“กุลิศ สมบัติศิริ” มอบนโยบายคณะทำงานกลั่นกรองกองทุนอนุรักษ์พลังงานเร่งสรุปโครงการขอใช้งบเข้าอนุกรรมการกองทุนฯ สัปดาห์หน้าก่อนชงบอร์ดใหญ่เคาะปลาย ต.ค. ด้าน ส.อ.ท.แห่ยื่นของบปี 62 สูงถึง 10,000 ล้านบาท
แหล่งข่าวจากที่ประชุมคณะทำงานกลั่นกรองกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (กองทุนอนุรักษ์ฯ) ที่มีนายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน เปิดเผยว่า ปลัดพลังงานได้มอบให้คณะทำงานไปหารือกับกรมบัญชีกลางถึงความเป็นไปได้ในขั้นตอนต่างๆ ที่จะเกลี่ยงบประมาณในส่วนของโครงการปี 2561 (เพิ่มเติม) ภายใต้กลุ่มโครงการ “ไทยนิยม ยั่งยืน” วงเงิน 5,200 ล้านบาท เนื่องจากไม่ใช่งบผูกพันจึงถือว่าจบไปแล้ว เพื่อนำไปรวมกับโครงการปีงบประมาณปี 2562 ที่มีการอนุมัติกรอบวงเงินแล้ว 10,448 ล้านบาท
“ตามระเบียบของกระทรวงการคลังแล้วถ้าไม่ใช่งบประมาณผูกพันข้ามปีก็ต้องถือว่าจบไปแล้ว ซึ่งงบปี 61 เพิ่มเติมยังไม่ได้อนุมัติแต่อย่างใด ดังนั้น ให้ไปพิจารณาว่าจะเกลี่ยงบประมาณก้อนนี้ไปร่วมกับโครงการในปี 2562 ได้หรือไม่ เรื่องนี้คณะทำงานฯ จะต้องไปสอบถามรายละเอียดกับกรมบัญชีกลาง เพื่อให้เกิดความถูกต้องในขั้นตอนดำเนินการต่างๆ ด้วย ซึ่งได้ข้อสรุปทั้งหมดจะนำเสนอคณะอนุกรรมการกองทุนฯ ที่มี รมว.พลังงานเป็นประธานก่อนนำเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ ที่มี พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานปลาย ต.ค.” แหล่งข่าวกล่าว
นอกจากนี้ โครงการที่ได้ยื่นข้อเสนอเพื่อขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนอนุรักษ์ฯขอให้พิจารณาให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดโดยในส่วนของโครงการปี 2561 ที่ได้รับการอนุมัติโครงการไปแล้วจะต้องติดตามความคืบหน้าการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณที่มีความล่าช้า โดยเฉพาะโครงการที่เบิกจ่ายต่ำกว่า 10% ขณะเดียวกัน การขอรับงบประมาณสนับสนุนก้อนใหม่จะต้องพิจารณาถึงงบประมาณสำหรับการซ่อมบำรุงรักษาด้วย เพราะอาจส่งผลให้เกิดการทิ้งร้างซึ่งจะทำให้การดำเนินโครงการในอนาคตไม่เกิดประโยชน์สูงสุด
นายหิน นววงศ์ รองประธานคณะกรรมการบริหารสถาบันพลังงานเพื่ออุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ส.อ.ท.ได้ยื่นคำขอรับเงินสนับสนุนการดำเนินโครงการด้านพลังงานทดแทนและการอนุรักษ์พลังงานในปีงบประมาณ 2562 ราว 10,000 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ที่ยื่นคำขอราว 6,000-7,000 ล้านบาทต่อปี เนื่องจากปี 2562 สำนักบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (ส.กทอ.) ได้เปิดให้หน่วยงานรัฐและเอกชน ยื่นคำขอรับเงินสนับสนุนโครงการโดยตรง โดยมั่นใจว่าโครงการที่สมาชิก ส.อ.ท.ยื่นเสนอไปจะได้รับการพิจารณา เพราะปฏิบัติตามเงื่อนไขที่โครงการระบุไว้