“จุรินทร์” สวมบทหัวหน้าทีมเซลส์แมน นำคณะภาครัฐและเอกชนเดินทางขยายตลาดส่งออกใน 10 ประเทศเป้าหมาย หวังเพิ่มยอดส่งออกเร่งด่วน พร้อมเดินหน้าขยายโอกาสทางการค้าให้แก่ผู้ประกอบการไทย ทั้งปั้นแบรนด์ไทย ส่งเสริมธุรกิจบริการ ดันเอสเอ็มอี สตาร์ทอัพ ส่งออก คาดยอดส่งออกทั้งปีมีโอกาสพลิกบวก
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านการพาณิชย์ (กรอ.พาณิชย์) ครั้งที่ 2/2562 ว่า ที่ประชุมได้หารือถึงการเพิ่มตัวเลขการส่งออกอย่างเร่งด่วน ภายใต้สถานการณ์ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า Brexit และค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยได้ข้อสรุปร่วมกันว่าอย่างน้อยในช่วงระยะเวลาจากนี้ไปจะบุกตลาดไปด้วยกันทั้งภาครัฐและเอกชนใน 10 ตลาดใหญ่ที่เห็นว่ามีศักยภาพ ประกอบด้วย ตลาดจีน อินเดีย ตุรกี เยอรมนี ศรีลังกา บังกลาเทศ ตะวันออกกลาง แอฟริกาใต้ อังกฤษ ยุโรป เป็นต้น
“จะบุกตลาดเป้าหมายทั้ง 10 ตลาดให้มากขึ้น เพราะยังมีศักยภาพที่จะนำเข้าสินค้าจากไทยได้อีก และยังได้สั่งการให้ทูตพาณิชย์ของไทยในประเทศต่างๆ หาลู่ทางการส่งออกสินค้าและบริการในตลาดใหม่ที่มีศักยภาพให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยเน้นเป็นรายมณฑล รายรัฐ และเมืองรองให้มากขึ้น ซึ่งจะมุ่งไปที่สหรัฐฯ จีน และอินเดีย เพราะสินค้าของไทยส่วนใหญ่ยังเข้าไปไม่ถึงเมืองรอง หรือมณฑลห่างไกลเลย”
นอกจากนี้ จะเดินหน้าผลักดันสินค้าที่ตราสัญลักษณ์ของไทย หรือแบรนด์ของไทยให้มากขึ้น เพื่อสร้างการรับรู้และการจดจำของผู้ซื้อในต่างประเทศ ผ่านโครงการจัดงานแสดงสินค้า Top Thai Brand ในประเทศต่างๆ, การส่งเสริมธุรกิจบริการใหม่ๆ เช่น ค้าปลีก, โลจิสติกส์, บริการก่อสร้าง ออกแบบ และตกแต่งภายใน, ธุรกิจบันเทิง รวมถึงธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ เพื่อขยายการส่งออก, การกระชับความสัมพันธ์ของภาคเอกชนไทยกับเอกชนของประเทศต่างๆ, การสนับสนุนผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก (เอสเอ็มอี) และผู้ประกอบการหน้าใหม่ (สตาร์ทอัพ) ให้สามารถส่งออกได้ และเร่งส่งเสริมการค้าชายแดน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม มองว่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้การส่งออกในภาพรวมน่าจะยังขยายตัวเป็นบวก และยังมีโอกาสที่การส่งออกทั้งปีจะขยายตัวเป็นบวกได้
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวว่า หากไตรมาสสุดท้ายของปีนี้มูลค่าส่งออกต่อเดือนได้ที่ 22,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ก็จะทำให้ไตรมาส 4 เป็นบวกได้ และทั้งปีจะขยายตัวได้ 0% ซึ่งมีความเป็นไปได้สูง เพราะช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีเป็นช่วงของการสั่งซื้อสินค้าเพื่อเตรียมไว้ขายในช่วงเทศกาลคริสต์มาส และปีใหม่