xs
xsm
sm
md
lg

เอชเอฟ มาร์เก็ต แนะนักลงทุนบริหารพอร์ตโฟลิโอป้องกันตลาดผันผวน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เอชเอฟ มาร์เก็ต มองผลกระทบจากสงครามการค้าอาจเกิดขึ้นได้สามหน้าทั้งผลกระทบเชิงบวก กลางๆ และเชิงลบ โดยให้น้ำหนักว่าทั้งสหรัฐฯ และจีนจะสามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ แต่ยังต้องจับตาประเด็นเรื่องกีดกันทางเทคโนโลยี เช่นเคสของกูเกิลยกเลิกสนับสนุนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์อาจทำให้ความคลุมเครือยังคงมีต่อไป แนะนักลงทุนบริหารพอร์ตโฟลิโอ อย่าลงทุนทั้ง 100% ของพอร์ตป้องกันความผันผวนของตลาดที่เกิดขึ้นจากข่าว และมองหาสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับภาวะตลาด

นายณพวีร์ พุกกะมาน ผู้บริหารส่วนภูมิภาค เอชเอฟ มาร์เก็ต กล่าวว่า หลังจากที่สหรัฐฯ และจีนได้ออกมาตอบโต้กันในประเด็นสงครามการค้า (Trade War) ตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคมที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐจากเดิมที่อัตรา 10% เพิ่มขึ้นเป็น 25% และทางรัฐบาลจีนได้โต้ตอบคืนเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม จีนประกาศตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐฯ มูลค่าราว 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในอัตรา 5-25% เช่นกัน มีผลทำให้ตลาดการเงินมีความผันผวนอย่างหนักโดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ และจีน รวมถึงค่าเงินหยวน

ทั้งนี้ ดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯ และ Shanghai Composite ของจีน ปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงแรก ก่อนจะมีการฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยตามข่าวที่สองประเทศกำลังเจรจาแก้ไขปัญหาดังกล่าว แต่ยังถือว่าอยู่ในแดนลบหลังจากมีข่าว ส่วนค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ และเงินหยวนของจีนต่างอ่อนค่าลงเช่นกัน รวมถึงตลาดหุ้นทั่วโลกและสินค้าโภคภัณฑ์ต่างมีความผันผวนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะบริษัทในสหรัฐฯ ยุโรป และจีน ที่มีการค้าขายระหว่างกัน

ทั้งนี้ สถานการณ์ในอนาคตของสงครามการค้ามีโอกาสเกิดขึ้นได้สามหน้า คือ ข้อแรก ทั้งสองฝ่ายสามารถเจรจาข้อตกลงกันได้ลงตัวซึ่งอาจจะเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนมิถุนายนนี้ที่การประชุม G20 ซึ่งหากออกหน้านี้ตลาดการลงทุนทั่วโลกจะฟื้นตัวกลับขึ้นมาเพราะถือเป็นแนวโน้มเชิงบวก

ข้อสอง ทั้งสองฝ่ายยังคงไม่เปลี่ยนแปลงมาตรการด้านภาษีและการกีดกันทางการค้าตามที่ได้ประกาศออกไป แต่ไม่มีการประกาศมาตรการใดๆ เพิ่มเข้ามาอีก ตลาดหุ้นทั่วโลกจะไม่ผันผวนไปมากกว่านี้ แต่หากเกิดข้อสามคือสหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มเติมอีก 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐเป็น 25% ตามคำขู่ จะเกิดผลลบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม การที่สหรัฐฯ หันมาใช้กลยุทธ์ตัดการสนับสนุนทางด้านเทคโนโลยี เช่น ให้บริษัทกูเกิลยกเลิกการสนับสนุนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์แก่สมาร์ทโฟนของหัวเว่ย อาจทำให้สถานการณ์ความตึงเครียดคลุมเครือมากขึ้นเพราะถือเป็นประเด็นใหม่นอกเหนือจากเรื่องภาษี และสองประเทศนี้มีการแลกเปลี่ยนทางด้านเทคโนโลยีค่อนข้างมาก นักลงทุนยังต้องจับตาประเด็นนี้อย่างใกล้ชิดด้วย

“หากวิเคราะห์ในเชิงการเมือง โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศใช้นโยบายภาษีและกีดกันการค้าเพื่อหวังผลในด้านคะแนนนิยม เพราะเขาชูนโยบาย American First แต่พอถึงเวลาจริงอาจจะไม่ได้ประกาศใช้จริงก็ได้ เพราะที่ผ่านมาเขาก็เพียงแค่โพสต์ผ่านทวิตเตอร์ เนื่องจากหากเกิดสงครามการค้าจริงอาจจะกระทบฐานเสียงของพรรครีพับลิกันที่เป็นนักธุรกิจ และปีหน้า (2020) สหรัฐฯ จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีอีกครั้ง”

อย่างไรก็ตาม การเมืองระหว่างประเทศถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมได้ยาก นักลงทุนควรติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดและป้องกันความเสี่ยงในการลงทุนเสมอ เช่น ไม่ลงทุนเกินตัว ต้องรู้จักการบริหารพอร์ตโฟลิโอให้สามารถรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากความผันผวนของตลาด ขณะเดียวกันต้องมองหาสินทรัพย์การลงทุนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ เช่น ทองคำ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่เหมาะสมในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นมีข่าวลบ รวมถึงสามารถใช้ตราสารอนุพันธ์ป้องกันความเสี่ยงและเก็งกำไรเพราะสามารถเทรดได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง
กำลังโหลดความคิดเห็น