เอเอฟพี - ดับเบิลยูทีโอเชื่อการท่องเที่ยวโลกจะฟื้นตัวเต็มที่ในไม่ช้า หลังเผชิญมรสุมใหญ่ตั้งแต่วินาศกรรม 9/11 จนถึงโศกนาฏกรรมคลื่นยักษ์ โดยภูมิภาคที่มีผลงานโดดเด่นหนีไม่พ้นเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งมีการแจ้งเกิดของสายการบินโลว์คอสต์ และการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นตัวช่วย
นักท่องเที่ยววันนี้กำลังมองหาประสบการณ์ใหม่ๆ ควบคู่ไปกับการพักผ่อนสมอง ไล่ตั้งแต่เรือนแพในแคชเมียร์ จนถึงคุกกิ้งฮอลิเดย์ หรือการนำเสนอวิธีปรุงอาหารผนวกไปกับการหยุดพักผ่อนในเมืองไทย และแพคเกจล้างพิษออกจากร่างกาย (ดีท็อกซ์) ในฟิลิปปินส์
หลังจากชะงักงันมา 3 ปีจากเหตุวินาศกรรม 9/11 ในสหรัฐฯ ปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวโลกกลับมาฟู่ฟ่าอีกครั้ง ด้วยตัวเลขนักเดินทางที่เพิ่มเป็น 760 ล้านคน ทั้งนี้ จากข้อมูลขององค์การการท่องเที่ยวโลก (ดับเบิลยูทีโอ)
ทว่า การฟื้นตัวในเอเชียต้องเผชิญแรงต้านครั้งใหญ่จากโศกนาฏกรรมคลื่นยักษ์ในเดือนธันวาคม 2004 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตและสูญหายกว่า 220,000 คน ในแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมบางแห่ง เช่น ไทย ศรีลังกา และมัลดีฟส์
กระนั้น ในงานประชุมเมื่อต้นปีนี้ที่กรุงเทพฯ ฟรานเชสโก ฟรานจิอัลลี เลขาธิการใหญ่ดับเบิลยูทีโอ แสดงความเชื่อมั่นว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะพิสูจน์ให้เห็นถึงความยืดหยุ่นอย่างสำคัญอีกครั้ง รวมถึงศักยภาพในการเอาชนะอุปสรรคทั้งปวง ด้วยการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของพื้นที่ที่ประสบภัยสึนามิ
ขณะนี้ จีนและอินเดียกำลังแสดงสัญญาณการเติบโตอย่างน่าตื่นตาตื่นใจตามการบูมของเศรษฐกิจ และมีแนวโน้มว่าจะกลายเป็นแหล่งส่งออกและนำเข้านักท่องเที่ยวใหญ่สุดของโลกในอนาคต
กรณีของจีน ที่เมื่อไม่นานนี้ยังคงปิดตัวเองจากต่างชาตินั้น ปีที่ผ่านมา แดนมังกรทำรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างแดนจำนวน 109 คน เบ็ดเสร็จ 25,700 ล้านดอลลาร์ หรือ 5% ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี)
ขณะที่การแจ้งเกิดของสายการบินต้นทุนต่ำช่วยกระตุ้นการเดินทางในแดนภารตะ คาปิล คาอูล หัวหน้าสำนักงานในอินเดียของศูนย์การบินเอเชีย-แปซิฟิกที่มีฐานอยู่ในซิดนีย์ คาดว่าจำนวนผู้ที่จะเดินทางออกนอกประเทศจะเพิ่มเป็น 30-35 ล้านคนในปี 2010 จากปีละ 15 ล้านคนในขณะนี้
โมฮัมหมัด ยูนิส ข่านจากบริษัทท่องเที่ยว เพิ่มเติมว่า สงครามราคากับสายการบินจากอ่าวเปอร์เซีย ทำให้สายการบินใหญ่ๆ ของยุโรปต้องกัดฟันหั่นราคาตั๋วชั้นประหยัดไปยังยุโรปและสหรัฐฯลงต่ำกว่าราคาปีที่แล้ว 10%
ขณะเดียวกัน นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นใช้จ่ายเงินในและนอกประเทศปีละ 147,000 ล้านดอลลาร์ โดยทางการโตเกียวคาดหวังที่จะเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็น 10 ล้านคนในปี 2010
ทางด้านดับเบิลยูทีโอเผยว่า ยุโรป ภูมิภาคที่ประชาชนมีวันหยุดพักผ่อนประจำปีมากที่สุด ยังคงเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิต ปีที่แล้วดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ถึง 414 ล้านคน โดยเฉพาะยุโรปตะวันออก ตอนกลางและด้านเหนือ
ส่วนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอเมริกากลับมาฟื้นตัวอีกครั้งหลังจากตกอับมา 3 ปี โดยปีที่ผ่านมาต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 124 ล้านคน ซึ่งยังถือว่าต่ำกว่าปี 2000 อยู่ประมาณ 4 ล้านคน
แต่การฟื้นตัวที่โดดเด่นที่สุดเกิดขึ้นในเอเชีย-แปซิฟิก ที่ซึ่งนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นถึง 29% เป็น 154 ล้านคน ตามด้วยตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น 20% เป็น 35 ล้านคน แซงหน้าแอฟริกาเป็นครั้งแรก
อนึ่ง การท่องเที่ยวถือเป็นพฤติกรรมปกติที่มีมาแต่โบร่ำโบราณ แม้แต่ในยุคโรมัน แต่เพิ่งจะมายุคอุตสาหกรรมและหลังจากการคิดค้นและสร้างทางรถไฟเป็นต้นมา ที่ชนชั้นสูงเริ่มมองหาสถานที่พักผ่อนข้ามพรมแดน
ต่อมาเมื่อมีการสร้างทางรถไฟแพร่หลาย และเวลาพักผ่อนมีมากขึ้น ผู้คนเริ่มเดินทางท่องเที่ยวชายทะเล อันเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างรีสอร์ทชายหาด
โธมัส คุกถือเป็นบิดาแห่งการท่องเที่ยวมวลชนสมัยใหม่ จากการริเริ่มแพคเกจทัวร์ในปี 1841 ที่มีการเช่ารถไฟพาคณะทำงานไปทำแคมเปญรณรงค์เลิกดื่มเหล้าในเมืองลัฟโบโรห์
นับจากนั้น ด้วยระบบขนส่งอันทันสมัย และเวลาพักผ่อนที่เพิ่มขึ้น ตลาดการท่องเที่ยวจึงบูมขึ้นมา โดยฝรั่งเศสยังคงเป็นแชมป์ประเทศที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวมากที่สุดมานานหลายปี ด้วยยอดนักท่องเที่ยว 75 ล้านคน ตามด้วยสเปนและสหรัฐฯประเทศละ 50 ล้านคน
นักท่องเที่ยววันนี้กำลังมองหาประสบการณ์ใหม่ๆ ควบคู่ไปกับการพักผ่อนสมอง ไล่ตั้งแต่เรือนแพในแคชเมียร์ จนถึงคุกกิ้งฮอลิเดย์ หรือการนำเสนอวิธีปรุงอาหารผนวกไปกับการหยุดพักผ่อนในเมืองไทย และแพคเกจล้างพิษออกจากร่างกาย (ดีท็อกซ์) ในฟิลิปปินส์
หลังจากชะงักงันมา 3 ปีจากเหตุวินาศกรรม 9/11 ในสหรัฐฯ ปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวโลกกลับมาฟู่ฟ่าอีกครั้ง ด้วยตัวเลขนักเดินทางที่เพิ่มเป็น 760 ล้านคน ทั้งนี้ จากข้อมูลขององค์การการท่องเที่ยวโลก (ดับเบิลยูทีโอ)
ทว่า การฟื้นตัวในเอเชียต้องเผชิญแรงต้านครั้งใหญ่จากโศกนาฏกรรมคลื่นยักษ์ในเดือนธันวาคม 2004 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตและสูญหายกว่า 220,000 คน ในแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมบางแห่ง เช่น ไทย ศรีลังกา และมัลดีฟส์
กระนั้น ในงานประชุมเมื่อต้นปีนี้ที่กรุงเทพฯ ฟรานเชสโก ฟรานจิอัลลี เลขาธิการใหญ่ดับเบิลยูทีโอ แสดงความเชื่อมั่นว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะพิสูจน์ให้เห็นถึงความยืดหยุ่นอย่างสำคัญอีกครั้ง รวมถึงศักยภาพในการเอาชนะอุปสรรคทั้งปวง ด้วยการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของพื้นที่ที่ประสบภัยสึนามิ
ขณะนี้ จีนและอินเดียกำลังแสดงสัญญาณการเติบโตอย่างน่าตื่นตาตื่นใจตามการบูมของเศรษฐกิจ และมีแนวโน้มว่าจะกลายเป็นแหล่งส่งออกและนำเข้านักท่องเที่ยวใหญ่สุดของโลกในอนาคต
กรณีของจีน ที่เมื่อไม่นานนี้ยังคงปิดตัวเองจากต่างชาตินั้น ปีที่ผ่านมา แดนมังกรทำรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างแดนจำนวน 109 คน เบ็ดเสร็จ 25,700 ล้านดอลลาร์ หรือ 5% ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี)
ขณะที่การแจ้งเกิดของสายการบินต้นทุนต่ำช่วยกระตุ้นการเดินทางในแดนภารตะ คาปิล คาอูล หัวหน้าสำนักงานในอินเดียของศูนย์การบินเอเชีย-แปซิฟิกที่มีฐานอยู่ในซิดนีย์ คาดว่าจำนวนผู้ที่จะเดินทางออกนอกประเทศจะเพิ่มเป็น 30-35 ล้านคนในปี 2010 จากปีละ 15 ล้านคนในขณะนี้
โมฮัมหมัด ยูนิส ข่านจากบริษัทท่องเที่ยว เพิ่มเติมว่า สงครามราคากับสายการบินจากอ่าวเปอร์เซีย ทำให้สายการบินใหญ่ๆ ของยุโรปต้องกัดฟันหั่นราคาตั๋วชั้นประหยัดไปยังยุโรปและสหรัฐฯลงต่ำกว่าราคาปีที่แล้ว 10%
ขณะเดียวกัน นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นใช้จ่ายเงินในและนอกประเทศปีละ 147,000 ล้านดอลลาร์ โดยทางการโตเกียวคาดหวังที่จะเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็น 10 ล้านคนในปี 2010
ทางด้านดับเบิลยูทีโอเผยว่า ยุโรป ภูมิภาคที่ประชาชนมีวันหยุดพักผ่อนประจำปีมากที่สุด ยังคงเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิต ปีที่แล้วดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ถึง 414 ล้านคน โดยเฉพาะยุโรปตะวันออก ตอนกลางและด้านเหนือ
ส่วนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอเมริกากลับมาฟื้นตัวอีกครั้งหลังจากตกอับมา 3 ปี โดยปีที่ผ่านมาต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 124 ล้านคน ซึ่งยังถือว่าต่ำกว่าปี 2000 อยู่ประมาณ 4 ล้านคน
แต่การฟื้นตัวที่โดดเด่นที่สุดเกิดขึ้นในเอเชีย-แปซิฟิก ที่ซึ่งนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นถึง 29% เป็น 154 ล้านคน ตามด้วยตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น 20% เป็น 35 ล้านคน แซงหน้าแอฟริกาเป็นครั้งแรก
อนึ่ง การท่องเที่ยวถือเป็นพฤติกรรมปกติที่มีมาแต่โบร่ำโบราณ แม้แต่ในยุคโรมัน แต่เพิ่งจะมายุคอุตสาหกรรมและหลังจากการคิดค้นและสร้างทางรถไฟเป็นต้นมา ที่ชนชั้นสูงเริ่มมองหาสถานที่พักผ่อนข้ามพรมแดน
ต่อมาเมื่อมีการสร้างทางรถไฟแพร่หลาย และเวลาพักผ่อนมีมากขึ้น ผู้คนเริ่มเดินทางท่องเที่ยวชายทะเล อันเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างรีสอร์ทชายหาด
โธมัส คุกถือเป็นบิดาแห่งการท่องเที่ยวมวลชนสมัยใหม่ จากการริเริ่มแพคเกจทัวร์ในปี 1841 ที่มีการเช่ารถไฟพาคณะทำงานไปทำแคมเปญรณรงค์เลิกดื่มเหล้าในเมืองลัฟโบโรห์
นับจากนั้น ด้วยระบบขนส่งอันทันสมัย และเวลาพักผ่อนที่เพิ่มขึ้น ตลาดการท่องเที่ยวจึงบูมขึ้นมา โดยฝรั่งเศสยังคงเป็นแชมป์ประเทศที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวมากที่สุดมานานหลายปี ด้วยยอดนักท่องเที่ยว 75 ล้านคน ตามด้วยสเปนและสหรัฐฯประเทศละ 50 ล้านคน