xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 271 “ประเทศนี้กำลังมุ่งเข้าสู่ ความชุลมุนวุ่นวาย!” (อ้าว...ใครพูดน่ะ!!)

เผยแพร่:   โดย: วาทตะวัน สุพรรณเภษัช


เช้าวันนี้...จิบกาแฟขม โดยมีทาร์ทชิ้นเล็กๆที่หลานสาวทำ เป็นขนมหวานรับประทานสลับกับการสนทนากับเพื่อนเก่า ที่แวะมาหาแต่เช้าตรู่ เขาพูดกับผมว่า

ตั้งแต่มีการระเบิดเขย่าขวัญขวัญผู้คนตอนปีใหม่ เจ้าตัวนั่งเป็นกังวลอยู่หลายวัน พอได้ข่าวว่าตำรวจบุกเอาตัวพวกผู้ต้องสงสัย ว่าร่วมกันวางระเบิดได้จำนวนหนึ่งไปสอบสวน ค่อยรู้สึกโล่งอกไปได้หน่อย แต่เมื่อปรากฏภายหลังว่า การสอบสวนยังคลุมเครืออยู่ เขาก็กลับมาไม่สบายใจอีกครั้ง

ผมปลอบใจเขา ว่า

เรื่องการสืบสวนสอบสวนนั้น มันต้องอาศัยความอดทนอยู่มาก บางเรื่องนั้นดูยากก็จริงแต่อาจคลี่คลายได้โดยง่าย แต่บางเรื่องกลับตรงข้าม ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยหลายอย่าง รวมทั้งบางครั้ง ‘โชค’ ก็มีส่วนอย่างสำคัญ

ในสหรัฐอเมริกานั้น แม้มีความเจริญทางด้านเทคโนโลยี่สูง บางคราวก็ถึงทางตันเอาง่ายๆเหมือนกัน แต่บทจะจับได้ ก็เป็นเพราะคนในครอบครัว คือน้องชายของผู้ร้ายนั่นแหละ ที่ส่งข้อมูลให้กับเจ้าหน้าที่ FBI

ดังนั้น คดี ‘จดหมายระเบิด’ ที่ว่ายากเย็นแสนเข็ญ ก็ได้รับการคลี่คลายในที่สุด แต่ก็กินเวลาหลายปี สอบปากคำผู้คนนับพัน ใช้จ่ายเงินไปหลายร้อยล้านดอลลาร์ แต่พลเมืองอเมริกันก็ร่วมใจกันให้ข้อมูล เพื่อให้การสอบสวนของเจ้าหน้าที่บรรลุผลสำเร็จ เพราะเขาถือว่า เรื่องอาชญากรรมนั้นเป็นเรื่องที่คนในสังคมต้องร่วมกันต่อต้าน จะปล่อยเอาไว้ให้ทำร้ายผู้คนในชาติไม่ได้

ผมมั่นใจว่า ตำรวจไทยต้องทุ่มเทอย่างสุดความสามารถ เพราะการวางระเบิดตอนปีใหม่ มันเหมือนกับการหยามผู้รักษากฎหมายอย่างแรง คงไม่มีใครที่มีหน้าที่รับผิดชอบ จะทนนิ่งเฉยอยู่ได้

ก็หวังแต่ในทางดีว่า จะจับกุมตัวผู้กระทำความผิดได้ในไม่ช้านี้

ม้คดีระเบิดเขย่าขวัญปีใหม่ จะพอเริ่มมองเห็นทางสว่างรำไรบ้าง ไม่ตันไปเสียเลยทีเดียว แต่ผมเห็นว่า ต้นเค้าของความยุ่งยากคือ คดีพยายามวางระเบิด ลอบสังหารอดีตนายกฯ ซึ่งหนังสือพิมพ์เขาลงข่าวว่า อาจมีการยึดโยงกับเหตุการณ์ระเบิดปีใหม่ นั้น

ท่านผู้บัญชาการทหารบกซึ่งเป็นประธาน คมช.อยู่ด้วย จึงควรกำชับให้อัยการศาลทหารเร่งรัดสั่งคดีให้เร็วขึ้น เพราะตำรวจส่งสำนวนสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมดไป ก็นานเป็นเดือนๆแล้ว แต่จนบัดนี้ อัยการศาลทหารท่านก็ยังไม่สั่งคดี

ไม่ทราบว่าตอนนี้ อยู่ระหว่างขั้นตอนการตรวจสอบสำนวน หรืออยู่ในระหว่างสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติม หรือไม่อย่างไร? ที่แน่ๆคือ เงียบสนิท ไม่มีข่าวคราวแพร่ออกมา ถึงสื่อมวลชนเลย

หากมีการสอบสวนเพิ่มเติม ก็ต้องให้ผู้ใหญ่ฝ่ายตำรวจ รีบเร่งรัดพนักงานสอบสวนให้เสร็จไปโดยพลัน อย่าไปเก็บสำนวนเอาไว้ในชั้นอัยการศาลทหารนานๆ เหมือนอย่างกรณีคดีเรือขุดเอลลิคอต ที่ทาง ป.ป.ช.สอบสวนเสร็จ ส่งสำนวนให้พนักงานอัยการ ของสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินการต่อไป

ไม่น่าเชื่อว่าสำนวนเรื่องเรือขุดอัปลักษณ์นี้ ค้างอยู่ในชั้นพนักงานอัยการ ยาวนานถึง ๑ ปี ๔ เดือน พอสั่งคดีเสร็จ ส่งฟ้องผู้ต้องหาไป การพิจารณาก็กินเวลานานหลายปี จนผู้คนเขาลืมไปหมดแล้ว สุดท้ายศาลก็ยกฟ้องไป!

ได้ข่าวว่าอัยการทำขึงขังจะอุทธรณ์ แต่เรื่องนี้ก็แสดงให้เห็นว่า สำนวนการสอบสวนที่สอบโดย ป.ป.ช. ที่ว่าแน่นหนาเหนียวหนึบเหลือเกิน เหมือนทำด้วยฝีมือเทวดานั้น

เอาเข้าจริง...พอไปถึงชั้นศาลแล้วก็หลุดได้...นี่ไงตัวอย่าง!

ดังนั้น ท่านผู้อ่านอย่าไปมั่นใจตามกระแสว่า คดีการเมืองเรื่องคอรัปชั่นที่ คตส.กำลังสอบสวนอยู่ จะลงโทษผู้ถูกกล่าวหาได้แน่ๆ...คงจะต้องเผื่อใจเอาไว้ผิดหวังกันบ้าง!!

ย่างไรก็ตามผู้ที่อยู่ในวงการยุติธรรม น่าจะมีการพิจารณา แก้ไขบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ให้มีกำหนดระยะเวลาแน่ชัดว่า

สำนวนการสอบสวนที่ส่งให้อัยการแล้วนั้น พนักงานอัยการจะต้องสั่งการให้แล้วแล้วเสร็จไป ภายในระยะเวลาเท่าใด เช่นไม่เกิน ๑๘๐ วัน (หนึ่งร้อยแปดสิบวัน) เป็นต้น เรื่องราวต่างๆที่เป็นคดี จะได้ไปถึงศาลท่านในเวลารวดเร็วพอสมควร ชาวบ้านเขาจะได้รู้ว่า

เมื่อศาลพิจารณาแล้ว คนที่ถูกกล่าวหานั้น มีความผิดหรือไม่อย่างไร? มันจะได้กระจ่างกันเสียที ไม่ค้างคากันอีกต่อไป ปล่อยให้อึมครึมอย่างนี้ ก็ไมผลดีอะไรกับใครทั้งนั้น!

อยากจะขอเตือน ท่านที่มีหน้าที่รับผิดชอบ ว่า

สำนวนการสอบสวนนั้น ไม่ใช่เหล้าวิสกี้ หรือบรั่นดี ที่เชื่อกันว่าเก็บเอาไว้หลายปี รสยิ่งดี กลิ่นยิ่งหอมขึ้น แต่สำนวนการสอบสวนนั้น เก็บเอาไว้นานๆเป็นปีๆไม่ดีแน่ จะเป็นขี้ปากให้ผู้คนพูดจาว่ากล่าวเสียๆหายๆได้ง่ายๆ อย่างตอนนี้คนก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์กัน ว่า

อัยการศาลทหารคงไม่กล้าสั่งคดีช่วงนี้ กลัวไม่ถูกใจนาย จะรอให้ คมช.ลงจากอำนาจไปก่อนแล้ว จึงค่อยว่ากันอีกที!

ผมเองไม่เชื่ออย่างนั้น เพราะคิดว่าอัยการทหารมีภาระหน้าที่สำคัญ จะรักษาความเป็นธรรม ดำรงความถูกต้องของบ้านเมืองเอาไว้ แม้ผู้ต้องหานั้นจะเป็นทหารด้วยกันก็ตาม

ดังนั้น เพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้าการวิพากษ์วิจารณ์ ขอให้ท่านทำหน้าที่อย่างถูกต้อง ตรงไปตรงมา ด้วยความรวดเร็ว เพราะคดีนี้ตำรวจส่งสำนวนไปนานพอสมควรแล้ว ประชาชนเขารอฟังผลอยู่ จึงขอให้เร่งรัดสั่งคดีเสียให้เสร็จๆไปเสียที

ให้เรื่องมันแจ่มแจ้ง แดงกะแจ๋แหว รู้แล้วรู้รอดกันไปเสียที!!

อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นเหตุร้ายเกิดขึ้นในเมืองหลวงของเรา ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ และคิดว่าอาจถึงเวลาแล้ว ที่เราต้องฝึกอบรมพลเมือง ให้รู้จักการเอาตัวรอดจากการก่อการร้าย เพราะข้อขัดแย้งของคนในชาติ ที่มีมาอย่างต่อเนื่องสมัยทักษิณ จนหลังการก่อการรัฐประหาร ก็ไม่ได้มีทีท่าลดลงเลย

หากแต่ความขัดแย้งนั้น ดูเหมือนจะแผ่กว้างไพศาลมากยิ่งขึ้นอีก...หรือใครว่าไม่จริง!?

ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร รวมทั้งผู้ที่ยังจงรักกักดีต่ออดีตนายกฯ ยังซุ่มซ่อนคอยที รอจังหวะที่จะเคลื่อนไหวต่อไป ซึ่งผมก็ได้แต่หวังว่า

เมื่อทหารคืนอำนาจการปกครอง ให้กับประชาชนเจ้าของอำนาจแล้วแล้ว เหตุการณ์อาจดีขึ้น เพราะพรรคการเมืองต้องมุ่งเน้นหาชัยชนะในการเลือกตั้ง ความเคลื่อนไหวในทางทำให้บ้านเมืองแตกแยกกัน น่าจะยุติหรือเบาบางลงได้

นั่นเป็นเพียง ‘ความหวัง’ ของผมเท่านั้น แต่ยังมีบางคนที่คิดต่างออกไป โดยเฉพาะพวกโหราจารย์ ทั้งหมอดูและหมอเดา แย่งกันออกคำทำนายร้ายๆ ว่า

ต้องมีการฆ่าฟันกันขนาดใหญ่ก่อน...บ้านเมืองจึงจะสงบได้!
ตอนนี้...ผมยังไม่เชื่อตามนั้น!!


ระหว่างนี้ คณะรัฐประหารนั้นคงหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบไม่ได้ เพราะท่านล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย ต่างชาติย่อมคลางแคลงใจ ด้วยในสังคมระหว่างประเทศนั้น จะไม่มีวันที่สนับสนุนชาติใดก็ตาม ที่ยึดติดกับแนวทางปฏิวัติรัฐประหารเป็นอันขาด

ดังนั้น หลังมีเหตุการณ์ระเบิดกรุงเทพ ถึงแม้ทางกระทรวงการต่างประเทศเรียกประชุมคณะทูตานุทูต และร่วมกับนายทหารจากคณะรัฐประหาร พยายามจะอธิบายความ ว่า

บ้านเมืองของเรานั้น แม้มีเหตุระเบิด ก็ยังเป็นปกติดีอยู่ แต่ทูตขรตรีเศียรทั้งหลาย
เขาไม่ได้สนใจ ที่จะฟังเราโม้เรื่องความมั่นคงปลอดภัย เพราะพวกเขารู้ดี ว่า

สถานการณ์ที่แท้จริง ของบ้านเมืองเรานั้น เป็นอย่างไร?

บรรดาทูตทั้งหลาย โดยเฉพาะยิ่งชาติมหาอำนาจ เขามีข้อมูลข่าวสารการข่าวที่ดีกว่า ย่อมเข้าใจดีถึงสถานการณ์ หรือภยันตรายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้น เขาก็แบ่งปันข่าวสารนั้นกับบรรดาทูตานุทูตด้วยกัน หากคนของชาติเหล่านี้ จำเป็นต้องเดินทางมาประเทศเรา จะเห็นได้ว่า เขาไม่รั้งรอที่จะเตือนภัยทันที โดยไม่เสียเวลาหารือกับรัฐบาลไทยก่อนเลย

ที่น่าสนใจมากก็คือ ในวันที่กระทรวงบัวแก้วเรียกประชุมนั้น บรรดาคณะทูตต่างพากันรุมถาม ว่า

“รัฐบาลของยู จะยกเลิกกฎอัยการศึกเมื่อใด?” หรือ

“จะมีการเลือกตั้งเมื่อใดแน่?” รวมทั้ง
“เมื่อไหร่พวกคุณจะร่างรัฐธรรมนูญ เสร็จกันซะที?” อะไรทำนองนี้

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อ ๑๗ ม.ค.หยกๆนี้เอง เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา และที่ปรึกษาด้านการเมือง เข้าพบนายนรนิติ เศรษฐบุตร ประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ สอบถามว่า สภาร่างรัฐธรรมนูญจะเร่งรัด ให้การร่างรัฐธรรมนูญเสร็จก่อน ๔ เดือนหรือไม่? ซึ่งนายนรนิติฯ
ได้ชี้แจงไปว่า

ไม่สามารถดำเนินการได้ คงยากมาก หากจะทำให้เร็วกว่า ๖ เดือน เนื่องจากมีขั้นตอนจะต้องไปรับฟังความเห็นจากประชาชน

แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ว่า

แท้ที่จริงแล้ว ชาติต่างๆเขาเป็นห่วง ‘ปัญหาประชาธิปไตย’ ในบ้านเรา เพราะคณะทูตจากมิตรประเทศทั้งหลายต่างรู้ดีว่า หากขืนปล่อยให้มีการปกครองในระบอบเผด็จการทหารต่อไป ผลเสียจะมีมาก...และ

บ้านเมืองจะไม่เป็นปกติสุข อย่างที่เห็นๆกันแล้ว!

ขอบอกกัน อย่างไม่อ้อมค้อมเลย ว่า

การรัฐประหารครั้งนี้ ทำให้ประเทศของเราถูกดูแคลนในสังคมระหว่างประเทศ หลายชาติถึงกับช๊อค และทำการโต้ตอบโดยฉับพลัน เช่น สหรัฐยกเลิกการทำ FTA ทันที ไม่ฟังเสียง แต่ที่มีปฏิกิริยามากที่สุด กลับเป็นนิวซีแลนด์ สุดแดนดาวน์อันเดอร์นั่นแหละ

นอกจากเสียหายในสังคมระหว่างประเทศแล้ว ตอนนี้ใครจะว่าอย่างไรก็ตาม ผมก็ยังมองไม่เห็นผลดีอย่างเป็นรูปธรรม ต่อประชาชนอย่างชัดเจนเลย!

หวังว่า เมื่อร่างรัฐธรรมนูญที่ไม่ปรากฏร่องรอยของการสืบทอดอำนาจ เสร็จเรียบร้อยแล้ว และปล่อยให้กระบวนการประชาธิปไตยเดินต่อไป ก็จะลดเงื่อนไขความขัดแย้งของสังคมลง ชีวิตของผู้คนในประเทศนี้ จะได้กลับไปดำเนินอย่างปกติกันต่อไปเสียที

ที่สำคัญ คมช. ชุดนี้จะได้ลงจากการยึดกุมประเทศอย่างปลอดภัย ไม่ซ้ำรอยเดิมของคณะ รสช.พวกรัฐประหารรุ่นพี่

ผิดจากนี้...เป็นเรื่องอันตรายทั้งสิ้น!

ก่อนจบบทความที่เขียน ผมอยากให้ท่านผู้อ่านดูข่าวจากเว็บผู้จัดการ โดย ผู้จัดการออนไลน์ ๘ มกราคม ๒๕๕๐ พาดหัวข่าว ว่า

สื่อต่างชาติวิตกไทย ‘วุ่น’ หลัง ‘บึ้ม’!

และลงรายละเอียดดังนี้

...อินเตอร์เนชั่นแนลเฮอรัลด์ทรีบูน กล่าวในบทวิเคราะห์ข่าวว่า เหตุระเบิดกรุงเทพฯเมื่อวันสิ้นปีเก่า เป็นสัญญาณการเริ่มต้นของปีใหม่ที่ยากลำบากสำหรับประเทศไทย ในขณะที่ฝ่ายทหาร, ตำรวจ, และพวกชนชั้นนำซึ่งอยู่ในสภาพพร้อมรบ ต่างต่อสู้กันอุตลุดเพื่อควบคุมอนาคตของประเทศ

บทวิเคราะห์ข่าวนี้อ้างคำพูดของนายสุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศแห่งพรรคประชาธิปัตย์ที่มองว่า "ประเทศนี้กำลังมุ่งเข้าสู่ ความชุลมุนวุ่นวาย" โดยที่พวกกลุ่มเก่าๆ ย่อมจะต้องหาทางรวมตัวกันใหม่ โดยที่กลุ่มปกครองเวลานี้อยู่ในอาการงงงวย เมื่อตระหนักขึ้นมาใหม่ถึงความจริงที่ว่า สิ่งต่างๆ ไม่ได้สงบนิ่งอย่างที่พวกเขาคิดกัน...


ม้ผมไม่เห็นด้วย กับการปฏิวัติ-รัฐประหารพันเปอร์เซ็นต์ แต่นึกไม่ถึงเลยว่าคนอย่าง นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ ที่เคยเป็นถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาก่อน และตอนนี้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติอยู่ด้วย

จะมีความหาญกล้าเป็นอย่างยิ่ง ที่ออกมาให้สัมภาษณ์ ตอกย้ำสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศตัวเอง กับสื่อต่างชาติได้ถึงอย่างนี้!

แต่ผมคอยมาหลายวันแล้ว ก็ไม่เห็นเจ้าตัวจะออกมาปฏิเสธว่า ไม่ได้พูดตามข่าวแต่อย่างใดเลย

จึงเห็นว่า

ถ้าอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ลูกพรรคประชาธิปัตย์นายนี้ ดันโผล่ออกมา และให้สัมภาษณ์กับสื่อยักษ์ใหญ่ต่างประเทศจริงๆ อย่างที่เว็บ ‘ผู้จัดการ’ เอามาลงเป็นข่าว ซึ่งมีการถ่ายทอดไปเว็บอื่นๆด้วย เช่น เว็บ ‘คุยคุ้ยช่าว’ของคุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา เป็นต้น


จะขอบอกตรงไปตรงมาว่า ในความเห็นของผม คำพูดของนายสุรินทร์ฯนั้น ไม่ผิดอะไรกับการเอาไม้ตะพด หวดเปรี้ยงเข้ากลางแสกหน้า ทั้ง คมช. และรัฐบาลของ พล.อ.สุรยุทธ์
จุลานนท์ อย่างจัง!

รุนแรง...และหนักหน่วงเป็นที่สุด!!?


.................................
กำลังโหลดความคิดเห็น