“ทรูวิชั่นส์” ปรับเกมทำช่องเอง สู้ไลเซนส์ “หลุดมือ-ราคาแพงขึ้น”

ผู้จัดการรายวัน 360 - “ทรูวิชั่นส์” พลิกโมเดลรับการเปลี่ยนแปลง มุ่งผลิตช่องเองกระจายความเสี่ยงช่องดังคอนเทนต์แรงหลุดผัง เอื้อต่อการบริหารจัดการและให้บริการสมาชิกดีขึ้น หวังขยายฐานลูกค้าระดับล่างเพิ่ม ชี้ยุติ 6 ช่อง HBO ลูกค้าหายเพียง 500 ราย

นายพีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา ผู้ช่วยบริหารงานกรรมการผู้จัดการใหญ่และหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านคอนเทนต์และมีเดีย บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจที่ค่ายภาพยนตร์ดังระดับโลกมีช่องนำเสนอคอนเทนต์ตัวเองมากขึ้น ทั้ง วอร์เนอร์ บราเธอร์ส, พาราเม้าท์, ฟ็อกซ์ และโซนี่ เป็นต้น ทำให้ช่องรายการดังๆ มีความยากในการนำคอนเทนต์ของแต่ละค่ายมาลงจอ

อีกทั้ง 2 ปีมานี้ ไลเซนส์คอนเทนต์ปรับราคาขึ้น 30% ส่งผลให้ทรูวิชั่นส์จึงต้องปรับตัว โดยปีนี้ทรูวิชั่นส์ปรับโมเดลธุรกิจใหม่ คือ 1. เน้นสร้างช่องบริหารคอนเทนต์เองมากขึ้น ลดความเสี่ยงในอนาคตอาจจะไม่ได้ต่อลิขสิทธิ์ จากเดิมทรูวิชั่นส์มีทั้งหมด 170 ช่อง เป็นช่องที่สร้างขึ้นเอง 25-30 ช่อง ปีนี้จะเพิ่มอีก 5% อย่าง ทรูฟิล์มเอชดี 2 รวมถึงช่องรายการในเซกเมนต์กีฬา ข่าว ในอนาคต เป็นต้น

2. รูปแบบการซื้อช่องรายการจะเลือกเป็นค่ายหนังแทนการซื้อแบบเหมารวมแพกเกจ 3. โมเดลนี้จะช่วยจัดแพกเกจบริหารคอนเทนต์และยืดหยุ่นมากขึ้น

บทเรียนสำคัญเรื่องของความเสี่ยงเกี่ยวกับคอนเทนต์ดังพรีเมียร์ลีกเมื่อหลุดมือไป ทำให้ทรูวิชั่นส์ได้รับผลกระทบ ต้องทบทวนและเลือกที่จะสร้างแบรนด์ช่องรายการเองมากขึ้นแทน เพื่อทำให้ทรูวิชั่นส์ยังคงมีความเป็น young เพิ่มฐานลูกค้ารุ่นใหม่เจ้ามา จากปัจจุบันกลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มผู้ใหญ่เป็นหลัก

นายพีรธน กล่าวว่า ทรูวิชั่นส์จึงได้เสนอ 7 ช่องใหม่แทน 6 ช่องเดิมในเครือ HBO ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2560 ได้แก่ ช่องรายการ Fox Action Movies HD, Warner TV, Paramount Channel HD, Sony Channel, Food Network, Celestial Classic Movies และ True Film HD 2 พบว่าช่องFox Action Movies HD มีเรตติ้งขึ้นเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มช่องหนัง รองลงมาคือ Warner TV จากเดิมที่ช่อง HBO HD มีเรตติ้งเป็นอันดับหนึ่ง รวมถึงการนำเสนอเอ็กซ์คลูซีฟคอนเทนต์สำคัญต่อเนื่องตลอดปี เช่น การถ่ายทอดสดการประกาศผลรางวัลออสก้าทางช่อง True Film HD, ซูเปอร์โบล์ว 4 คอนเทนต์ใหญ่, ไทยพรีเมียร์ลีก รวมถึงคอนเทนต์อื่นๆ

ในแง่สมาชิกที่ได้รับผลกระทบโดยตรง คือ กลุ่มโกลด์แพกเกจ และแพลทินัมแพกเกจ รวมกันกว่า 3 แสนราย ได้ติดต่อเข้ามายังคอลเซ็นเตอร์สอบถามเรื่องที่เกิดขึ้นเพียง 5,000 ราย คิดเป็น 2% ของจำนวนสมาชิก 3 แสนราย และมีเพียง 500 ราย ที่ขอยกเลิกการใช้บริการลง หรือคิดเป็น 0.166% เท่านั้น

ภาพรวมหลังการปรับแผนการงานปีนี้ทั้งในแง่รายได้และฐานสมาชิกจะดีกว่าปีก่อนและเติบโต 2 หลัก จากปีก่อนตลอด 9 เดือนที่ผ่านมา พบว่าในไตรมาสสามฐานสมาชิกรวมเพิ่มขึ้น 12% และกลุ่มโกล์ดและแพลทินัมแพกเกจโตขึ้น 2-3%

นายพีรธนกล่าวว่า ปัญหาการยุติช่องรายการในเครือ HBO ปรากฏว่ามีลูกค้าโทร.เข้ามาสอบถามข้อมูลผ่านคอลเซ็นเตอร์ และผ่านทางทรูช็อปกว่า 5,000 ราย ทั้งนี้ในอนาคตหากทางเอชบีโอยอมที่จะขายช่องเอชบีโอช่องเดียว ทางบริษัทฯ ก็พร้อมเจรจาตลอดเวลา

“บริษัทฯ ยืนยันว่ายังคงต้องการช่องเอชบีโอเอชดีให้อยู่กับทางทรูวิชั่นส์ เพราะถือเป็นช่องหนังที่มีเรตติ้งสูงสุด และมีราคาแพงสุดในตลาดขณะนี้ แต่เนื่องจากที่ผ่านมาเอชบีโอขายแบบแพกเกจ ซึ่งเรตติ้งในช่องอื่นๆ นั้นไม่ดีและทั้งหมดยังนำคอนเทนต์ไปออกอากาศซ้ำกัน บริษัทไม่สามารถเข้าไปบริหารจัดการคอนเทนต์ในแต่ละช่องได้ ถือเป็นสาเหตุหนึ่งที่บริษัทต้องการปรับช่องรายการใหม่ อีกสาเหตุที่สำคัญคือ ทรูวิชั่นส์ได้ใช้ช่องสัญญาณเต็มที่แล้ว ไม่มีที่พอจะเพิ่มช่องใหม่เข้ามา ทำให้บริษัทเลือกที่จะนำ 7 ช่องใหม่เข้ามาแทนช่องรายการของกลุ่มเอชบีโอแทน” นายพีรธนกล่าว