"ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ มีวิธีปฏิบัติที่เรียกว่า “การสละราชบัลลังก์” ซึ่งยุคนี้ผู้คนยังมีความเท่าเทียมกัน ทรัพย์สินทั้งหมดถือเป็นของส่วนกลาง ดังนั้นจึงไม่มีการแย่งชิงและโจรผู้ร้าย นักโบราณคดีเรียกสังคมในยุคนี้ว่า ‘สังคมเอกภาพ’"
ผู้คนจากประเทศต่าง ๆทั่วโลกต่างก็มีวิถีในการอธิบายถึงที่มาของฟ้าดินและมนุษย์ที่แตกต่างกัน ประเทศจีนก็มีเรื่องราวตำนานของผานกู่เบิกฟ้าแยกดินและเทพหนี่อัวสร้างมนุษย์ที่เล่าขานกันต่อมา ทว่า ความเจริญทางวิทยาศาสตร์ในยุคต่อมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความก้าวหน้าทางโบราณคดีและมนุษย์โบราณ รวมถึงทางธรณีวิทยา ได้เปิดเผยความลับต้นกำเนิดของแผ่นดิน และวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตในโลกมนุษย์ ปัจจุบันนี้ บรรดาผู้เชี่ยวชาญทางโบราณคดีและมนุษย์โบราณได้ขุดพบซากฟอสซิลของมนุษย์ ซึ่งมีอายุกว่า 3,000,000 ปีในทวีปอาฟริกา ดังนั้น จึงเชื่อถือกันว่าทวีปอัฟริกาเป็นสถานที่ต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์มนุษย์
สำหรับในประเทศจีนนั้น ที่อำเภออูซานในมณฑลฉงชิ่งก็ได้มีการขุดพบซากฟอสซิลโบราณของ ‘มนุษย์อูซาน’ที่มีอายุกว่า 2,000,000 ปี นอกจากนี้ ยังพบซากฟอสซิลมนุษย์โบราณจำนวนมากในบริเวณกว้างอาทิ มนุษย์หยวนเหมย มนุษย์หลันเถียน มนุษย์ปักกิ่ง และ มนุษย์ถ้ำ เป็นต้น ดังนั้น นักโบราณคดีจีนจึงได้เสนอว่า พื้นที่ในแถบเอเชียอาคเนย์ ก็เป็นแหล่งต้นกำเนิดเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ด้วยเช่นกัน
การปรากฏตัวขึ้นของมนุษย์ถือเป็นผลจากการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่ง ซึ่งได้พัฒนาตัวเองจากเผ่าพันธุ์ของวานร จากการศึกษาและค้นคว้าของนักโบราณคดีและผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับมนุษย์โบราณในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นว่า เผ่าพันธุ์วานรในยุคโบราณและมนุษย์ในยุคแรกเริ่มมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ซึ่งแนวคิดเรื่อง ‘จากวานรสู่มนุษย์’นี้ ก็ได้มีหลักฐานยืนยันมากขึ้น
ที่มาของวิวัฒนาการมนุษย์มีส่วนสัมพันธ์กันอย่างมากกับการใช้แรงงาน เนื่องจากเครื่องมือเครื่องใช้ที่มนุษย์ยุคแรกทำขึ้นเองนั้นได้แก่เครื่องมือหินกระเทาะ ซึ่งนักโบราณคดีได้ชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างเครื่องมือหินในยุคหลังที่เป็นเครื่องมือที่เกิดจากการฝนหรือลับ ดังนั้นพวกเขาจึงแบ่งยุคของการใช้เครื่องมือหินที่เกิดจากการกะเทาะนี้ว่า ยุคหินเก่า ส่วนช่วงเวลาที่มีการใช้วิธีการฝนหินในการสร้างเครื่องมือหิน เรียกว่า ยุคหินใหม่
ยุคหินเก่า
เพื่อสะดวกในการศึกษาทางโบราณคดี พวกเขายังแบ่งแต่ละยุคออกเป็น 3 ตอนได้แก่ ตอนต้น ตอนกลางและตอนปลาย โดยยุคหินเก่าที่แบ่งเป็น 3 ตอน นั้นจัดแบ่งตามลักษณะพิเศษของการยืนตัวตรงของมนุษย์ ได้แก่ มนุษย์วานร มนุษย์โบราณ และมนุษย์ยุคใหม่ ซึ่งเครื่องมือหินที่ผลิตในยุคหินเก่าตอนต้นนั้น มีลักษณะที่เรียบง่าย หยาบ หนาและหนัก รวมทั้งมีลักษณะพิเศษที่สามารถใช้เป็นเครื่องมือได้หลายชนิด เมื่อมาถึงยุคหินเก่าตอนปลายนั้น เครื่องมือหินที่ทำการผลิตออกมานั้นมีขนาดเล็กลงและหลากหลายมากขึ้น โดยแบ่งเป็นชนิดของเครื่องมือต่าง ๆ ที่ขุดพบได้แก่ ธนู หอกพุ่ง เป็นต้น ซึ่งต้องใช้เทคนิคในการขุดเจาะ อีกทั้งยังพบเครื่องมือหินส่วนหนึ่งที่เกิดจากการฝนหินหรือลับหินอีกด้วย
"จากการกินอาหารที่สุกในยุคหินเก่านี้เอง ได้ช่วยลดกระบวนการในการย่อยอาหาร ทำให้ร่างกายมนุษย์ได้รับสารอาหารที่มากขึ้น และทำให้ระบบการหมุนเวียนโลหิตเปลี่ยนแปลงไป และเร่งการเจริญเติบโตทางสมองยิ่งขึ้น มนุษย์ปักกิ่งเมื่อ 300,000 ปีก่อน มีปริมาตรสมองโดยเฉลี่ย 1,059 มล. ในขณะที่ มนุษย์ถ้ำซึ่งอาศัยอยู่ในช่วงเวลา 100,000 ปีก่อน มีขนาดสมองเฉลี่ย 1,200 - 1,500 มล. ซึ่งใกล้เคียงกับปริมาตรสมองของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน"
ในยุคหินเก่านั้น ผู้คนต้องยังชีพด้วยการเก็บผลไม้ป่าและการตกปลาล่าสัตว์ พวกเขาไม่รู้จักการสร้างบ้าน ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ร่วมกันตามโพรงถ้ำ ในยุคหินเก่าตอนต้นนั้น ผู้คนรู้จักการใช้ไฟแล้ว โดยเริ่มจากการเก็บกิ่งไม้ที่เกิดจากไฟไหม้ป่า ต่อมาภายหลังจึงรู้จักวิธีการจุดไฟด้วยตัวเอง เช่นการตีหินให้เกิดประกายไฟ การฝนไม้ให้เกิดความร้อน เป็นต้น และการรู้จักใช้ไฟนี้เองมีส่วนสำคัญต่อวิวัฒนาการของมนุษย์เป็นอย่างมาก พวกเขาเริ่มใช้ไฟส่องทาง ขับไล่สัตว์ป่าที่ดุร้าย ขับไล่ความหนาวเย็น และยังได้เปลี่ยนแปลงความเคยชินจากการบริโภคอาหารดิบมาเป็นอาหารสุกอีกด้วย
และเนื่องจากการกินอาหารที่สุกแล้วนี้เอง ยังได้ช่วยลดกระบวนการในการย่อยอาหาร ทำให้ร่างกายมนุษย์ได้รับสารอาหารที่มากขึ้น และทำให้ระบบการหมุนเวียนโลหิตเปลี่ยนแปลงไป ช่วยเพิ่มความแข็งแรงต่อร่างกาย และเร่งการเจริญเติบโตทางสมองยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น มนุษย์ปักกิ่งเมื่อ 300,000 ปีก่อน มีปริมาตรสมองโดยเฉลี่ย 1,059 มล. ในขณะที่ มนุษย์ถ้ำซึ่งอาศัยอยู่ในช่วงเวลา 100,000 ปีก่อน มีขนาดสมองเฉลี่ย 1,200 - 1,500 มล. ซึ่งใกล้เคียงกับปริมาตรสมองของมนุษย์ในยุคปัจจุบันเลยทีเดียว นอกจากนี้ ยังมีขนาดความสูงที่ใกล้เคียงกับชาวจีนทางภาคเหนืออีกด้วย ปัจจุบันนี้ ได้มีการค้นพบโบราณวัตถุในยุคหินเก่า กระจายตัวอยู่ตามพื้นที่ 20 กว่ามณฑลทั่วประเทศ อันแสดงถึงขอบเขตในการดำเนินชีวิตของคนในยุคนั้น ซึ่งกินพื้นที่กว้างขวางพอสมควรทีเดียว
ยุคหินใหม่
เมื่อถึงช่วงเวลา 10,000 ปีก่อน มนุษย์เข้าสู่ยุคหินใหม่ ซึ่งในยุคนี้ภูมิอากาศบนโลกทวีความอบอุ่นขึ้น ผู้คนทยอยกันเดินทางออกจากบริเวณป่าเขา ย้ายเข้าสู่พื้นที่ราบ เพื่อปรับตัวเองให้เข้ากับสภาพแวดล้อม ผู้คนเลือกที่จะอาศัยอยู่รวมกันเป็นชุมชนใกล้แหล่งน้ำ สร้างบ้านเรือน เริ่มผลิตเครื่องปั้นดินเผา เกิดเป็นสังคมเกษตรยุคแรกเริ่ม เริ่มต้นการดำเนินชีวิตที่เป็นหลักแหล่ง ความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคการขุดเจาะและฝนลับเครื่องมือหินมีมากขึ้น เครื่องมือที่สร้างขึ้นมีรูปแบบมากขึ้นแตกต่างไปตามวัตถุประสงค์ในการใช้งาน
จากการศึกษาของนักโบราณคดีพบว่าลักษณะการกระจายตัวของแหล่งโบราณวัตถุยุคหินใหม่ที่พบในประเทศจีน มีความคล้ายคลึงกับโครงสร้างประชากรของจีนในยุคนี้เป็นอย่างมาก โดยมีการรวมตัวหนาแน่นอยู่ในเขตริมฝั่งแม่น้ำทางภาคตะวันออก สำหรับอาหารที่ใช้ในการบริโภค หากเป็นทางตอนใต้ก็เพาะปลูกข้าว ส่วนทางตอนเหนือก็ปลูกข้าวโพด ซึ่งเมื่อ 9,000 ปีก่อน ก็เริ่มมีการเพาะปลูกข้าวแล้ว ดังนั้นจึงเป็นการบ่งบอกว่าต้นกำเนิดของข้าวในจีนไม่ได้มาจากอินเดีย
ในช่วง 8,000 ปีก่อน พวกเขาก็เริ่มรู้จักการแกะสลักหยก คิดค้นวิธีการทอผ้า เครื่องดนตรีก็มีการแบ่งเสียงเป็น 7 ระดับ โดยสามารถบรรเลงในระดับเสียงต่าง ๆได้แล้ว อีกทั้งยังพบว่ามีการแกะสลักเป็นรูปสัญลักษณ์ต่าง ๆอีกด้วย นอกจากนี้ ในบรรดาวัตถุโบราณในสมัย 7,000 ปีก่อนที่ขุดพบนั้น มีซากเรือขุดและพายที่ทำจากไม้ ซึ่งแสดงว่าได้มีการสร้างพาหนะในการเดินทางทางน้ำและได้มีการเลี้ยงวัวเพื่อใช้สอย เมื่อถึงยุคของวัฒนธรรมหยั่งเสาเมื่อ 6,000 ปีก่อน ก็ได้มีการผลิตเครื่องลายครามลวดลายต่าง ๆที่งดงาม อีกทั้งยังมีการสร้างกำแพงเมืองขนาดเล็กด้วยเทคนิคการกระทุ้งดินให้แน่นอีกด้วย เมื่อถึงยุค 5,000 ปีก่อนก็สามารถเพาะเลี้ยงตัวไหม และใช้ใยไหมมาทักทอเป็นผ้าได้ อีกทั้งยังมีความสามารถในการผลิตทองแดง และสร้างเครื่องมือสำริดชิ้นเล็ก ๆได้แล้ว
นอกจากนี้ บริเวณเมืองโบราณในแถบลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียงและแม่น้ำฮวงโห ยังได้ขุดพบหลักฐานที่เป็นตัวอักษรซึ่งมีอายุประมาณ 4,000 ปีอีกด้วย อักษรโบราณดังกล่าวจารึกเรื่องราวต่าง ๆเกี่ยวกับเทพแห่งเกษตรกรรมที่ได้เพาะปลูกธัญพืช เรื่องราวของชายาของจักรพรรดิเหลืองหรือหวงตี้(黄帝)นามเหลยจู่ (嫘祖)ซึ่งเป็นผู้คิดค้นการทอผ้า เรื่องราวเกี่ยวกับขุนนางของหวงตี้ที่ประดิษฐ์ตัวอักษร รถ เรือและสงครามระหว่างหวงตี้กับชือโหยว(蚩尤) เป็นต้น การค้นพบเหล่านี้เองได้แสดงว่าตำนานเหล่านี้ไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องที่เล่าขานกันมา พวกมันสะท้อนถึงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจีนที่มีมาแต่ครั้งโบราณกาล
มนุษย์เมื่อครั้งโบราณอยู่อาศัยร่วมกันเป็นชุมชน ดังนั้นการขุดพบแหล่งโบราณคดีในปัจจุบันจึงมักสามารถเห็นถึงสภาพความเป็นอยู่ร่วมกันของชุมชนนั้น เช่น จากการฝังศพสามารถทราบถึงลำดับในการฝัง เมื่อกาลเวลาผ่านไป จำนวนประชากรในชุมชนเพิ่มมากขึ้น ก็จะเป็นเช่นเดียวกับการแบ่งตัวของเซล ซึ่งต้องแยกตัวออกไปตั้งหลักฐานของชนเผ่ายังที่แห่งใหม่ ระหว่างพวกเขาร้อยรัดสัมพันธ์กันทางสายเลือด เกิดเป็นชุมชนที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
"อิทธิพลของชนเผ่าหัวเซี่ยขยายออกไปจนจรดมณฑลชานตงในปัจจุบัน ภายหลัง เพราะเพื่อการแย่งชิงอำนาจกัน หวงตี้และเหยียนตี้ได้ทำสงครามกันที่ปั่นเฉวียน(阪泉) สุดท้ายเหยียนตี้พ่ายแพ้ หวงตี้ซึ่งเดิมครอบครองพื้นที่ทางตอนเหนือก็แผ่ขยายอิทธิพลลงใต้ จนถึงลุ่มน้ำแยงซีเกียงและฮั่นสุ่ย ถึงตอนนี้ชนเผ่าหัวเซี่ยก็แผ่ขยายอิทธิพลออกไปอย่างกว้างขวาง ราชวงศ์หวี (虞)เซี่ย(夏)และโจว(周)ในยุคต่อมา ล้วนเป็นเชื้อสายจากหวงตี้ทั้งสิ้น"
เมื่อถึงยุคสังคมดั้งเดิมตอนปลาย ก็มีชนเผ่าต่าง ๆและชุมชนมากมายอาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินจีน นักโบราณคดีได้จัดหมวดหมู่ชุมชนเหล่านี้ออกเป็น ‘เผ่าหัวเซี่ย (华夏)’ ‘เผ่าตงอี๋ (东夷)’และ ‘เผ่าเหมียวหมาน(苗蛮)’ โดยชนเผ่าหัวเซี่ยอยู่ภายใต้การนำของหวงตี้และเหยียนตี้ (炎帝)ซึ่งแต่เดิมกลุ่มคนเหล่านี้อาศัยอยู่ในแถบมณฑลเสียซีในปัจจุบัน ต่อมาขยายอาณาเขตออกไปทางทิศตะวันออก บ่อยครั้งที่พวกเขาต้องทำสงครามกับชนเผ่าตงอี๋ที่มาจากตะวันตกและพวกเหมียวหมานที่มาจากทิศเหนือ
จากตำนานว่าด้วยสงครามที่จัวลู่ (涿鹿)หวงตี้และเหยียนตี้รบชนะชนเผ่าตงอี๋ที่นำโดยชือโหยว ทำให้อิทธิพลของชนเผ่าหัวเซี่ยขยายออกไปจนจรดมณฑลชานตงในปัจจุบัน ภายหลัง เพราะเพื่อการแย่งชิงอำนาจกัน หวงตี้และเหยียนตี้ได้ทำสงครามกันที่ปั่นเฉวียน(阪泉) สุดท้ายเหยียนตี้พ่ายแพ้ หวงตี้ซึ่งเดิมครอบครองพื้นที่ทางตอนเหนือก็แผ่ขยายอิทธิพลลงใต้ จนถึงลุ่มน้ำแยงซีเกียงและฮั่นสุ่ย ถึงตอนนี้ชนเผ่าหัวเซี่ยก็แผ่ขยายอิทธิพลออกไปอย่างกว้างขวาง ราชวงศ์หวี (虞)เซี่ย(夏)และโจว(周)ในยุคต่อมา ล้วนเป็นเชื้อสายจากหวงตี้ทั้งสิ้น
สังคมก่อนประวัติศาสตร์นั้น เนื่องจากกำลังการผลิตยังน้อย ผู้คนจึงได้แต่อาศัยการรวมพลังกันจึงจะสามารถอยู่รอดได้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องร่วมแรงร่วมใจกันทำงานและมีการแบ่งสันปันส่วนอาหาร และเพื่อการอยู่รอดอีกทั้งมีการพัฒนาต่อไปนี้เอง พวกเขาจึงต้องคัดเลือกหัวหน้าที่ฉลาด มีความสามารถและยุติธรรม เพื่อเป็นผู้นำในการผลิต และสามารถต่อสู้กับผู้รุกรานจากภายนอกอีกด้วย
คำเล่าขานในประวัติศาสตร์โบราณระบุว่า เหยา (尧)สืบทอดให้ซุ่น (舜) ซุ่นสืบทอดให้หวี่ (禹) หวี่สืบทอดให้เกาเถา (皋陶)และเมื่อเกาเถาตายลง อี้(益)ซึ่งได้รับเลือกเป็นทายาทสืบตำแหน่งหัวหน้าก็จะทำหน้าที่นำเผ่าต่อ หัวหน้าเผ่าผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ ไม่มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแต่อย่างใดเลย พวกเขาต่างได้รับเลือกจากความสามารถแท้ๆ โดยทางประวัติศาสตร์แล้วเราเรียกวิธีปฏิบัติเช่นนี้ว่า “การสละราชบัลลังก์” ซึ่งยุคนี้ผู้คนยังมีความเท่าเทียมกัน ทรัพย์สินทั้งหมดถือเป็นของส่วนกลาง ดังนั้นจึงไม่มีการแย่งชิงและโจรผู้ร้าย นักโบราณคดีเรียกสังคมในยุคนี้ว่า ‘สังคมเอกภาพ’
ชุมชนในยุคนั้น ต้องต่อสู้กับภัยธรรมชาติที่รุนแรงท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย เพื่อความอยู่รอดและการพัฒนาตัวเอง อันจะเห็นได้จากเรื่องเล่าขานโบราณเกี่ยวกับต้าหวี่ปราบอุทกภัย (大禹治水)โดยเริ่มจากสมัยเหยาที่ต้องเผชิญกับอุทกภัยครั้งร้ายแรง จึงสั่งให้กุ่น (鲧)ซึ่งเป็นบิดาของหวี่ไปหาทางแก้ไข กุ่นได้ใช้วิธีการสร้างเขื่อนกั้นน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ทว่าหลังจากทำงานด้วยความอุตสาหะอยู่ 9 ปี ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ
ดังนั้น เมื่อซุ่นสั่งให้หวี่กั้นน้ำ หวี่ที่ได้รับสืบทอดประสบการณ์จากกุ่น จึงเปลี่ยนมาใช้วิธีการขุดคลองเพื่อชักน้ำ เขามุ่งมั่นนำพาพลเมืองให้ร่วมกันแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ถึงกับไม่กลับบ้าน [三过家门而不入] เป็นเวลา 8 ปี (บ้างว่า 13 ปี) ในที่สุดก็สามารถแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเป็นผลสำเร็จ เรื่องเล่าขานนี้ได้สะท้อนถึงสภาพจิตใจของชุมชนที่ไม่หวั่นหวาดครั่นคร้ามต่อภัยธรรมชาติ
เมื่อกำลังการผลิตมีเพิ่มมากขึ้น ย่อมมีผลผลิตที่เหลือจากความต้องการ เหล่าเชลยศึกที่ถูกจับมาก็ไม่ถูกสังหาร แต่จะถูกนำตัวมาเป็นทาสเพื่อบังคับให้เป็นแรงงานในการผลิต โดยผลผลิตที่ได้จะตกเป็นของนายทาสนั้น สภาพการณ์เช่นนี้ ได้ก่อรูปรากฏการณ์สำคัญคือ การยึดกรรมสิทธิครอบครองทรัพย์สิน นักโบราณคดีได้ค้นพบว่าในวัฒนธรรมหลงซาน(龙山文化)นั้น ในการฝังศพ นอกจากโลงที่บรรจุศพนั้นแล้ว ยังมีข้าวของเครื่องใช้ซึ่งเป็นเครื่องหมายแสดงฐานะความร่ำรวยทางสังคม บางหลุมมีเครื่องปั้นดินเผาจำนวนมาก หยกหินประดับ งาช้างและเขี้ยวฟันล่างของหมู เป็นต้น บางหลุมศพมีขนาดไม่ใหญ่นักและมีเครื่องปั้นดินเผาเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีศพที่ฝังโดยไม่มีโลง อีกทั้งไม่มีสิ่งของที่ฝังพร้อมศพมาด้วย มีบ้างถึงกับถูกทิ้งอยู่ตามอุโมงค์ห้องใต้ดินหรือแม้แต่ลำห้วย
ทั้งนี้ ก็เพราะได้มีกลุ่มผู้นำจำนวนหนึ่งใช้อำนาจสิทธิพิเศษสร้างความร่ำรวย ทำให้เกิดความแตกต่างของกลุ่มคนรวยคนจน จนกลายเป็นความเหลี่ยมล้ำที่รุนแรงในสังคม สภาพโครงสร้างสังคมที่ยังเป็นยุคดึกดำบรรพ์นี้ เริ่มกลายเป็นสังคมลำดับชั้นขึ้น อันเป็นสัญญาณของการสิ้นสุดยุคสมัย ระหว่างนี้ เริ่มมีการทำสงครามแย่งชิงทรัพย์สินเงินทองและแรงงานทาสระหว่างชนเผ่าเกิดขึ้น และเพื่อป้องกันการรุกรานจากศัตรู ก็ได้มีการสร้างคูกำแพงเมือง อีกทั้งยังมีการผลิตอาวุธเพื่อเตรียมพร้อมรบทุกเมื่ออีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดกฎระเบียบใหม่ ๆ เพื่อปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์ของกลุ่มผู้นำชนเผ่าที่ได้รับสิทธิพิเศษ พวกเขาละทิ้งหลักปฏิบัติเดิมของสังคมเอกภาพ การ ‘สละราชบัลลังก์’ ถูกระบบใหม่กลืนหายสูญพันธุ์ไปในที่สุด
สังคมเอกภาพดับสูญลงเมื่อเซี่ยหวี่ตายลง บุตรชายของหวี่ก็สังหารอี้เพื่อแย่งชิงตำแหน่งหัวหน้า และเริ่มเข้าสู่ยุคแห่งการสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าโดยสายเลือดในระบบวงศ์วานว่านเครือ ซึ่งเรียกกันว่าสังคมกินดีอยู่ดี จากนั้นมา ประวัติศาสตร์จีนก็ก้าวเข้าสู่ราชวงศ์แรกที่มีการสืบทอดบัลลังก์อำนาจโดยสายเลือด นั่นคือ สมัยราชวงศ์เซี่ย (夏代).