xs
xsm
sm
md
lg

ไชนีสแบรนด์เร่งขยายตลาด “ทีซีแอล-สกายเวิร์ท-ไฮเออร์” โหมเจาะเครื่องใช้ไฟฟ้าในไทย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


สามแบรนด์ยักษ์เครื่องใช้ไฟฟ้าจากจีน “ทีซีแอล-สกายเวิร์ท-ไฮเออร์” เร่งขยายตลาดเอเชียและไทย หลังสงครามการค้าจีนกับอเมริการุนแรง หวังขยายฐานตลาดให้มากขึ้น ขณะที่ตลาดในไทยล้วนเป็นตลาดเป้าหมายที่สำคัญ เล็งขยายไลน์สินค้าใหม่ๆ บุกตลาดเพิ่ม

ภาวะเศรษฐกิจของโลกอาจจะต้องผันผวนและได้รับผลกระทบมากขึ้น หากสงครามการค้าระหว่าง 2 มหาอำนาจเศรษฐกิจของโลกอย่างจีนกับอเมริกาที่ฟาดฟันกันอยู่ในขณะนี้ยืดเยื้ออีกนาน คงดูไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ


สินค้าแบรนด์จีนจำนวนมากก็ทำตลาดอยู่ในอเมริกา ย่อมอาจจะได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อย ซึ่งกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าก็มีหลายแบรนด์จากจีนที่ทำตลาดในอเมริกา และบางแบรนด์ก็เป็นตลาดที่ใหญ่ด้วยซ้ำไป
อย่างไรก็ตาม ในภาวะเช่นนี้ทุกแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าก็ต้องระมัดระวังในการทำตลาดกับอเมริกา ขณะเดียวกันก็ต้องพยายามขยายตลาดใหม่ๆ เพื่อเป็นลูกค้าทดแทนในกรณีที่ถูกอเมริกาปิดกั้น

“ทีซีแอล” โหมไทย-ขยายไลน์สินค้า
ทั้งนี้ ทีซีแอลถือเป็นแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าจีนแบรนด์หนึ่งที่มีตลาดอเมริกาเป็นตลาดใหญ่ที่ 2 ของโลกรองจากตลาดในจีนเอง จึงน่าจะเป็นหนึ่งแบรนด์ที่ต้องการขยายตลาดใหม่ๆ ทั้งนี้ แหล่งข่าวจาก บริษัท ทีซีแอล อิเล็กทรอนิกส์ (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า ทีซีแอลมองหาตลาดใหม่ๆ ที่น่าสนใจและมีศักยภาพมากจะขยายมากขึ้นแม้ว่าจะเกิดสงครามการค้าระหว่างจีนกับอเมริกาหรือไม่ก็ตาม เพราะทีซีแอลต้องการขยายตลาดสู่ตลาดโลกให้มากขึ้น โดยเฉพาะในยุโรปและเอเชีย


ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้ทีซีแอลก็เร่งขยายไปหลายประเทศแล้ว ตั้งแต่เวียดนามที่เป็นประเทศแรกและเป็นตลาดที่ใหญ่พอสมควรของทีซีแอล ทำตลาดในไทยประมาณ 4 ปีที่ผ่านมา ก่อนขยายไปที่ฟิลิปปินส์ และล่าสุดเมื่อปลายปีที่แล้วขยายตลาดเข้าสู่ลาว


สำหรับตลาดประเทศไทย เป็นอันดับที่ 2 รองจากเวียดนาม ยังอยู่ในช่วงของการทำตลาดก็ว่าได้ โดยช่วงแรกทำตลาดเฉพาะทีวีเท่านั้น ต่อมาได้ขยายเป็นสินค้ากลุ่มแอร์เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มก็ถือว่าไปได้ดี ผู้บริโภคคนไทยให้การยอมรับสินค้าจากจีนมากขึ้น สังเกตได้จากปัจจุบันนี้มีสินค้าเทคโนโลยีจากจีนและไทยจำนวนมาก


เอเชียและไทยเป็นตลาดที่ทีซีแอลให้ความสำคัญมากขึ้น โดยในไทยมีแผนที่จะขยายตลาดและสินค้ากลุ่มใหม่ๆ ต่อเนื่อง อย่างเช่น ตู้เย็น และเตาอบไมโครเวฟ เพื่อตอบรับความต้องการของผู้บริโภคไทยที่เพิ่มขึ้น นอกจากนั้นก็ยังจะขยายตลาดทีวีจากเดิมที่ทำอยู่แล้ว จะรุกเข้าสู่กลุ่มไฮเอนด์มากขึ้น ด้วยระดับราคาเกิน 30,000-50,000 บาทขึ้นไป ขนาด 85 นิ้วขึ้นไป โดยที่ไม่ได้มีการจำหน่ายในไทย แต่หากลูกค้าต้องการก็สามารถนำเข้ามาได้ ส่วนรุ่นระดับกลางที่ทำอยู่แล้วก็จะเปิดตัวซีรีส์ใหม่ที่เป็นทีวีแอนดรอยด์มิถุนายนนี้ ส่วนกรกฎาคมจะนำเข้ามาอีก 1 รุ่นเป็นซีรีส์เดียวกันแต่พรีเมียมมากกว่า ราคามากกว่า


“ที่ผ่านมาทีวีของทีซีแอลมียอดขายที่เติบโตต่อเนื่อง จากมูลค่าตลาดรวมทีวีในไทยประมาณ 10,000 ล้านบาท เช่นเดียวกับตลาดแอร์ของทีซีแอล ตอนนี้มีลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่ๆ ที่ซื้อสินค้าโดยมองถึงคุณค่า คุณภาพและนวัตกรรมเป็นหลัก โดยเรื่องแบรนด์เป็นเรื่องรองลงมา ซึ่งสินค้าจีนเองก็เป็นที่ยอมรับมากขึ้นแล้วเพราะมีเทคโนโลยีที่ดี ราคาก็ไม่แพงจนเกินไป” แหล่งข่าวกล่าว


ขณะที่ก่อนหน้านี้ นายทอมมี่ หยาง กรรมการู้จัดการ บริษัท ทีซีแอล อิเล็กทรอนิกส์ (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวไว้ว่า ทีซีแอลจะใช้กลยุทธ์ตลาดเพื่อขยายตลาดระดับกลาง-บนมากขึ้น ด้วยการเปิดตัวทีวีรุ่นใหม่ 3 รุ่น ซึ่งเปิดตัวกลุ่มสมาร์ททีวี ขนาด 32 นิ้วขึ้นไป ถึง 55 นิ้ว ราคา 7,490-17,990 บาท จากเดิมที่ก่อนหน้านี้ทางทีซีแอลเน้นตลาดล่างเป็นหลัก ทำให้ยอดขายในตลาดต่างจังหวัดสูงต่อเนื่อง รวมไปถึงการขยายช่องทางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้ามากขึ้น เช่น เดอะมอลล์ เพาเวอร์บาย เป็นต้น จากเดิมมีเฉพาะเทสโก้โลตัส และบิ๊กซี และการเพิ่มตัวแทนจำหน่าย จากขณะนี้ 60 รายใหญ่ และอีก 200 รายย่อย โดยยังคงใช้งบการตลาดปีนี้ 50 ล้านบาท เพื่อฉลองครบรอบ 15 ปีของทีซีแอล ปีนี้ใช้พรีเซ็นเตอร์คือ “พุฒิชัย เกษตรสิน” ที่เพิ่งผ่านการแต่งงานกับ “จุ๋ย-วรัทยา นิลคูหา”

ทั้งนี้ ในปี 2562 ทีซีแอลตั้งเป้าหมายยอดขายรวมในไทยประมาณ 1,800 ล้านบาท เติบโต 15-20% จากปีก่อนที่ทำได้ประมาณ 1,200 ล้านบาท

“สกายเวิร์ท” เพิ่มแบรนด์-กลุ่มสินค้าลุยไทย
นายหวัง จิง กรรมการผู้จัดการ บริษัท สกายเวิร์ท (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า สกายเวิร์ทมีแผนที่จะรุกตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในไทยมากขึ้น เพราะมองว่าไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพอย่างมากในระยะยาว โดยไทยเป็นตลาดที่สำคัญแห่งหนึ่งของสกายเวิร์ทในเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งบริษัทแม่ในจีนเองก็ให้ความสำคัญต่อตลาดในไทยอย่างมากด้วย มีแผนที่จะนำสินค้ากลุ่มใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดต่อเนื่อง ล่าสุด สิ่งที่ตอกย้ำถึงนโยบายการให้ความสำคัญต่อตลาดในไทย คือ บริษัทได้รับสิทธิ์ในการเป็นผู้ทำตลาดและจัดจำหน่ายโทรทัศน์โตชิบาในประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนเมษายน 2562 นี้ ซึ่งจะทำให้บริษัทมีโทรทัศน์ทำตลาดในไทยรวม 3 แบรนด์ คือ 1. โตชิบา (TOSHIBA) 2. สกายเวิร์ท (SKYWORTH) และ 3. คูค่า (coocaa) ซึ่งคาดว่าจะทำให้ปี 2562 นี้บริษัทจะมีรายได้รวมประมาณ 1,500 ล้านบาท แยกสัดส่วนเป็น โตชิบา 50% สกายเวิร์ท 45% และ คูค่า 5% ขณะที่ตลาดรวมทีวีในไทยมีปริมาณ 10 ล้านเครื่องต่อปี


ทั้งนี้ การมีสินค้า 3 แบรนด์ในกลุ่มเดียวกันคือโทรทัศน์ จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัทมากขึ้น ซึ่งแต่ละแบรนด์ก็จะมีการทำตลาดและตำแหน่งทางการตลาดที่แตกต่างกันทั้งในด้านไลน์อัพสินค้า โมเดลสินค้า ราคา ช่องทางจำหน่าย เป็นต้น เช่น โตชิบาเป็นแบรนด์ที่คนไทยรู้จักดีและไว้วางใจอยู่แล้ว ทำตลาดไม่ยาก มีแชร์ 6% และมีราคาสูงกว่าสกายเวิร์ทประมาณ 15% ขณะที่แบรนด์สกายเวิร์ทจับกลุ่มกลางขึ้นสูง แม้ในไทยจะมีแชร์น้อย 3% เพราะเพิ่งเริ่มทำตลาดไม่นาน แต่หากเป็นตลาดในจีนถือว่าเป็นแบรนด์ที่มียอดขายสูงสุดในจีนและติดท็อป 5 ของโลก หรือแม้แต่แบรนด์คูค่าก็จะมีจำหน่ายเฉพาะช่องทางออนไลน์เท่านั้นกับลาซาด้า


ปีนี้จะใช้งบบลงทุนรวม 50 ล้านบาททั้งสามแบรนด์รวมกัน และมีกลยุทธ์ตลาดที่แตกต่างกันไป จะมีการขยายช่องทางการจำหน่ายให้หลากหลายทั้งโตชิบาและสกายเวิร์ท ซึ่งขณะนี้สกายเวิร์ทมีจำหน่ายแล้วที่เพาเวอร์บาย เพาเวอร์มอลล์ เทสโก้โลตัส รวมทั้งหมดกว่า 100 จุดทั่วประเทศ ส่วนคูค่าขายเฉพาะช่องทางออนไลน์กับลาซาด้า จะมีการขยายพันธมิตรเพิ่มอีก จะไม่มีการจำหน่ายในช่องทางค้าปลีก รวมถึงการขยายไลน์อัพสินค้า การโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่จะมีต่อเนื่อง การเปิดเว็บไซต์ใหม่ การใช้เฟซบุ๊ก ไลน์ เข้ามาช่วยทำตลาด การขึ้นป้ายบิลบอร์ดที่สนามบินสุวรรณภูมิ การใช้สื่อโรงหนัง เป็นต้น


นอกจากนั้น ในปีหน้ามีแผนที่จะขยายตลาดไลน์สินค้าใหม่ของแบรนด์สกายเวิร์ทไปยังเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนอื่นๆ โดยเบื้องต้นมองไปที่ เครื่องซักผ้า และตู้เย็น ซึ่งจะเน้นไปที่กลุ่มพรีเมียมจับตลาดที่อยู่อาศัย และหลังจากนั้นมีแผนที่จะขยายกลุ่มอื่นเพิ่ม เช่น เครื่องปรับอากาศ โดยตั้งเป้าหมายรายได้รวมในปีหน้าหากสามารถขยายไลน์สินค้าได้ตามแผนงาน จะมีรายได้รวม 3,000 ล้านบาท ขณะที่ปี 2562 นี้ตั้งเป้าหมายรายได้รวม 1,500 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่แล้วที่ทำได้ 500 ล้านบาท


สำหรับแบรนด์สกายเวิร์ท จะดำเนินธุรกิจภายใต้คอนเซ็ปต์ “Lead the Future” เพื่อเป็นผู้นำในการพัฒนาสินค้า AIoT (AI TV + Internet of Thing) และ OLED ระบบจอภาพที่โดดเด่นทั้งความคมชัด ความละเอียด ในทุกปีบริษัทจะพัฒนาสินค้าให้มีศักยภาพการทำงานที่สูงขึ้น ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค อีกทั้งยังมีกลยุทธ์การขยายธุรกิจทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง โดยสร้างสถิติยอดขาย 10 วันทั่วโลกจากแคมเปญ ‘SKYWORTH Global 408 TV Festival’ ไปทั้งสิ้น 607,345 เครื่องทั่วโลก

“ไฮเออร์” ปรับกลยุทธ์-เพิ่มดีลเลอร์
นายจาง เจิ้งฮุ้ย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ไฮเออร์จากจีน เปิดเผยว่า ปี 2562 นี้บริษัทมองว่าภาพรวมของประเทศไทยจะมีภาวะที่ดีขึ้น ด้วยแรงหนุนจากเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ดีขึ้นหลังจากผ่านการเลือกตั้งไปแล้ว ในขณะที่ภาครัฐยังมีการลงทุนต่อเนื่อง รวมถึงสินค้าบางรายการที่มีการปรับลดอัตราภาษีนำเข้าในปีนี้จะช่วยเพิ่มความได้เปรียบด้านต้นทุนและความยืดหยุ่นของการทำตลาด จึงทำให้ปีนี้ไฮเออร์บุกหนักมากขึ้น ประกอบกับความพร้อมที่มากขึ้นของไฮเออร์เอง ในด้านทีมงานหลังจากที่มีการปรับโครงสร้างบริหารในส่วนของงานขาย แยกทีมงานและการรับรู้รายได้ของสินค้าต่างๆ เป็นเอกเทศจากกัน ช่วยให้สามารถปรับกลยุทธ์ได้รวดเร็วและตรงจุดขึ้น เชื่อว่าปีนี้จะเป็นปีที่บริษัทมีอัตราการเติบโตที่ดีขึ้นหรือว่ามีรายได้รวมประมาณ 5,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50% จากปี2561 ที่ทำได้ประมาณ 3,400 ล้านบาท


ล่าสุดปีนี้บริษัทยังได้เปิด "Haier Brand Shop" สาขาใหม่ ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ณ ชั้น 1 อาคารภคินทร์ ถนนรัชดาภิเษก (ใกล้ศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์) บนพื้นที่กว่า 500 ตารางเมตร เพื่อจัดแสดงและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าไฮเออร์ทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็น เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า ตู้เย็น ตู้แช่ โทรทัศน์ เครื่องทำน้ำอุ่น และเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัว ที่พร้อมให้ผู้บริโภคได้มองเห็นสินค้าต่างๆ ของไฮเออร์ได้เต็มที่ รวมทั้งเป็น Experience Center ให้ลูกค้าได้เข้ามาทดลองสัมผัสผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมของไฮเออร์ รวมถึงการจัดโปรโมชันสินค้าราคาพิเศษมากมายอีกด้วย


ด้านนายธเนศร์ บินอาซัน รองประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเสริมว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2652 นี้น่าจะดีกว่าปีที่แล้วเพราะมีปัจจัยบวกต่างๆ เช่น มีการเลือกตั้งทั่วไปผ่านไปแล้ว ทั้งการลงทุนด้านอินฟราสตรักเจอร์ต่างๆ ของภาครัฐบาล และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่น่าจะฟื้นตัวดีขึ้น ดังนั้น ปีนี้จะเป็นปีหนึ่งที่ไฮเออร์จะบุกตลาดไทยอย่างหนักมากขึ้น ด้วยกลยุทธ์หลัก ดังนี้ คือ
1. การนำเสนอสินค้าทุกกลุ่มระดับตั้งแต่กลุ่มกลางถึงกลุ่มพรีเมียมหรือมิดเดิ้ลถึงไฮเอนด์ และในทุกกลุ่มสินค้าที่ทำตลาดอยู่ ซึ่งหลักๆ เช่น แอร์ จะเปิดตัวรุ่นใหม่ประมาณ 10 รุ่น, ตู้เย็น มีสินค้าใหม่วางตลาดเพิ่มประมาณ 20% จากปีที่แล้ว เป็นต้น และสร้างความแตกต่างของสินค้ากับคู่แข่ง ทั้งเรื่องการออกแบบและชูเรื่องของนวัตกรรม เพื่อรองรับการแข่งขันตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่รุนแรงมากขึ้น เช่น การเปิดตัวแอร์พรีเมียมรุ่นใหม่ที่ช่วยกรองมลพิษในอากาศเทียบเท่าเครื่องกรองอากาศทำให้ผู้บริโภคได้ประโยชน์มากขึ้น เป็นต้น
2. การเพิ่มจำนวนดีลเลอร์เป็น 950 ราย จากปัจจุบันประมาณ 549 ราย ซึ่งยังมีช่องว่างและโอกาสอีกมากที่จะขยายตลาดได้ เนื่องจากในประเทศไทยมีดีลเลอร์ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้ามากถึง 3,400 กว่าร้านค้า หมายความว่า ไฮเออร์ยังมีไม่ถึงครึ่งหนึ่งของภาพรวมเลย
3. การเพิ่มจำนวนพนักงานขาย ตั้งเป้าปีนี้เพิ่มอีก 90 คน หรือเป็นกว่า 200 คน จากปี 2561 ที่เพิ่มมากเป็น 70 คน ทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จากเดิมพนักงาน 1 คนต้องดูแลดีลเลอร์ถึง 10 ร้านค้า แต่ขณะนี้เหลือเฉลี่ย 5 ร้านค้าต่อ 1 คน
และ 4. การทำตลาด กิจกรรม โรดโชว์ โฆษณาต่างๆ ด้วยงบการตลาดประมาณ 250-300 ล้านบาทต่อปี และเน้นการสร้างแบรนด์โดยใช้ “บอย-ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์” เป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าทั้งหมดต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 และทำสื่อโฆษณา ทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย เป็นต้น
กำลังโหลดความคิดเห็น