ทุกการเดินทางตลอดเส้นทางนั้น มักมีเรื่องราวต่างๆ มากมาย ให้นักเดินทางได้จดจำ ทั้งเรื่องราวน่าประทับใจ แต่ก็มีบางคนที่ไม่ได้โชคดีทุกครั้งในการเดินทาง เพราะก่อนที่จะไปพบกับความสนุกที่รออยู่เบื้องหน้า อาจเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ประทับใจขึ้น จนทำให้หมดสนุกก็เป็นได้
วันนี้ Celeb Online จะพาไปฟังประสบการณ์จริงจาก 3 เซเลบนักเดินทาง ที่ระหว่างการท่องเที่ยวได้เจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ตามมาดูว่าเกิดอะไรกันบ้าง?
เพราะทุกการเดินทางคือการพักผ่อนเพื่อชาร์จพลังงานชีวิตให้กับตัวเอง จึงทำให้สาวนักเดินทางสุดสตรอง “แก้ว-ปัทม์ บุญเดช” เซเลบสาวมากความสามารถ ผู้ตกหลุมรักการท่องเที่ยวรอบโลกเป็นชีวิตจิตใจ แต่เมื่อปีที่แล้วที่เธอบินไปเที่ยวสเปน พอถึงสนามบินกลับพบว่ากระเป๋าเดินทางของตัวเองโดนงัด ทำให้สูญเงินไปกว่าหนึ่งหมื่นบาท
“ด้วยความที่เราเช็คอินกระเป๋าเดินทางล่วงหน้านานถึง4 ชั่วโมง จึงเป็นโอกาสของมิจฉาชีพ ที่จะใช้วิธีงัดกระเป๋าเดินทางของเราได้ ตอนแรกพอเห็นว่ากระเป๋าโดนงัดก็ตกใจ รีบตรวจสอบข้าวของในกระเป๋าทันที ปรากฏว่ากำไลแขนที่คล้ายจิวเวลรี่ ราคาประมาณหมื่นต้นๆ ที่อยู่ในกล่องโดนขโมยไป แต่ก็ยังโชคดีที่ทรัพย์สินราคาแพงอย่างอื่นในกระเป๋า ไม่โดนขโมยไปด้วย”
สาวแก้วเล่าต่อว่า วินาทีที่กระเป๋าถูกงัด ตัวเธอตั้งสติแล้วเดินไปแจ้งเจ้าหน้าที่ของสายการบินที่เคาน์เตอร์ทันที แต่แล้วก็ไม่เป็นผล เพราะสุดท้ายก็ไม่ได้ของในกระเป๋ากลับคืนมา ดังนั้น ทุกครั้งเวลาไปเที่ยวต่างประเทศทุกคนต้องวางแผนให้ดี
“หลังจากที่กระเป๋าถูกงัดเราจึงแก้ปัญหาด้วยการซื้อพลาสติกอีกชั้น เพื่อมาคลุมกระเป๋าเดินทาง หรือถ้าต้องการปลอดภัยขั้นสุด ควรไปใช้บริการแพคกระเป๋าเดินทางที่สนามบิน ซึ่งจะมีความแน่นหนาและปลอดภัยมากที่สุด นอกจากนี้ ควรซื้อประกันการเดินทางไว้ทุกครั้งเวลาเดินทางไปต่างประเทศ เพราะมันจะมีประโยชน์กับเรามาก เวลาที่สายการบินล่าช้า หรือช่วงที่มีการต่อเครื่องบินอีกที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง” เซเลบสาวนักเดินทางแนะนำ
สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย ที่มักประสบปัญหาตกรถไฟในประเทศแถบยุโรป แก้วแนะนำว่า ควรเช็คตารางรถไฟที่จองไว้ในอีเมลอยู่ตลอด เพราะรถไฟที่ยุโรปจะมีการเปลี่ยนเที่ยวทุกสองชั่วโมง และไม่ควรมาถึงชานชาลาก่อนรถไฟออกเพียงแค่ครึ่งชั่วโมง เพราะจะทำให้พลาดรถไฟขบวนนั้นได้
“รถไฟที่ประเทศในแถบยุโรปจะมีการเปลี่ยนแปลงการเดินรถทุก2ชั่วโมง ถึงแม้ว่าเราจะจองไปแล้วก็ตาม ต้องหมั่นคอยเช็คอีเมลตลอดเวลา ถึงแม้รถไฟขบวนนั้นเลื่อนการเดินทาง แต่เขาก็จะให้เราไปขึ้นขบวนอื่นแทน ส่วนสาเหตุที่คนไทยมักตกขบวนรถไฟที่ยุโรปบ่อยๆ คือ ไม่ค่อยเช็คอีเมลและไปถึงสนามบินก่อนเวลารถไฟออกเพียง 30 นาที ซึ่งพอไปถึงก็จะพบกับความผิดหวังตลอดเวลา ดังนั้น เราควรไปถึงที่ชานชาลาก่อนรถไฟออกสัก1ชั่วโมง จะได้มีเวลาวางแผนการเที่ยวและไม่ตกขบวนรถไฟอีกด้วย”
ส่วนน้องนุชสุดท้องแห่งบ้านอิสสระ “ปลาเข็ม-กรัชเพชร อิสสระ” ทายาทตระกูลอสังหาริมทรัพย์ระดับต้นของเมืองไทย เจ้าของแบรนด์ “KEMISSARA” ที่เธอเป็นทั้งเจ้าของและดีไซเนอร์เอง จึงไม่น่าแปลกใจที่สาวอาร์ตอย่างเธอ ต้องตกหลุมรักการท่องเที่ยว เพื่อมาเป็นไอเดียในการสร้างสรรค์แบรนด์เสื้อผ้าของตัวเอง และการเดินทางแต่ละครั้งก็ใช่ว่าจะราบรื่น เพราะสภาพอากาศที่แปรปรวน จึงทำให้เธอต้องนอนค้างที่สนามบินที่เยอรมนีถึง1คืนเต็ม แบบไม่มีสัมภาระใดๆ นอกจากตัวเธอและกระเป๋าใบจิ๋ว ที่พกติดตัวไว้ตลอด
“เป็นประสบการณ์อันเลวร้ายที่ไม่มีวันลืมคือ เข็มเดินทางไปงานแต่งานเพื่อนที่สเปน เมืองมายอก้า ตอนนั้นต้องนั่งเครื่องบินไปลงที่แฟงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี เพื่อต่อเครื่องไปมายอร์ก้า แต่ปรากฏว่าสภาพอากาศวันนั้นเลวร้ายจนเครื่องไม่สามารถลงจอดที่สนามบินแฟงก์เฟิร์ตได้ กัปตันจึงต้องนำเครื่องบินวนไปลงอีกสนามบินหนึ่ง เพื่อรอให้อากาศที่แฟรงเฟิร์ตดีถึงนำเครื่องบินมาลงจอดที่เดิม ปรากฏว่าตอนนั้นทั้งที่ถึงที่หมายแล้วแต่เราก็ใช้เวลาอีก 2ชั่วโมง กว่าเครื่องจะลงจอดได้ปลอดภัย และในวันนั้นเราจึงต้องรอเที่ยวบินที่จะไปมายอร์ก้า ทำให้ต้องนอนค้างโรงแรมใกล้ๆ กับสนามบินแบบไม่มีกระเป๋าเดินทาง เพราะกระเป๋าเดินทางตราบใดที่ยังไม่ถึงที่หมายก็จะยังนำออกมาไม่ได้ และต้องรีบตื่นแต่เช้าเพื่อมารอไฟล์ทบินไปมายอร์ก้า”
ปลาเข็มเล่าถึงวินาทีที่รู้ว่าตัวเองต้องพลาดเที่ยวบินที่จะบินไปมายอร์ก้า ในวันที่เดินทางมาถึงสนามบินแฟรงก์เฟิร์ตว่า ทำไมต้องเป็นเธอที่ตกเครื่อง และถ้าไปสนามบินไม่ทันที่นัดหมายกับเพื่อนๆ อีกกลุ่มหนึ่งไว้ที่สนามบิน เธอคงรู้สึกแย่ไปตลอด ดังนั้น หญิงสาวจึงตั้งสติและรีบเดินทางมาสนามบินแต่เช้าตรู่ เพื่อมาจองเที่ยวบินแรกที่จะไปมายอร์ก้าให้ได้ ถึงแม้จะต้องใช้อุบายหลอกล่อ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อไปให้ทันนัดหมายกับเพื่อนก็ยอม
“เข็มนัดเพื่อนอีกกลุ่มไว้ที่สนามบิน ว่าจะไปรับรถเที่ยวกันก่อนที่จะไปงานแต่งงาน และในกลุ่มมีเข็มคนเดียวที่ขับรถเป็น ดังนั้น ถ้าเราไปถึงที่หมายช้าก็อาจทำให้เพื่อนๆ รอนาน หรือไม่ได้กิจกรรมนั้นเลย และเพื่อนบางคนก็บินมาจากประเทศอังกฤษ ดังนั้น วันรุ่งขึ้นเข็มต้องตื่นแต่เช้าเพื่อกลับมาที่สนามบินแฟงก์เฟิร์ต เพื่อรอจองตั๋วเที่ยวบินเช้าสุดที่จะไปมายอร์ก้า เพราะก่อนหน้านี้มีการแจ้งว่าเราจะได้เที่ยวบินรอบเย็น เพราะฉะนั้น เราต้องทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้เที่ยวบินเช้าสุด เข็มจึงใช้วิธีบอกเจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์ว่า จะไปงานแต่งงาน แต่ถ้าบอกว่างานแต่งงานเฉยๆ คงไม่ได้ เข็มจึงดราม่าต่อว่าจะรีบไปงานแต่งงานของตัวเอง ถ้าได้เที่ยวบินช่วงเย็นอาจไม่ทันงาน เจ้าหน้าที่ก็เลยให้เราได้เที่ยวบินแรกของวัน และไปทันนัดหมายกับเพื่อนๆ ที่สนามบินพอดี” หญิงสาวเล่าวินาทีแสนตื่นเต้นที่ไม่มีวันลืมเลือน
ปิดท้ายที่เซเลบสาวขาลุย “โบว์-มนต์ริสสา ลีนุตพงษ์” ที่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า ตั้งแต่เดินทางไปเที่ยวมาเกือบครึ่งโลกแล้ว ยังไม่มีการเดินทางครั้งไหนที่ทำให้เธอต้องเสียน้ำตา เท่ากับทริปล่าสุด ที่เธอและเพื่อนไปเที่ยวฝรั่งเศส มันทำให้เธอได้บรรลุสัจธรรมที่ว่า บางอย่างมันก็เป็นเพียงภาพลักษณ์ลวงตาเท่านั้น
“ล่าสุด โบว์กับเพื่อนเพิ่งไปเที่ยวที่ฝรั่งเศส และเป็นครั้งแรกที่โบว์ร้องไห้ เพราะไม่รู้จะบอกพ่อกับแม่ที่อยู่เมืองไทยอย่างไร เวลาที่ท่าน โทร.มาถามว่าเที่ยวสนุกไหม เพราะเพียงแค่ภายใน24 ชั่วโมงที่ประเทศฝรั่งเศส โบว์พบเจอเรื่องเลวร้ายมากมาย เริ่มตั้งแต่โดนหลอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ให้ซื้อตั๋วรถไฟ แต่พอจะใช้บัตรเพื่อขึ้นรถไฟกลับใช้ไม่ได้ ทำให้เราต้องเสียเงินไป 26 ยูโร หรือคิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 3,000 บาท และพอนั่งรถไฟไปถึงฌ็องเซลิเซ่ (Champs Elysees) ซึ่งแหล่งรวมสินค้าแบรนด์ดังระดับโลกทุกแบรนด์ เราตั้งใจจะไปซื้อกระเป๋าหลุยส์ใบใหม่ และบังเอิญว่าเจอแหวนที่โชว์ในร้านเดียวกัน ซึ่งสวยมาก และด้วยความที่เราไม่ใช่นักชอปตัวยง จึงไม่รู้ว่าแหวนที่เราซื้อเขาขายยกเซ็ต3วง แต่ปรากฏว่าเราได้เพียงแค่วงเดียว แต่พอกลับไปที่ทางร้านเขาก็เอาแหวนในเซ็ตอีก2วงที่เหลือคืนให้ บนความมึนงงของเราว่า ฌ็องเซลิเซ่ เป็นสถานที่ขายของซูเปอร์ระดับโลก แต่มีเหตุการณ์แบบนี้ด้วยหรือ”
โบว์เล่าต่อว่า นี่เป็นแค่ความไม่ประทับใจครึ่งวันแรก พอนั่งรถไฟกลับมาถึงโรงแรมที่พัก เธอจึงเปลี่ยนมาใช้กระเป๋าหลุยส์ใบใหม่ แต่แล้วกระเป๋าใบใหม่ที่เพิ่งซื้อมา กลับเลอะน้ำจากอาหารที่พนักงานบริการของร้านกำลังเดินเสิร์ฟอาหาร โดยไม่มีการกล่าวคำขอโทษแต่อย่างใด
“คือความซวยนี้เริ่มตั้งแต่ก่อนออกจากโรงแรม ฝนตกหนัก เราจึงเอาพลาสติกคลุมกระเป๋าใบใหม่ แต่พอไปถึงร้านอาหารที่ขึ้นชื่อที่สุดของปารีส ปรากฏว่าเด็กเสิรฟ์ทำน้ำที่มันมีกลิ่นเหม็นฉุนหกเลอะใส่กระเป๋าโบว์ แถมยังไม่ขอโทษแล้วเดินผ่านหน้าเราไปอย่างเฉยเมย”
เมื่อกลับถึงโรงแรมที่พักอันเป็นโรงแรมระดับห้าดาวของปารีส ค่าห้องพักคืนละหลายหมื่นบาท เพื่อที่จะละลายความเหนื่อยล้ามาตลอดทั้งวัน ลงบนที่นอนอันแสนนุ่ม แต่สิ่งที่ได้รับต้องทำให้เธอและเพื่อนถึงกับอึ้ง ในการบริการและความสะอาดภายในห้อง
“พอเราอาบน้ำเสร็จเพื่อจะล้มตัวลงนอน ปรากฏว่าทางโรงแรมไม่ได้เปลี่ยนเตียงและผ้าปูที่นอน เพราะมีเศษเส้นผมสีดำตกอยู่ใต้หมอนเยอะมาก เมื่อโทร.ให้พนักงานโรงแรมขึ้นมาเปลี่ยนให้ เขากลับนำที่นอนพร้อมผ้าปูอันใหม่มาให้เราปูนอนเองกับพื้น คือเราเสียค่าที่พักคืนละเป็นหมื่น แต่กลับต้องปูที่นอน นอนกับพื้น” หญิงสาวเล่าด้วยน้ำเสียงคับแค้นใจ
โบว์เล่าด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า ที่ผ่านมาไม่เคยคิดว่าประเทศไทยปลอดภัยมาก่อนเลย กระทั่งที่เธอไปเที่ยวประเทศฝรั่งเศสล่าสุด ถึงได้ตรัสรู้ว่าประเทศไทยมีความปลอดภัยกว่าปารีส เมืองอันแสนศิวิไลซ์มากมาย
“ตลอดเวลาที่อยู่ในปารีส โบว์ใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวังตลอด แม้กระทั่งเวลาเดินยังต้องเดินเป็นแบบสามเหลี่ยม ต้องคอยระวังกระเป๋าไม่ให้โดนล้วง หรือโดนกรีด เรียกว่าใช้ชีวิตด้วยความหวาดระแวงตลอดเวลา ซึ่งเราเคยมาปารีสเมื่อ3-4 ปีที่แล้ว ยังไม่น่ากลัวเท่ากับเวลานี้เลย”
แต่เมื่อถามว่าโดนหนักขนาดนี้ ครั้งหน้ายังจะเลือกไปเที่ยวประเทศฝรั่งเศสอีกไหม หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ว่า คงจะไปเยือนฝรั่งเศสอีก แต่คงไม่ไปเที่ยวในเมืองใหญ่ๆ อีกเป็นแน่ ขอเดินทางไปเที่ยวในสถานที่ห่างไกลเมือง แล้วได้พบกับความสดใสจากการเดินทางที่แท้จริง
