xs
xsm
sm
md
lg

บ้านปูชี้โครงการที่มองโกเลียไม่คืบ หันมารุกไฟฟ้า-เทคโนโลยีพลังงานเพิ่ม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


บ้านปูยอมรับการวิจัยแปรสภาพถ่านหินเป็นน้ำมัน-ปิโตรเคมีที่มองโกเลียยังไร้ความชัดเจนลงทุนเชิงพาณิชย์ได้ หันมาเน้นทำธุรกิจไฟฟ้าและเทคโนโลยีด้านพลังงานเพิ่มขึ้น ส่วนถ่านหินจะลดบทบาทการลงทุนขนาดใหญ่ลง ทำให้สัดส่วนกระแสเงินจากถ่านหินลดลงจากกว่า 50% เหลือ 45% ในปี 68

นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU เปิดเผยว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างดำเนินการวิจัยแปรสภาพถ่านหินเป็นผลิตภัณฑ์น้ำมัน (Coal to Liquid&Gas) และปิโตรเคมี (Coal to Chemicals) ที่ประเทศมองโกเลีย ซึ่งบ้านปูมีเหมืองถ่านหินอยู่ โดยได้มีการลงทุนโครงการนำร่องเพื่อนำถ่านหินไปสร้างมูลค่าเพิ่มเป็นผลิตภัณฑ์น้ำมันและปิโตรเคมีเพื่อจำหน่ายยังจีน แต่เบื้องต้นการวิจัยและพัฒนาพบว่ายังไม่สามารถผลิตเพื่อจำหน่ายเชิงพาณิชย์ได้คาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งกว่าจะตัดสินใจลงทุนผลิตเชิงพาณิชย์ได้

ในปี 2554 บ้านปูได้เข้าไปซื้อหุ้นบริษัท Hunnu Coal Limited ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ออสเตรเลีย โดยมีแหล่งถ่านหินที่อยู่ระหว่างการพัฒนาจำนวนหลายแห่งในมองโกเลียซึ่งเป็นประเทศที่มีถ่านหินจำนวนมากและมีความได้เปรียบในการส่งออกไปยังตลาดใกล้เคียง เช่น จีน

นางสมฤดีกล่าวว่า ช่วงต้นปี 2562 นี้บ้านปูฯ เปิดสำนักงาน ณ แหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติแห่งแรกของบริษัทในสหรัฐฯ เพื่อบริหารจัดการแหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติ (ShaleGas) พร้อมมองหาโอกาสการลงทุนเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทตั้งงบลงทุนสำหรับธุรกิจนี้เพิ่มเติมที่ 300 ล้านเหรียญสหรัฐ จากที่เคยลงทุนไปแล้ว 522 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมั่นใจว่าปีนี้จะเห็นการลงทุนเพิ่มอย่างแน่นอน ซึ่งธุรกิจก๊าซฯ เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่สร้างกระแสเงินสดให้กลุ่มบ้านปู

โดย Shale Gas ที่ผลิตได้จะถูกส่งไปยังระบบท่อและส่งขายภายในประเทศเพื่อตอบสนองความต้องการก๊าซธรรมชาติของสหรัฐฯ ซึ่งบ้านปูถือครองผลประโยชน์ในก๊าซธรรมชาติที่ผลิตได้ในฐานะผู้ดำเนินการผลิตกว่าร้อยละ 80 และนับเป็น 1 ใน 20 ผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดในมลรัฐเพนซิลเวเนีย โดยปัจจุบันมีกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 200 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน

อย่างไรก็ตาม จากความต้องการใช้พลังงานที่คาดว่าเปลี่ยนแปลงในอนาคต บ้านปูได้เตรียมความพร้อมในการลงทุนพลังงานครบวงจรรองรับการเป็นสมาร์ทซิตี้โซลูชันของประเทศไทยตามนโยบายรัฐบาล โดยบริษัทมีกระแสเงินสดเฉลี่ยปีละ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ พร้อมลงทุนธุรกิจพลังงานครบวงจรรองรับการเปลี่ยนแปลงความต้องการใช้พลังงงานในอนาคต ทั้งการลงทุนระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System : ESS) ระบบการบริหารจัดการพลังงาน (Energy Management System : EMS) รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle) และสถานีประจุไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น

นางสมฤดีกล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนกระแสเงินสดที่ได้จากธุรกิจถ่านหินเกิน 50% แต่ในอนาคตสัดส่วนจากถ่านหินจะลดลงเหลือ 45% ในปี 2568 แต่กระแสเงินสดจากธุรกิจนี้ไม่ลดลง เนื่องจากบริษัทฯ ฐานใหญ่ขึ้น โดยอนาคตบริษัทให้ความสำคัญในการลงทุนธุรกิจไฟฟ้าและธุรกิจเทคโนโลยีด้านพลังงานมากขึ้น ซึ่งสอดรับกับเทรนด์ของโลกที่เน้นพลังงานสะอาด ขณะที่การลงทุนขนาดใหญ่ในธุรกิจถ่านหินจะไม่ได้ให้น้ำหนักมาก แต่ยังคงมีการลงทุนอยู่บ้างในอินโดนีเซียและออสเตรเลียที่บริษัทมีฐานการผลิตอยู่ ส่วนที่จีนจะไม่เห็นการลงทุนเพิ่มในธุรกิจถ่านหิน เพราะจีนไม่เปิดให้ต่างชาติถือหุ้นเกิน 50% แต่บริษัทฯ จะลงทุนพลังงานสีเขียว เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเทรนด์โลกจะหันไปยังพลังงานสะอาด แต่บริษัทไม่มีความคิดที่จะถอนตัวออกจากธุรกิจถ่านหิน แม้ว่าจะให้น้ำหนักการลงทุนพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีด้านพลังงานก็ตาม เนื่องจากความต้องการใช้พลังงานโลกยังมีสัดส่วนการใช้ถ่านหินอยู่ไม่ได้หายไป โดยมีการประเมินว่าในปี 2568 สัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนจะเพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 25%, ก๊าซธรรมชาติ 20% เพิ่มเป็น 30% และถ่านหินจาก 30% ลดเหลือ 20% ซึ่งบ้านปูลงทุนอยู่ทั้งก๊าซฯ พลังงงานหมุนเวียนและถ่านหิน ดังนั้นจึงได้ประโยชน์ในทุกกลุ่ม


กำลังโหลดความคิดเห็น