่งที่ ซึ่งดูเหมือนมีอำนาจราชศักดิ์ ถ้าอยากให้ผู้คนเขาให้ความเคารพยำเกรง ไม่นินทาด่าทอเอาลับหลัง ท่านน่าจะเลือกใช้อำนาจ หรือกล่าวถ้อยคำใดๆในส่วนที่เป็นคุณ และด้วยความระมัดระวัง ไม่ก่อให้เกิดความแตกแยกเสียเอง

อย่าทำให้เสียมิตรไป หรือสร้างศัตรูโดยไม่จำเป็น เพราะคำพูดคำจาตัวเอง!

ต้องไม่ลืมว่า คมช.พวกท่านเอง เป็นฝ่ายที่ออกมาเรียกร้องความสามัคคีปรองดอง และความสมานฉันท์ของคนในชาติ ก็จงอย่าทำให้ความตั้งใจนั้นเสียไป จนผู้คนเขาต่อต้านคำพูดของท่าน

ฝากเอาไว้แค่นี้แหละ จะชอบหรือไม่ ก็ไม่เป็นไร แต่ลองไปตรองดูก็แล้วกัน!!
ว.วชิรเมธี
หลังจากมีเหตุนี้ ได้มีพระเปรียญสูง และดังทางขีดเขียนท่าน ว.วชิรเมธี ออกรายการ “รู้ทันประเทศไทย” ทาง ASTV คืนวันอาทิตย์ที่ ๑๔ มกราคม ช่วง “ตามหาแก่นธรรม” ท่านตอบกระทู้จากผู้ชมทางบ้าน ถามถึงความเหมาะสมกรณีพระครูอรรถเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ไปแสดงธรรมเทศนา เนื่องในวันขึ้นปีใหม่ที่พรรคไทยรักไทย และได้กล่าวสนับสนุนพรรคการเมืองนี้ พร้อมเรียกร้องให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมาบริหารประเทศอีกครั้ง

เว็บ ‘ผู้จัดการ’ ลงข้อความว่า

ท่าน ว.วชิรเมธี กล่าวว่า แม้การที่ท่านพระครูไปเทศนาธรรม ณ ที่ทำการพรรคไทยรักไทย จะเป็นการให้กำลังใจแก่สมาชิกพรรค ที่มานิมนต์ไปทำบุญ แต่พระมีหน้าที่เตือนสติ คน ไม่มีหน้าที่ทำให้คนหลง ไม่มีหน้าที่ไปเข้าข้างใคร พระเข้าข้างได้แต่ธรรมะเท่านั้น เรื่องนี้ท่านพุทธทาสเคยบอกว่า

“อย่าให้ชาวบ้านเอาข่ายมาจับ”

ซึ่งหมายถึง อย่าให้ชาวบ้านตะล่อมไปเป็นพวก ต้องอยู่ตรงกลาง ไม่ว่าฝ่ายไหนจะมานิมนต์ไปเทศน์ ก็ไม่เข้าข้าง ไม่ว่าจะเป็นพรรค ก. พรรค ข. พรรค ค.

“ไม่ใช่พอเขาให้ประโยชน์แล้ว ก็ไปเข้าข้างเขา เพราะพระสงฆ์ไม่มีหน้าที่เป็นเสาหลักของใคร แต่จะต้องเป็นเสาหลักของมนุษยชาติ ทำหน้าที่สมานฉันท์กับคนทั้งโลก”


ท่าน ว.วชิรเมธี กล่าวอีกว่า ในการแสดงธรรมนั้น พระพุทธองค์ทรงวางหลักการไว้ ๔ ข้อ คือ

๑.แสดงความจริงตามเนื้อหาสาระ ๒.ไม่กระทบตนไม่กระทบท่าน ๓.ไม่มุ่งอามิส ไม่ใช่ว่าเจ้าภาพติดกัณฑ์เทศน์มาก ก็จะต้องเทศน์เอาใจ และ ประการสุดท้าย ตั้งจิตเมตตา ให้เกิดประโยชน์กับผู้ฟังมากที่สุด

ผมไม่รู้ว่า พระครูวัดสระเกศไปเทศน์ที่พรรคไทยรักไทยนั้น ได้เทศนาครบถ้วนตามแนวทางที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ ตามที่ท่านมหา ว.วชิรเมธี อรรถาธิบายหรือไม่? เพราะไม่ได้ไปนั่งฟังด้วย แต่ที่แน่ๆ คือ

ปรากฏจากข่าวหนังสือพิมพ์นั้น ท่านเทศน์โดยตั้งจิตเมตตา ต่อผู้ที่มานั่งรับฟังอย่างมิพักต้องสงสัยเลย

อย่างไรก็ตามจากข่าวแล้ว ก็มีการรายงานว่า

ท่านพระครูเทศน์โน้มเอียง ไปในทางชื่นชมทักษิณ แต่ก็นั่นแหละ คงเป็นเพราะท่านรับกิจนิมนต์ไปในงานทำบุญวันเกิดพรรคไทยรักไทย ต้องไปเทศนาถึงในที่ทำการพรรคของเขา จะให้ไปเทศน์เชียร์ คมช. เชียร์พรรคอื่น หรือนั่งเทศน์ด่าเจ้าภาพเสียเลย ก็คงทำไม่ได้

พระครูที่เป็นองค์เทศน์ อาจคิดว่า ท่านเพียงนำเอาความรู้สึกของชาวบ้านบางส่วน มาบอกสมาชิกพรรคไทยรักไทย ฝากผ่านไปถึงอดีตหัวหน้าพรรค และไม่ได้เทศน์ให้ร้ายใครแน่ๆ อีกทั้งผมไม่เชื่อด้วยว่า

ท่านเทศน์เชียร์พรรคไทยรักไทย เพียงเพื่อหวังปัจจัยใส่ซองหนาขึ้น นั่นดูจะเลอะเทอะไปหน่อย ยิ่งกว่านั้นยังเห็นต่อไปด้วย ว่า

ท่านพระครูอรรถเมธี เทศน์แบบเดียวกับ ‘หลวงพ่อปัญญา’ เสียด้วยซ้ำไป!

ทำไมคนเขียน จึงว่าอย่างนั้นล่ะ!!

ผมเป็นแฟนหลวงพ่อปัญญามาหลายสิบปี เจ้าประคุณหลวงพ่อเป็นพระสหธรรมิก ที่สนิทสนมกับท่านพุทธทาส (ที่ท่าน ว.วชิรเมธี อ้างถึง) มายาวนาน เป็นที่รู้กันทั่วไปว่า มิตรภาพทั้งสองรูปนั้นบานสพรั่ง เยี่ยงกัลยาณมิตรที่ดีต่อกันไม่โรยรา ตั้งแต่เป็นพระหนุ่มเณรน้อย เรียกตามภาษาชาวบ้านว่าเป็น‘เพื่อนตาย’ กันคงพอได้

เวลาเทศนาเกี่ยวกับเรื่องการเมือง ใครก็รู้ว่าหลวงพ่อปัญญาท่านชื่นชม ยกย่องพรรคประชาธิปัตย์มานมนานแล้ว จนมีข่าวว่ารัฐบาลเก่าของอดีตนายกฯทักษิณนั้น ขัดเคืองนัก จนไม่ให้ท่านเทศน์ ออกทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ของกรมประชาสัมพันธ์ ไปพักใหญ่ทีเดียว เพราะเขากล่าวหาว่า

ท่านเทศน์เชียร์ ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล!

เรื่องนี้ช่วยไม่ได้จริงๆ ในเมื่อหลวงพ่อท่านรักชอบพรรคฝ่ายค้าน อีกทั้งคนใหญ่คนโตใหญ่ในพรรคนี้ ท่านก็รู้จัก แถมส่วนใหญ่มาจากภาคเดียวกับท่านอีก เรียกได้ว่า ‘เป็นเกลอ-เป็นพวก’ กันทั้งนั้น

คนที่หมั่นไส้พรรคเก่าแก่นี้ ก็ถือโอกาสกระแนะกระแหนหลวงพ่อท่าน ว่า

“บวชอยู่ทำไม สึกออกมานุ่งกางเกง ไปเป็นประธานพรรคซะยังดีกว่า!”

แน่ะ...ดูไอ้พวกไม่กลัวตกนรกนี่ซี่...มันรุมต่อว่าต่อขาน หลวงพ่อท่านถึงขนาดนั้นเลยจริงๆ นี่ พวกมันว่านะ...ผมไม่ได้พูดเอง หลวงพ่อท่านก็ทราบหนังสือพิมพ์เอาไปลงด้วยซ้ำไป!!

ถึงพวกมารมันจะนินทา แต่ผมก็ไม่เห็นพระเดชพระคุณท่านจะถือสา เพราะหลวงพ่อปัญญาก็ไม่เคยอวดอ้างว่า ท่านเป็นพระอรหันต์ แค่เทศน์ชื่นชมพวกกันนิดๆหน่อยๆ ก็ดูน่ารักดีออกจะตายไป ไม่เห็นจะเสียหาย หรือหนักหัวกบาลใครที่ไหน แล้วจะอะไรกันนักกันหนา!

คุณงามความดีของท่านเจ้าคุณปัญญานั้น เหลือคณานับ ผมไม่มีวันไปต่อว่าหรือกล่าวหาว่าท่านลำเอียง และพระเดชพระคุณเจ้าคุณหลวงพ่อนั้น เป็นพระภิกษุที่ผม...

ก้มกราบได้ ด้วยความเคารพอย่างสูงด้วยซ้ำไป!!

ตัวคนเขียนเองนั้น ตั้งธงเอาไว้ในใจนานแล้วว่า จะหลีกเลี่ยงการวิพากษ์วิจารณ์พระเจ้าพระสงฆ์ แต่มาหนนี้ต้องขอแตะสักหน่อย เพราะให้รู้สึกจั๊กจี้มาก เมื่อท่านมหา ว.วชิรเมธี ได้กล่าวย้ำ ว่า

“พระจะต้องเป็นประเภทเลี้ยงไม่เชื่อง ไม่ว่าใครจะให้ประโยชน์อะไร ก็อย่าหลงไปติดข่ายของใครทั้งสิ้น”

การที่ท่าน ว.วชริเมธี อธิบายความ คงมีจุดประสงค์เพียงเพื่อขยายคำ “อย่าให้ชาวบ้านเอาข่ายมาจับ” ของท่านพุทธทาส โดยท่ามหาหนุ่มกล่าวเสริมว่า สงฆ์ต้องเป็นผู้เลี้ยงไม่เชื่องนั้น พอจะเข้าใจได้ แต่การท่านเลือกใช้คำอธิบาย ว่า

‘เลี้ยงไม่เชื่อง’ นั้น

ผมฟังว่ามันพิกล จนต้องเขียนบทความนี้ขึ้นมา เพราะจำไม่ได้ว่า พระพุทธเจ้าท่านเคยสอนว่า พระภิกษุต้องเป็น ‘ผู้เลี้ยงไม่เชื่อง’ หรือเปล่า? หรืออาจเป็นเพราะความรู้เรื่องศาสนาตัวผู้เขียนเอง ยังไม่แตกฉานถึงขั้น หรือจะเป็นคำสั่งสอนของท่าน ว.วชิรเมธี ที่ท่านคิดประดิษฐ์ขึ้นมาเอง เลยไม่เคยได้ยินมาก่อน เพราะทราบแต่เพียง ว่า

พระสงฆ์ต้องเป็น สุภโร หรือ เลี้ยงง่าย อย่างที่ระบุใน กรณียเมตตาสูตร ว่า สนฺตุสฺสโก จ สุภโร จ แปลความว่า เป็นผู้สันโดษ เลี้ยงง่าย ญาติโยมหรือผู้ศรัทธาเขาถวายอาหารให้ ก็ไม่เลือกมาก รับประเคนมาก็ฉันไป เพียงประทังชีวิตเพื่อการบำเพ็ญภาวนา ให้บรรลุพระนิพพานผล

อย่างนี้เรียกว่าเป็นผู้เลี้ยงง่าย

ส่วนในทางโลกผมรู้ว่า เลี้ยงไม่เชื่องนั้น เขาเปรียบเสมือนนกกระจอก จับมาขังในกรงให้มันกินข้าวกินน้ำ เปิดกรงออกมันก็บินไป ไม่ได้คิดถึงคนที่เขาเลี้ยงดู แต่จะไปว่ามันก็ไม่ได้ ด้วยวิสัยสัตว์อย่างมัน ก็เป็นอย่างนั้น

มันเป็นของมันเอง โดยสัญชาติญาณ ไม่มีอะไรไปปรุงแต่งมันได้ แต่คนไทยเขาเอาเจ้านกชนิดนี้ ไปเป็นคำเปรียบเทียบ กับคนไม่รู้จักบุญคุณ ดังนั้นคำว่า ‘เลี้ยงไม่เชื่อง’ ปรากฏอยู่ในพจนานุกรมฉบับล่าสุดด้วย ว่าเป็น พวกที่ ‘เนรคุณ’ พวกที่ขุนไม่ขึ้น เพราะไม่รู้จักข้าวแดงแกงร้อนของคนที่ชุบเลี้ยง อย่างนี้แหละถึงเป็นพวกเลี้ยงไม่เชื่อง!

นั่นมันเป็นเพียงนกกระจอก ซึ่งเป็นแค่นกธรรมดา แต่ในชาดกนั้น เมื่อครั้งพระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็นพญานกแขกเต้า ลงไปกินข้าวของชาวนา นอกจากกินข้าวของเขาจนอิ่มแล้ว พญานกแขกเต้ายังคาบรวงข้าว ไปฝากบิดามารดาของท่าน ที่บินออกหากินไม่ไหว แต่พญานกแขกเต้าก็ยังรู้สำนึกในบุญคุณของเจ้าของนา ที่ท่านลงมาอาศัยกินข้าวของเขาด้วย

ผมจึงแค่เห็นแย้งท่านมหาว่า พระต้องเป็นผู้เลี้ยงง่ายเท่านั้น ไม่ใช่เป็นผู้เลี้ยงไม่เชื่อง!!

ดังนั้น เมื่อท่าน ว.วชิรเมธี หรือ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี บรรยายธรรม เชิงสั่งสอนและวิพากษ์วิจารณ์การเทศนาของเพื่อนสหธรรมิก อย่างท่านพระครูวัดสระเกศ ต่อหน้าบรรดาญาติโยม และผู้รับชมทางโทรทัศน์ช่อง ASTV โดยนำพฤติกรรมนกที่เลี้ยงไม่เชื่อง อย่างกระจอกที่ชอบกินน้ำรวดเร็ว จนเขาเรียกว่า ‘เร็วเหมือนนกกระจอกกินน้ำ’ มาเป็นตัวอย่างเปรียบเทียบครั้งนี้ นั้น

ต้องขอนมัสการกราบเรียนตรงๆ ว่า หากท่านมหา ว.วชิรเมธี ยังแสดงธรรมว่า สงฆ์ต้องเป็นผู้เลี้ยงไม่เชื่อง อย่างนี้ไปเรื่อยๆ นั้น

ผมเกรงคนเขาจะตั้งฉายา ให้ท่านเป็น “มหา ว. ผู้เลี้ยงไม่เชื่อง” หรือไม่เรียกให้น่ากลัวขนาดนั้น อาจเรียกเป็น “ท่านมหานกกระจอก” หรือ “หลวงพี่นกกระจอก” เวลาฝรั่งถามถึงท่าน ลูกศิษย์ลูกหาก็อาจพากันบอก ว่า

ท่าน ว.วชิรเมธี นี่แหละ คือ ‘Sparrow Monk’ องค์จริง...เสียงจริง!

ถึงแม้ท่านจะได้รับการเรียกขาน ฉายาอย่างที่ว่านั้นแล้วก็ตาม ก็ยังขออำนวยอวยพร ให้หลวงพี่มหา ได้เจริญต่อในพระพุทธศาสนา ขอได้รับการเลื่อนสมณะศักดิ์เรื่อยๆไป จนได้เป็น ‘เจ้าคุณ’ จะได้เรียกขานกันเสียให้เต็มยศว่า “ท่านเจ้าคุณ...นกกระจอก!”

เทศน์เก่งๆอย่างนี้ โยมขออาราธนา ให้ท่านอยู่เทศนาสั่งสอนผู้คน ไปอีกนานๆ นะขอรับ!!


อย่าเพิ่งสึกหาลาเพศ ออกไปมี ‘แม่บ้าน’ เสียก่อนล่ะ...โยมเสียดายแย่เลย!!!

.................................

ท้ายบท ท่านผู้อ่านหรือนักศึกษากฎหมาย ที่สนใจเรื่องการแพทย์ ลองเข้าไปดู กาแฟขม...ขนมหวาน (๓๔) ซึ่งผมนำบทความเรื่อง ท่านพุทธทาส...ปัญหากฎหมายทางการแพทย์ ซึ่งเขียนไว้ ตอนท่านใกล้จะละสังขาร มาลงไว้และคงเป็นประโยชน์บ้าง เพราะขณะนี้ก็มีกฎหมายเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของแพทย์ อยู่ในระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น