การประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ G7 ซึ่งได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี แคนาดา อิตาลี และญี่ปุ่น พร้อมตัวแทนจากสหภาพยุโรป เปิดฉากขึ้นแล้วที่ริมชายหาดมณฑลคอร์นวอลล์ ของอังกฤษเมื่อวานนี้ (11 มิ.ย.) ซึ่งถือเป็นการจัดประชุมแบบพบปะซึ่งหน้าครั้งแรกนับตั้งแต่โลกเผชิญวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 และยังเป็นการเดินสายกระทบไหล่ผู้นำต่างชาติครั้งแรกของประธานาธิบดี โจ ไบเดน หลังเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ เมื่อเดือน ม.ค.
ไบเดน เริ่มต้นวันแรกด้วยการถ่าย “ภาพครอบครัว” ร่วมกับบรรดาผู้นำ G7 ซึ่งถือเป็นกิจกรรมที่มีความหมายในเชิงสัญลักษณ์สำหรับตัวเขา ซึ่งทำงานการเมืองมาหลายสิบปีกว่าจะก้าวขึ้นมายืนในฐานะผู้นำชาติมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลก
การประชุมซัมมิต G7 ซึ่งจะจัดขึ้นเป็นเวลา 3 วันถูกคาดว่าจะนำไปสู่คำมั่นสัญญาบริจาควัคซีน 1,000 ล้านโดสแก่กลุ่มประเทศยากจน ทั้งภายในปีนี้และปีหน้า ซึ่งนักเคลื่อนไหวมองว่ายังคงล่าช้าเกินไปสำหรับการหยุดยั้งโรคระบาดโควิด-19
หลังจากถ่ายภาพหมู่ร่วมกัน และมีพิธีเปิดการประชุมภายใต้หัวข้อ “building back better” ซึ่งหมายถึงการฟื้นฟูไปสู่สิ่งที่ดีกว่าหลังโควิด-19 ผู้นำกลุ่ม G7 ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงรับรองของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 รวมถึงเข้าเฝ้าฯ เจ้าฟ้าชายชาร์ลส และมีการประชุมร่วมกับผู้นำภาคธุรกิจจากนานาชาติเพื่อหารือแนวทางกระตุ้นการเติบโตอย่างยั่งยืน
สำหรับประเด็นสำคัญที่ G7 จะหยิบยกมาหารือในช่วงสุดสัปดาห์นี้ยังรวมถึงเรื่องปัญหาความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ การปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ และวางแผนสำหรับการประชุมด้านสิ่งแวดล้อม COP26 ซึ่งจะจัดขึ้นที่สกอตแลนด์ในเดือน พ.ย.
นายกรัฐมนตรี อังเกลา แมร์เคิล แห่งเยอรมนี ให้สัมภาษณ์เมื่อวันศุกร์ (11) ว่ารู้สึก “ยินดีอย่างยิ่ง” ที่ได้พบกับ ไบเดน ในการประชุมซัมมิต G7 คราวนี้
“แน่นอนว่าดิฉันรู้สึกยินดีที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มาอยู่ที่นี่ด้วย การได้พบกับ โจ ไบเดน เป็นสิ่งสำคัญ เพราะเขาสนับสนุนความเป็นพหุนิยม (multilateralism) ที่เราสูญเสียไปในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา” แมร์เคิล กล่าว
ในประเด็นด้านเศรษฐกิจ ทำเนียบขาวแถลงว่าผู้นำ G7 คาดว่าจะประกาศสนับสนุนข้อเสนอของ ไบเดน ที่ให้เรียกเก็บภาษีขั้นต่ำสำหรับนิติบุคคลทั่วโลกที่อัตรา 15% โดยวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันไม่ให้บางประเทศปรับลดภาษีนิติบุคคลลงต่ำกว่าที่อื่นเพื่อดึงดูดบริษัทข้ามชาติ
ไบเดน ส่งสาส์นที่เน้นย้ำความสำคัญของการร่วมมือกับกลุ่มพันธมิตรดั้งเดิม ซึ่งถือเป็นการตัดขาดจากนโยบาย America First ที่ ทรัมป์ ใช้มาตลอด 4 ปี
ผู้นำสหรัฐฯ ยังถือโอกาสนี้ประกาศแผนจัดซื้อวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของไฟเซอร์จำนวน 500 ล้านโดส เพื่อแจกจ่ายให้แก่ประเทศยากจนแบบไม่หวังผลตอบแทน ขณะที่ทำเนียบขาวระบุว่า ประเทศอื่นๆ ใน G7 ก็จะร่วมบริจาควัคซีนให้อีก 500 ล้านโดส ซึ่งจะทำให้ยอดวัคซีนทั้งหมดที่บริจาคโดย G7 อยู่ที่ 1,000 ล้านโดส
ที่มา : เอเอฟพี, CNN
