xs
xsm
sm
md
lg

New China Insights: ทำไมจีนถึงสนใจการผงาดขึ้นมาของเวียดนาม?

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

กลุ่มบริษัทรายใหญ่สัญชาติญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ทยอยปิดโรงงานในจีน ย้ายฐานลงทุนไปยังเวียดนาม ด้วยเหตุด้านต้นทุนในการลงทุน ไปถึงเหตุความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นเนืองๆที่กระทบต่อธุรกิจ ในภาพ: ชาวจีนออกมาประท้วงหน้าร้านค้าปลีกสัญชาติเกาหลีใต้ Lotte Mart  ต่อกรณีสหรัฐฯเข้ามาติดตั้งระบบโล่ป้องกันขีปนาวุธ THAAD  ในแดนโสมขาว  (ภาพ เวยปั๋ว)
โดย ดร.ร่มฉัตร จันทรานุกุล

ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา ผู้เขียนสังเกตว่าในประเทศจีนเริ่มมีข่าวเกี่ยวกับเวียดนามในด้านของการรับการลงทุนจากต่างประเทศ รายงานตัวเลขทางการค้าและเศรษฐกิจโดยเฉพาะการเติบโตอย่างรวดเร็วของตัวเลขส่งออก และการโยกย้ายการลงทุนของบริษัทต่างชาติบางประเภทจากจีนไปยังเวียดนามในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทรายใหญ่สัญชาติญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ อย่าง Samsung,Panasonic,Nikon,Olympus,Nitto ต่างทยอยปิดโรงงานในจีน และย้ายฐานลงทุนไปยังเวียดนาม

กล่าวกันว่า เวียดนามคือตัวเลือกรองจากจีน เนื่องจากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาต้นทุนของการลงทุนในจีนของบริษัทต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านต้นทุนแรงงานและต้นทุนด้านอื่นๆ การขึ้นมาแข่งขันของบริษัทจีนที่นับวันจะแข็งแกร่งขึ้นและกลายเป็นเจ้าใหญ่ในตลาดในประเทศ นอกจากนี้กระแสประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ทยอยโยกการลงทุนไปเวียดนามนั้น มีเหตุผลอีกประการคือปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับจีน เพราะการดำเนินธุรกิจในจีนของบริษัทญี่ปุ่น และเกาหลีมักจะได้รับผลกระทบจากข่าวด้านลบหรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ค่อนข้างกระท่อนกระแท่น โดยเฉพาะระหว่างจีนและญี่ปุ่น

เมื่อเกิดเหตุขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศขึ้นมาทีไร คนจีนจะพากับแบนสินค้าหรือมีการรณรงค์ไม่ใช้สินค้าหรือบริการของประเทศนั้นๆ จีนถือว่ามีความเป็นชาตินิยมสูงเช่นกัน ตัวอย่างเช่น Lotte mart จากเกาหลีดำเนินธุรกิจในจีนมาตั้งแต่ปี 2004 และปิดตัวออกจากประเทศจีนอย่างเป็นทางการในสิ้นปี 2017 ต้นเหตุการออกจากตลาดจีนคือ รัฐบาลโสมขาวอนุมัติให้อเมริกาติดตั้งระบบโล่ป้องกันขีปนาวุธ THAAD(Terminal High Altitude Area Defense)และพื้นที่ที่ใช้ติดตั้งนี้เป็นของ Lotte Group

การติดตั้งระบบ THAAD ในเกาหลีนี้ได้รับการต่อต้านจากรัฐบาลจีนอย่างรุนแรง และมีการปั่นข่าวในประเทศสู่ภาคประชาชน ทำให้มีกระแสต่อต้านเกาหลี โดยเฉพาะการต่อต้านซื้อสินค้าที่ Lotte mart และการประท้วงบริเวณหน้า Lotte mart! ทำให้ท้ายที่สุด Lotte Group ทนกระแสต้านไม่ไหว ประกาศถอนตัวจากประเทศจีนอย่างเป็นทางการ พร้อมขายธุรกิจให้บริษัทอื่นเข้ามา Take over อันนี้เป็นแค่หนึ่งตัวอย่างของบริษัทเกาหลีที่ได้รับผลกระทบด้านการดำเนินธุรกิจในประเทศจีน จากความสัมพันธ์ที่เปราะบางระหว่างสองประเทศ

กลับมาที่เรื่องการเติบโตอย่างรวดเร็วของเวียดนามทำไมจีนถึงจับตามองอย่างใกล้ชิด? อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าหลายปีที่ผ่านมามีบริษัทต่างชาติไม่น้อยโยกย้ายการลงทุนไปเวียดนาม เหมือนเวียดนามกำลังจะขึ้นมาเป็นโรงงานโลก แทนที่จีน นักวิชาการจีนหลายสำนักต่างมีความเห็นที่ต่างกันไป บ้างก็ว่าในอีกสิบปีข้างหน้าเวียดนามจะขึ้นมาเป็นโรงงานของโลกแทนจีน บ้างก็ว่าเป็นไปได้ยากเพราะขนาดของตลาดในประเทศต่างกันลิบลับ เวียดนามพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก แต่จีนเพิ่งพาตลาดในประเทศเป็นหลัก การส่งออกเป็นรอง อีกทั้งอเมริกาคงกีดกันไม่ให้ประเทศจากโลกคอมมิวนิสต์อื่นขึ้นมายิ่งใหญ่อีก

ทั้งนี้ทั้งนั้น การเริ่มผงาดขึ้นมาของเวียดนามเป็นที่น่าสนใจ ประเทศในแถบตะวันออกเฉียงใต้ อย่างไทยเองพยายามที่จะดึงการลงทุนจากต่างชาติมาเป็นเวลาหลายสิบปี การเติบโตก็มีอย่างต่อเนื่องหรือทรงๆ ตามภาวะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศ ประเทศไทยเองการเติบโตภายในไม่หวือหวาตั้งแต่เริ่มฟื้นตัวขึ้นมาจากวิกฤตต้มยำกุ้ง แต่เวียดนามเปรียบเสมือนน้องใหม่มาแรง เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เข้าไปลงทุนในเวียดนามเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เหตุผลอีกอย่างที่จีนพยายามจับตามองเวียดนามเพราะช่วงหลังๆมานี้ดูเหมือนว่าเวียดนามจะเอนๆไปทางฝั่งอเมริกา อีกทั้งยังมีเรื่องการต่อต้านโรงงานจีนในเวียดนาม

การค้าระหว่างจีนและเวียดนามเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2018 เดือนมกราคมถึงตุลาคม การค้าระหว่างจีนและเวียดนาม มูลค่ารวม เท่ากับ 120.68 พันล้านดอลล่าร์ เพิ่มขึ้น 28% ในจำนวนนี้จีนส่งออกไปเวียดนาม 68 พันล้านดอลล่าร์ เพิ่มขึ้น 19.9% และเวียดนามนำเข้าจากจีน 52.7 พันล้านดอลล่าร์ เพิ่มขึ้น 40.5% การค้าระหว่างจีนและเวียดนามนั้น จีนได้ดุลการค้าอยู่

การนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นเยอะนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเริ่มพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตในเวียดนามต้องนำเข้าสินค้าวัตถุดิบจากจีน ทุกวันนี้จีนเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของเวียดนาม และในด้านของจีนเวียดนามเป็นคู่ค้าอันดับแปด จากตัวเลขล่าสุดปี 2018 เวียดนามรับการลงทุนจากต่างชาติ 17 พันล้านดอลล่าร์ ในจำนวนนี้สามอันดับแรกที่ลงทุนในเวียดนามมากที่สุด ได้แก่ ญี่ปุ่น 8 พันล้านดอลล่าร์ เกาหลีใต้ 7 พันล้านดอลล่าร์ และสิงคโปร์ 4.2 พันล้านดอลล่าร์ เกาหลีใต้และญี่ปุ่นเข้าไปลงทุนอุตสาหกรรมการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีขั้นกลางถึงสูง

เรามาดูในแง่ของตลาดส่งออกของเวียดนามและโครงสร้างสินค้าส่งออก ในปี 2018 อเมริกาเป็นประเทศที่เวียดนามส่งออกสินค้าไปมากที่สุด อันดับสองคือ ยุโรป และอันดับสามคือจีน ส่วนของโครงสร้างสินค้าที่ส่งออกที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ได้แก่ โทรศัพท์และอุปกรณ์ มูลค่าส่งออก 46.1 พันล้านดอลล่าร์ เพิ่มขึ้น 11.5% เสื้อผ้าและสิ่งทอ 27.8 พันล้านดอลล่าร์ เพิ่มขึ้น 17.4% คอมพิวเตอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้า 27 พันล้านดอลล่าร์ เพิ่มขึ้น 13.9% อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ 15.1 พันล้านดอลล่าร์ เพิ่มขึ้น 28.6% รองเท้า 14.5 พันล้านดอลล่าร์ เพิ่มขึ้น 9.9% ผลิตภัณฑ์จากทะเลและสัตว์น้ำ 8 พันล้านดอลล่าร์ เพิ่มขึ้น 6.1% ผักผลไม้ 3.5 พันล้านดอลล่าร์ เพิ่มขึ้น 11.6% กาแฟ 3.3 พันล้านดอลล่าร์ เพิ่มขึ้น 2.9% ข้าวสาร 2.9 พันล้านดอลล่าร์ เพิ่มขึ้น 16.8%

จากโครงสร้างสินค้าส่งออกทำให้เห็นว่าเวียดนามเปลี่ยนไป ไม่ใช่เป็นประเทศที่ส่งออกสินค้าดั้งเดิมอย่างสินค้าเกษตรชั้นต้นเท่านั้น แต่ยังพยายามพัฒนาอุตสาหกรรมโดยดึงการลงทุนและอัพเกรดสินค้าส่งออกไปสู่สินค้าอุตสาหกรรม จนถึงปัจจุบันเวียดนามมีการลงนามกรอบร่วมมือการค้าเสรีกับประเทศต่างๆ 16 ประเทศ ในจำนวนนี้มียุโรป เกาหลี ญี่ปุ่น เป็นต้น และเวียดนามยังเข้าร่วมกลุ่มการร่วมมือ CPTPP โดยจะได้สิทธิประโยชน์ทางการค้ากับยุโรป ออสเตรเลีย เอเชียแปซิฟิก ละตินอเมริกา ญี่ปุ่น แคนาคา เป็นผลทำให้เวียดนามส่งออกสินค้าไปยังประเทศเหล่านี้จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ทำให้เวียดนามยิ่งเนื้อหอมขึ้นไปอีก ปัจจุบันมีบริษัทญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งไปลงทุนทำการเกษตรที่เวียดนามและส่งออกกลับไปประเทศตัวเองแล้ว ทั้งนี้เป็นเพราะสิทธิประโยชน์ทางการค้าดังกล่าวนั่นเอง

อีกประเด็นที่เวียดนามได้แต้มต่อด้านการดึงดูดการลงทุนคือ เวียดนามกำลังอยู่ในช่วงที่ประชากรวัยแรงงานสูงถึงขีดสูงสุด เหมือนอย่างจีนในปี 2003 อายุเฉลี่ยของประชากรเวียดนามอยู่ที่ 25 ปี ในขณะที่อายุเฉลี่ยของประชากรจีนอยู่ที่ 35 ปี อีกทั้งประชากรวัยแรงงานของเวียดนามคิดเป็นสัดส่วน 70% ของประชากรทั้งประเทศ ในจำนวนการลงทุนที่เข้าไปในเวียดนามนี้ก็มีบริษัทจีนที่เข้าไปอยู่ไม่น้อย หลักๆเพราะเรื่องแรงงานในประเทศจีนที่มีต้นทุนสูงขึ้น อีกประการหนึ่งที่สำคัญเพื่อใช้สิทธิการนำเข้าส่งออกที่เวียดนามได้รับสิทธิพิเศษจากประเทศพัฒนาอื่นๆ ซึ่งบางประเทศจำกัดโควต้าจากจีน ขณะที่เวียดนามได้รับการยกเว้นฯ

จากการวิเคราะห์ตามหลักความเป็นจริงด้านทักษะแรงงานและเทคโนโลยีที่จีนมีอยู่ตอนนี้ เทียบกับเวียดนามนำไปหลายขุม เพราะจีนมีการพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเอง (จากเริ่มแรกที่ก็อปปี้)จีนกำลังเข้าสู่ยุคนวัตกรรม การใช้เครื่องจักรและเทคโนโลยีเข้ามาแทนที่ แผนยุทธศาสตร์ Made in China 2025 ที่พยายามจะทำให้จีนขึ้นมาเป็นประเทศชั้นนำด้านเทคโนโลยี เวียดนามตอนนี้เหมือนจีนในยุคทศวรรษ 90 ที่มีการเข้าไปลงทุนจำนวนมาก การส่งออกเพิ่มเป็นหลายเท่าตัว พร้อมกับการพัฒนาบุคลาการ

ผู้เขียนคิดว่าจีนไม่ได้กลัวเวียดนาม แต่กำลังตระหนักถึงการก้าวขึ้นมาของเวียดนาม จีนกำลังจับตาความเคลื่อนไหวของประเทศรอบข้าง เพื่อวิเคราะห์และประเมินผลกระทบต่างๆที่อาจจะมีต่อจีนในอนาคต ไทยเองก็ต้องตระหนักถึงเรื่องนี้เช่นกันว่า เวียดนามเพื่อนบ้านอาเซียน พัฒนาวิ่งตามตูดเรามาติดๆแล้ว ถึงเวลาต้องระดมสมองกันแล้วว่าจะทำอย่างไรให้ไทยเราไม่ถูกแซง!


กำลังโหลดความคิดเห็น