xs
xsm
sm
md
lg

“แมทธิว กิจโอธาน” กับบทบาทซีโอโอไมเนอร์คอร์ปฯคนล่าสุด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านแฟชั่นอย่างบริษัทไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้นำเข้าสินค้าชั้นนำของไทย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเสื้อผ้า เช่น เอสปรี,บอสสินี่ และกลุ่มเครื่องสำอาง เช่น บลูม,เรด เอิร์ธ ลาเนจ และเอลามิส เป็นต้น ปีนี้ได้มีการปรับทัพตำแหน่งใหม่ที่เป็นหัวเรือสำคัญในการดำเนินงาน ได้แก่ ตำแหน่งซีโอโอหรือประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของบริษัทฯ ซึ่งได้ “แมทธิว กิจโอธาน” ที่มาดำรงตำแหน่งเป็นซีโอโอคนล่าสุดเมื่อประมาณต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา

แมทธิวกล่าวให้ฟังว่า จากประสบการณ์การทำงานในบริษัทชั้นนำอย่างยิลเลตต์ประมาณ 2 ปีและเป๊ปซี่ โคล่า อินเตอร์เนชั่นแนลเกือบ10 ปี รวมถึงลีเวอร์ บราเธอร์ (ประเทศไทย) จำกัด 5 ปี เขามีหลักในการทำงานที่เหมือนกันโดยจะเน้นที่การเป็นลีดเดอร์ชิพหรือผู้นำ ซึ่งทุกอย่างทำเองไม่ได้ทั้งหมดต้องอาศัยการทำงานร่วมกัน ซึ่งทุกคนต้องเดินในทางเดียวกัน รวมถึงให้ความสำคัญกับตัวคนเป็นหลักในการดำเนินงาน ซึ่งการที่ธุรกิจจะเติบโตได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยคนเป็นสำคัญ

ตรงนี้จะเห็นได้จากการเข้ามารับตำแหน่งใหม่ในไมเนอร์ฯได้ไม่นาน “แมทธิว” ก็เดินหน้าศึกษาข้อมูลต่างๆของบริษัทฯอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นด้านคน และรายละเอียดของธุรกิจในเครือไมเนอร์ฯ เป็นต้น เนื่องจากไมเนอร์เป็นบริษัทใหญ่และมีหลายธุรกิจที่อยู่ในเครือเป็นจำนวนมากที่นอกเหนือจากธุรกิจแฟชั่นและเครื่องสำอาง ได้แก่ ธุรกิจรับจ้างผลิต ภายใต้บริษัทนวศรี แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด รวมถึงธุรกิจด้านการศึกษา และธุรกิจด้านการบิน

ทั้งนี้ผลงานการดำเนินงานในช่วงต้นปีที่ผ่านมาของไมเนอร์ฯพบว่ามีอัตราการเติบโตถึง 38% ซึ่งการเติบโตมาจากธุรกิจรับจ้างผลิตของโรงงานนวศรีฯมีการเติบโตขึ้น 29% จากปกติโตเฉลี่ยปีละ 2-5%

ซีโอโอรายนี้ได้กล่าวว่า เป็นเพราะบริษัทฯได้มีการปรับกลยุทธ์ด้านต่างๆ อาทิ การติดต่อหรือทำสัญญากับลูกค้าในระยะยาว หรือการปรับราคาในการรับจ้างผลิตให้ราคาถูกลง เป็นต้น โดยปัจจุบันลูกค้าหลักของโรงงานนวศรีมี 5 รายใหญ่ ประกอบด้วย ยูนิลีเวอร์,เอส.ซี. จอห์นสัน แอนด์ ซัน,คอลเกต-ปาล์มโอลีฟ และไลอ้อน เป็นต้น

อย่างไรก็ตามธุรกิจหลักที่ไมเนอร์ฯโฟกัสยังคงเป็นธุรกิจกลุ่มแฟชั่นหรือรีเทล ซึ่งทำยอดรายได้ให้บริษัทฯคิดเป็นสัดส่วน 52% ของยอดขายทั้งหมด และในแต่ละปีบริษัทฯจะนำเข้าแบรนด์ใหม่ปีละ 2-3 แบรนด์ ล่าสุดช่วงกลางปีนี้เตรียมเปิดตัวแบรนด์เสื้อผ้าใหม่สำหรับผู้หญิง

นอกจากนี้แมทธิวยังมีการนำไอเดียใหม่ “ขายทุกอย่างให้เป็นชุด (Stytem Set)” มาใช้ในการบริหารสินค้าในกลุ่มแฟชั่นและเครื่องสำอาง โดยมีหลักดังนี้ การทำราคาให้ดึงดูดผู้บริโภคมากขึ้น ด้วยการทำสินค้าให้มีขนาดเล็กลงหรือการขายสินค้าเป็นชุด เพื่อให้ลูกค้าเกิดการทดลองใช้สินค้ามากขึ้น ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้เป็นที่นิยมในการทำตลาดของกลุ่มอาหารพวกฟาสต์ฟู้ด ไม่ว่าจะเป็น เคเอฟซี ,แมคโดนัล และพิซซ่า ฮัท เป็นต้น

“สินค้ากลุ่มแฟชั่นไปมาเร็วและมีซีซั่น ดังนั้นเราต้องรู้ถึงความต้องการของลูกค้า ,เทรนด์ตลาด,ราคา รวมถึงระบบการลดราคา การทำโปรโมชั่นและกิจกรรมส่งเสริมการขาย ณ ร้านค้า”

สำหรับเป้าหมายในการทำงานกับไมเนอร์ในระยะสั้นหรือ 3-5 ปีนี้ “แมทธิว” ได้ตั้งเป้าหมายสำหรับยอดรายได้ของบริษัทไมเนอร์ฯ ภายใน 3 ปีที่เขาบริหารจะต้องมียอดรายได้กว่า 6,000 ล้านบาท จากเดิมมียอดรายได้กว่า 3,000 ล้านบาท เนื่องจากเขามั่นใจในตัวบริษัทไมเนอร์ฯที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯและยังมีศักยภาพในการเติบโตได้อีกมากนั่นเอง
กำลังโหลดความคิดเห็น