xs
xsm
sm
md
lg

กสอ.ติดอาวุธเสริมแกร่ง SMEs เกษตรแปรรูป พร้อมเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 อย่างแข็งแกร่ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เมื่อลงทุนทำธุรกิจแน่นอนว่าผู้ประกอบการทุกคนย่อมมีเป้าหมายที่จะนำพาธุรกิจให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จ สามารถสร้างยอดขายให้เติบโตและมีกำไรที่ดี แต่อย่างไรก็ตาม ทำธุรกิจในยุคปัจจุบันต้องเผชิญกับความท้าทายต่างๆ มากมาย ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการรายเก่าหรือรายใหม่ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรับกลยุทธ์และเตรียมตนเองให้พร้อมอยู่เสมอ

นอกจากการปรับกลยุทธ์เพื่อเตรียมพร้อมในการดำเนินธุรกิจของตนเองแล้ว การได้รับคำปรึกษาและการเพิ่มศักยภาพให้แข็งแกร่งจากหน่วยงานภาครัฐ ถือเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ธุรกิจได้เป็นอย่างดี ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) เล็งเห็นถึงความสำคัญ จึงมี “โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและบริหารธุรกิจ SMEs ในอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารธุรกิจ กระบวนการผลิต และพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง ภายใต้ระยะเวลาในการดำเนินงาน 3 เดือน

“อุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปนั้นมีองค์ประกอบ 3 ส่วน ได้แก่ อุตสาหกรรมขั้นต้น อุตสาหกรรมขั้นกลาง และอุตสาหกรรมขั้นปลาย ซึ่งผู้ประกอบการต้องมีความรู้ทั้ง 3 ส่วนอย่างครบถ้วน นั่นคือ ต้องเข้าใจวัตถุดิบของตัวเอง ต้องทราบขั้นตอนกระบวนการผลิต ต้องทราบการตลาดที่ตรงใจผู้บริโภค จะขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหาขึ้นทันที นอกจากนี้ยังต้องพึงตอบคำถามให้ได้อยู่เสมอว่าเมื่อแปรรูปสินค้าออกมาได้แล้วจะขายให้กับใคร ดังนั้นสิ่งสำคัญคือผู้ประกอบการต้องหาตลาดให้เจอ มองให้ออกว่าความต้องการของลูกค้าคืออะไร และผลิตสินค้าให้ตรงกับความต้องการของตลาดให้ได้มากที่สุด ที่ผ่านมากระทรวงอุตสาหกรรมโดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมมีการดำเนินโครงการต่างๆ ที่ส่งเสริมและเพิ่มขีดความสามารถให้กับผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีการสนับสนุนด้านสินเชื่อเพื่อให้ผู้ประกอบการมีเงินทุนหมุนเวียนในการทำธุรกิจ ซึ่งหน่วยงานภาครัฐพร้อมที่จะเป็นลมใต้ปีกให้กับผู้ประกอบการ แต่สิ่งสำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือผู้ประกอบการจะต้องบินได้ด้วยตัวเอง จึงจะทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่ง” สมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึงสิ่งที่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปควรตระหนักเมื่อคิดที่จะเริ่มต้นทำธุรกิจ

“กสอ.ได้ส่งผู้เชี่ยวชาญลงพื้นที่เพื่อเข้าไปร่วมวิเคราะห์และเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตให้กับผู้ประกอบการแต่ละราย พบว่าส่วนใหญ่มีปัญหาที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่ทุกรายจะต้องได้รับการเพิ่มประสิทธิภาพ นั่นคือ การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้อย่างเหมาะสม เพื่อให้มีระบบการบริหารจัดการภายในที่มีประสิทธิภาพเป็นการเตรียมความพร้อมเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 อย่างเข้มแข็ง” กอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวเสริม

เมื่อเร็วๆ นี้ กสอ.ได้จัดงานแถลงข่าวสรุปผลการดำเนินโครงการดังกล่าว โดยมีผู้ประกอบการได้รับความช่วยเหลือในด้านต่างๆ แบ่งเป็นด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต 53% ด้านการตลาด 27% ด้านการบริหารจัดการธุรกิจ 6% ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี 6% และอื่นๆ 8% ซึ่งนับว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และสิ่งที่แสดงถึงความสำเร็จที่เห็นได้ชัดเจน คือ โครงการนี้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (Productivity) ให้กับผู้ประกอบการดังกล่าวจำนวน 2,000 กิจการ สร้างยอดขายเพิ่มขึ้นกว่า 1,000 ล้านบาท คิดเป็นต้นทุนที่ลดลงกว่า 700 ล้านบาท และคิดเป็นของเสียที่ลดลงกว่า 200 ล้านบาท และก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 1,900 ล้านบาท

นอกจากนี้ กสอ.ยังได้เปิดเวทีเชิญผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ รวมทั้งนักสร้างแรงบันดาลใจและผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด มาแบ่งปันข้อมูลและมุมมองที่มีประโยชน์ให้กับผู้เข้าร่วมงาน ซึ่งส่วนใหญ่ต่างมองในทิศทางเดียวกันว่า การจะเป็นผู้ประกอบการในยุค 4.0 ให้ได้นั้น จะต้องมีความพร้อมในธุรกิจอย่างรอบด้าน และได้รับคำแนะนำจากหน่วยงานภาครัฐยังเป็นสิ่งที่เสริมให้ธุรกิจแข็งแกร่งมากขึ้น

“ผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจจะต้องมีการปรับตัวอยู่เสมอ การเข้าร่วมโครงการ กับ กสอ.นับว่าได้รับประโยชน์เป็นอย่างมาก จากคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ทำให้บริษัทสามารถวิเคราะห์จุดอ่อนที่ต้องปรับปรุง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการลดต้นทุนด้านพลังงาน ซึ่งบริษัทได้รับคำแนะนำให้ปรับระบบจากเดิมที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นหลักหันมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานหมุนเวียนในกระบวนการผลิต การปรับเปลี่ยนครั้งนี้ทำให้ต้นทุนด้านพลังงานของบริษัทสามารถลดลงได้มาก” พฤฒิ เกิดชูชื่น กรรมการผู้จัดการ บริษัท แดรี่โฮม จำกัด ผู้ผลิตนมและโยเกิร์ตภายใต้แบรนด์ “แดรี่ โฮม” กล่าวถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการเข้าร่วมโครงการดังกล่าว

“ปัจจุบันธุรกิจของบริษัทฯ ถูกขับเคลื่อนโดยผู้บริหาร Gen ที่ 3 คนรุ่นใหม่ที่มีเป้าหมายชัดเจนที่จะสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการเป็นซัปพลายเออร์ด้านการฟอกหนังให้กับแบรนด์ดังระดับโลกนั้นต้องเผชิญกับปัญหาหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิตสินค้าให้เป็นไปตามมาตรฐานที่ลูกค้าตั้งไว้ แต่นับเป็นความโชคดีของบริษัทที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะการเข้าร่วมโครงการกับทางกรม ทำให้ได้รับคำแนะนำในการปรับปรุงกระบวนการผลิตและสามารถลดของเสียที่เกิดจากกระบวนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ” กิติชัย วงษ์เจริญสิน รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพีแอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจโรงงานฟอกหนังอันดับต้นๆ ของประเทศ กล่าวถึงปัญหาที่พบเจอในกระบวนการผลิตและการได้รับคำแนะนำที่ดีจากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม

“ผลิตภัณฑ์หลักของกลุ่มฯ คือ ผลแมคคาเดเมียอบแห้งพร้อมเปลือก และผลแมคคาเดเมียกะเทาะเปลือกหลากหลายรสชาติ ซึ่งมีการทำตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม  การผลิตผลแมคคาเดเมียกะเทาะเปลือกมักประสบปัญหาเรื่องผลแตก แต่เมื่อได้เข้าร่วมโครงการฯ ที่ปรึกษาได้แนะนำให้ใช้เครื่องกะเทาะเปลือกระบบสกรูเพรส ทำให้ลดการสูญเสียและได้ผลผลิตที่มีคุณภาพสูงขึ้น รวมทั้งยังได้คำแนะนำเรื่องการนำเศษของผลแมคคาเดเมียที่แตกมาต่อยอดสกัดเป็นน้ำมันจากแมคคาเดเมียเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มได้อีกทางหนึ่ง” กัลยณัฎฐ์ พระศรีนาม ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร บ้านบ่อเหมืองน้อย อำเภอนาแห้ว จังหวัดเลย ผู้ผลิตแมคคาเดเมียแปรรูป “แมคนัทเลย” กล่าวถึงสิ่งที่ได้รับจากเข้าร่วมโครงการกับกรม

สำหรับมุมมองของผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างแรงบันดาลใจและการตลาดนั้นก็ทำให้ผู้ร่วมงานได้รับเทคนิคในการเตรียมพร้อมธุรกิจเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 ก้าวทันกับตลาดการค้าที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว “ส่วนใหญ่แล้วผู้ประกอบการ SMEs มักจะบริหารจัดการทุกอย่างด้วยตนเองเกือบทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทำให้ธุรกิจเติบโตยาก ดังนั้น การสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจ ควรจัดลำดับความสำคัญและบริหารเวลาให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์มากที่สุด นอกจากนี้ยังมี 3 สิ่งที่ผู้ประกอบการจะขาดไม่ได้ นั่นคือ สินค้าที่ดี องค์ความรู้ และการกระจายสินค้า หากขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปควรจะพบที่ปรึกษาเพื่อรับคำแนะนำ เพราะในปีหน้าเราไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้างและสิ่งนั้นจะเกิดผลกระทบกับธุรกิจของเราหรือไม่ ดังนั้นการหมั่นเติมความรู้ให้กับตนเองอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเดินหน้าธุรกิจให้เติบโตได้” บอย-วิสูตร แสงอรุณเลิศ นักสร้างแรงบันดาลใจ กล่าว

“อยากให้จับตาเศรษฐกิจในปีหน้าของประเทศว่าจะเป็นไปในทิศทางใด และไม่ว่าทิศทางจะออกมาดีหรือไม่ ผู้ประกอบการทุกคนต้องเตรียมพร้อมรับมืออย่างรอบด้าน แม้ว่าเราจะมีผลิตภัณฑ์ที่ดีแล้ว แต่ถ้าผู้บริโภคไม่รู้จักแบรนด์ของเรา ก็ทำตลาดได้ยากเช่นกัน ดังนั้นผู้ประกอบการต้องสร้างแบรนด์ตัวเองให้แข็งแกร่ง โดยเฉพาะผู้ประกอบการเกษตรแปรรูปต้องบริหารธุรกิจให้ครบวงจร หากไม่ครบวงจรแล้ว โอกาสที่จะเติบโตเป็นไปได้ยาก อีกทั้งการมองหาพันธมิตรที่ดีก็สามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจได้” อ.ธันยวัชร์ ไชยตระกูลชัย นักการตลาดชื่อดังของเมืองไทย กล่าว

การเตรียมพร้อมติดอาวุธเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ท่ามกลางหลายปัจจัยทั้งบวกและลบที่จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นโจทย์ที่ท้าทายให้ผู้ประกอบการ SMEs ต้องเร่งปรับตัวเพื่อให้ทันต่อการแข่งขันในโลกการค้า และพร้อมก้าวสู่ยุค Industry 4.0 ได้อย่างเข้มแข็ง


กำลังโหลดความคิดเห็น