“กบง.” เบรกขึ้นราคาแอลพีจี 3.0246 บาทต่อ กก.ตามต้นทุนตลาดโลก ควักเงินกองทุนน้ำมันฯ ตรึงราคาเดือน ต.ค.คงเดิมไว้ที่ 21.15 บาทต่อกิโลกรัม มีผลตั้งแต่ 5 ต.ค.เป็นต้นไป ระทึกเงินบัญชีแอลพีจีเหลือแค่ 5,342 ล้านบาทใช้ได้อีก 5 เดือน ขณะที่ราคาตลาดโลกยังมีทิศทางขาขึ้นอีก
นายทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และโฆษกกระทรวงพลังงาน เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ซึ่งมี พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน ว่า กบง.ได้พิจารณาโครงสร้างราคาขายปลีกแอลพีจีเดือน ต.ค. 60 คงเดิมที่ที่ 21.15 บาทต่อกิโลกรัม(กก.) โดยให้ใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนของบัญชีแอลพีจีมาดูแลด้วยการปรับเพิ่ม เงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ 3.0246 บาทต่อ กก. จากเดิมที่กองทุนน้ำมันฯ ชดเชยที่ 3.5719 บาทต่อ กก. เป็นชดเชย 6.5965 บาทต่อ กก. โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม 2560 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ เนื่องจากสถานการณ์ราคาแอลพีจีตลาดโลก (CP) เดือนตุลาคม 2560 ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มาอยู่ที่ระดับ 577.50 เหรียญสหรัฐต่อตัน โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 87.50 เหรียญสหรัฐต่อตัน ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนกันยายน 2560 แข็งค่าขึ้นจากเดือนก่อน 0.1132 บาทต่อเหรียญสหรัฐ มาอยู่ที่ 33.3160 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่นที่อ้างอิงราคานำเข้า (Import Parity) ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นก๊าซแอลพีจี ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.0246 บาทค่อกก. จาก 17.6970 บาท/กก. เป็น 20.7216 บาทต่อ กก.
“เนื่องจากราคาตลาดโลกได้ปรับขึ้นต่อเนื่องและครั้งนี้จะมีผลให้ราคาขายปลีกปรับขึ้น 3.0246 บาทต่อ กก. ที่ประชุมเห็นว่าไม่อยากให้ประชาชนเดือดร้อนประกอบกับรัฐเองยังเพิ่งเริ่มใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ระบบเองยังไม่มีความพร้อมจึงเห็นว่าควรใช้กลไกกองทุนฯ ดูแลไปก่อน ซึ่งการตรึงราคาแอลพีจีครั้งนี้ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 913 ล้านบาทต่อเดือน” นายทวารัฐกล่าว
อย่างไรก็ตาม ได้มีการรายงาน กบง.ถึงแนวโน้มสถานการณ์ราคาพลังงานทั้งน้ำมันและแอลพีจีที่ยังเป็นช่วงขาขึ้นโดยเฉพาะราคาแอลพีจีนั้นถือเป็นการปรับขึ้นที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนที่เพียง 3 เดือนที่ผ่านมาปรับขึ้นต่อเนื่องรวมสูงถึง 200 เหรียญต่อตันและตามวัฏจักรจะขึ้นในช่วงสิ้นปีจนถึงเดือน ก.พ.เพราะเข้าฤดูหนาวความต้องการจะมาก
ขณะเดียวกัน กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงฯ ปัจจุบันมีเงินอยู่ที่ 37,964 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมัน 32,622 ล้านบาท บัญชีแอลพีจี 5,342 ล้านบาท ดังนั้น หากราคาแอลพีจีขึ้นต่อเนื่องอีกก็อาจจะเป็นปัญหาต่อบัญชีแอลพีจีที่ไม่เพียงพอได้เพราะภาระในขณะนี้จะดูแลได้ 5 เดือนเท่านั้น แต่หากเดือนหน้าปรับขึ้นอีกก็จะต้องมาดูว่าจะดำเนินการอย่างไรแม้ว่าจะดึงบัญชีน้ำมันฯ มาดูแลได้แต่หลักการก็ไม่ควรจะนำมาอุดหนุนข้ามประเภท