xs
xsm
sm
md
lg

Weekend Focus : “โจ ไบเดน” สาบานตนเป็น ปธน.คนที่ 46 ของสหรัฐฯ รัวเซ็นยกเลิกนโยบาย ‘ทรัมป์’ ทวงคืนบทบาทผู้นำโลก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


โจ ไบเดน กล่าวคำสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐอเมริกาต่อหน้า จอห์น โรเบิร์ตส ประธานศาลสูงสุดสหรัฐฯ โดยมีสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง จิลล์ ไบเดน ถือพระคัมภีร์ไบเบิล ที่อาคารรัฐสภาในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันที่ 20 ม.ค.
โจ ไบเดน เข้าพิธีสาบานตนเป็นประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการเมื่อวันพุธ (20 ม.ค.) โดยให้คำมั่นสัญญาว่าจะฟื้นคืนความสามัคคีและเยียวยาประเทศชาติที่กำลังซวนเซจากสภาพเศรษฐกิจที่ซบเซาและผลกระทบจากโรคระบาดโควิด-19 ที่คร่าชีวิตชาวอเมริกันไปแล้วกว่า 400,000 คน

ด้วยวัย 78 ปี ไบเดน กลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มีอายุมากที่สุดในวันที่เข้ารับตำแหน่ง โดยเขาได้กล่าวคำสาบานตนต่อหน้า จอห์น โรเบิร์ตส์ ประธานศาลสูงสุดสหรัฐฯ ในเวลาหลังเที่ยงวันเล็กน้อย และประกาศข้อความว่าจะ “สงวนรักษา, พิทักษ์คุ้มครอง และปกป้องรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ”

“หลังจากผ่านการทดสอบอันทรหดของยุคสมัยต่างๆ มาแล้ว อเมริกาก็เพิ่งจะผ่านการทดสอบครั้งใหม่ และอเมริกาได้ผงาดขึ้นมาต่อสู้กับการท้าทาย” ไบเดน กล่าวในตอนเริ่มต้นสุนทรพจน์เข้ารับตำแหน่ง “วันนี้เราเฉลิมฉลองชัยชนะที่ไม่ใช่ของผู้สมัครคนหนึ่ง แต่เป็นของอุดมการณ์หนึ่ง อุดมการณ์แห่งประชาธิปไตย ณ ชั่วโมงนี้ เพื่อนรักของผมทั้งหลาย ประชาธิปไตยคือผู้มีชัย”

ด้าน กมลา แฮร์ริส บุตรสาวของผู้อพยพที่บิดาเป็นชาวจาเมกา และมารดาเป็นชาวอินเดีย กลายเป็นบุคคลผิวสี, สตรี และชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียคนแรกที่ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานาธิบดี หลังจากที่เธอสาบานตัวต่อหน้าผู้พิพากษาศาลสูงสุดสหรัฐฯ ซอนยา โซโตไมเออร์ ซึ่งก็เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายละตินคนแรกที่ขึ้นนั่งในตำแหน่งนี้เช่นกัน

พิธีสาบานตนของไบเดน ได้ตัดทอนขั้นตอนอันสร้างบรรยากาศแห่งความโอ่อ่าสง่างามลงไปมาก ด้วยเหตุผลทั้งจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ และความกังวลด้านความมั่นคงปลอดภัยภายหลังการบุกโจมตีอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 ม.ค. ของพวกกองเชียร์ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเชื่อว่าผู้นำที่พวกเขาชื่นชอบถูกขโมยชัยชนะในการเลือกตั้ง

ไบเดน จะต้องเข้ามาสานต่อภารกิจอันยุ่งยากต่างๆ นานาจากทรัมป์ ซึ่งถูกนักวิจารณ์ตำหนิว่าเป็นต้นเหตุทำให้มาตรการรับมือโควิด-19 ของสหรัฐฯ อ่อนปวกเปียกและขาดความเป็นเอกภาพ และทำให้อเมริกากลายเป็นชาติที่มีผู้เสียชีวิตจากโรคระบาดใหญ่มากที่สุดในโลก

ประธานาธิบดี โจ ไบเดน กล่าวสุนทรพจน์ระหว่างพิธีสาบานตนรับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ
ทรัมป์ พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อล้มชัยชนะของ ไบเดน ตลอดระยะเวลา 2 เดือนเศษๆ และแม้จะเอ่ยปากยอมรับเมื่อวันที่ 7 ม.ค. ว่าตนคงจะไม่ได้รั้งเก้าอี้สมัยที่สอง แต่ก็ยังปฏิเสธที่จะทำตามธรรมเนียมด้วยการเชิญ ไบเดน มาพบปะที่ทำเนียบขาว ส่วน เมลาเนีย ทรัมป์ ก็ไม่ยอมเชิญ “จิลล์ ไบเดน” ว่าที่สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง ไปทำความรู้จักกับบ้านหลังใหม่ของเธอเช่นกัน

ทรัมป์ ยังหักหน้า ไบเดน ด้วยการบีบให้อีกฝ่ายต้องเดินทางด้วยเครื่องบินเช่าเหมาลำมายังกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เอง ซึ่งต่างจากเมื่อครั้งที่ประธานาธิบดี บารัค โอบามา เคยส่งเครื่องบินของกองทัพอากาศไปรับครอบครัว ทรัมป์ ถึงนิวยอร์ก เพื่อมาเข้าพิธีสาบานตนเมื่อเดือน ม.ค. ปี 2017

ผู้นำรีพับลิกันวัย 74 ปี ได้เผยแพร่สุนทรพจน์อำลาตำแหน่งในวันอังคาร (19) โดยยืนยันว่าตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมาได้ทำในสิ่งที่รับปากไว้ว่าจะทำแล้ว “ผมได้ต่อสู้อย่างทรหด ต่อสู้อย่างหนักหน่วงที่สุด และตัดสินใจอย่างยากลำบากที่สุด นั่นเป็นเพราะพวกท่านทั้งหลายได้เลือกผมเข้ามาทำสิ่งนี้”

อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ โชว์สปิริตด้วยการกล่าวอวยพรให้รัฐบาลชุดใหม่ “โชคดี” และประสบความสำเร็จในการปกป้องและดูแลบ้านเมืองให้มีความเจริญรุ่งเรืองสืบไป แต่ยังคงเลี่ยงที่จะเอ่ยชื่อของ โจ ไบเดน ขณะเดียวกันก็ให้สัญญากับบรรดาแฟนคลับว่าตนจะหวนกลับมาอีกครั้ง “ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง”

ก่อนจะออกเดินทางมาที่วอชิงตัน ไบเดน ได้จัดพิธีอำลาประชาชนในรัฐเดลาแวร์ บ้านเกิดของเขา โดยระหว่างพิธีเขาได้หลั่งน้ำตาด้วยความสะเทือนใจเมื่อเอ่ยถึงบุตรชายคนโตที่เสียชีวิตไปเมื่อ 6 ปีก่อน รวมถึงอุปสรรคต่างๆ นานาที่ตนได้เผชิญมาตลอดเส้นทางการเมือง กว่าจะประสบความสำเร็จได้มาเป็นผู้นำสหรัฐฯ ในวันนี้

“เมื่อผมตายไป เดลาแวร์จะถูกจารึกเอาไว้ในหัวใจของผม” ไบเดน กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

ไบเดน ซึ่งเคยเป็น ส.ว.รัฐเดลาแวร์มานานกว่า 3 ทศวรรษ และพ่ายแพ้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีมาแล้วถึง 2 หน กล่าวขอบคุณเพื่อนฝูงและครอบครัวซึ่งมาส่งเขาที่ศูนย์เนชันแนลการ์ดซึ่งได้รับการตั้งชื่อตาม “โบ” (Beau) บุตรชายคนโตของไบเดนที่เคยเป็นอัยการสูงสุดรัฐเดลาแวร์ และเสียชีวิตจากโรคมะเร็งสมองเมื่อปี 2015 ขณะมีอายุเพียง 46 ปี

การตายของลูกชายเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ ไบเดน ตัดสินใจพับแผนลงชิงเก้าอี้ผู้นำทำเนียบขาวในปี 2016 และเขายอมรับว่ารู้สึกเสียดายที่ โบ ไม่ได้ยืนอยู่ที่นี่ในวันนี้

“เราน่าจะได้รู้จักเขาในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ” ไบเดน กล่าวทั้งน้ำตา

หลังเดินทางมาถึงวอชิงตัน ไบเดน และ แฮร์ริส ได้ไปที่อนุสรณ์สถานลินคอล์นในช่วงค่ำวันอังคาร (19) เพื่อร่วมพิธีไว้อาลัยชาวอเมริกันกว่า 400,000 คนที่เสียชีวิตจากโควิด-19 จากนั้น ไบเดน ได้เข้าพักที่ “แบลร์ เฮาส์” ซึ่งเป็นบ้านพักรับรองทางการของประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพื่อเตรียมตัวเข้าพิธีสาบานตนในวันรุ่งขึ้น

ทรัมป์ และครอบครัวได้ขึ้นเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวันจากฐานทัพอากาศแอนดรูว์ออกเดินทางจากกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. มุ่งหน้ากลับไปยังรีสอร์ต มาร์-อา-ลาโก ที่รัฐฟลอริดาตั้งแต่เช้าตรู่ของวันที่ 20 ม.ค. โดยไม่ยอมอยู่ร่วมพิธีสาบานตนของ ไบเดน

ประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ พร้อมด้วยสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง “จิลล์ ไบเดน” และรองประธานาธิบดี คามาลา แฮร์ริส กับคู่สมรส “ดัก เอ็มฮอฟฟ์”  เดินทางถึงอาคารรัฐสภาก่อนเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่ง เมื่อวันที่ 20 ม.ค.
อย่างไรก็ตาม ไบเดน ได้ออกมาเผยหลังเสร็จสิ้นพิธีสาบานตนและเดินทางเข้าไปยังทำเนียบขาวว่า ตนได้รับ “จดหมายแสดงความมีน้ำใจยิ่ง” ที่อดีตประธานาธิบดี ทรัมป์ เขียนทิ้งเอาไว้ให้

“ประธานาธิบดี ทรัมป์ ได้เขียนจดหมายอันแสดงน้ำใจไมตรีอย่างยิ่ง” ไบเดน ระบุ “และเนื่องจากมันเป็นจดหมายส่วนตัว ผมจึงไม่ขอกล่าวถึงเนื้อหา จนกว่าจะได้พูดคุยกับเขาก่อน แต่บอกได้ว่ามีน้ำใจมาก”

อดีตผู้ช่วยอาวุโสของ ทรัมป์ คนหนึ่งแย้มให้ CNN ฟังว่า จดหมายดังกล่าวเป็น “ข้อความส่วนตัว” ที่ ทรัมป์ อวยพรให้สหรัฐฯ ประสบความสำเร็จ และขอให้รัฐบาลชุดใหม่ดูแลประเทศชาติให้ดี โดยการเขียนจดหมายถึง ไบเดน เป็นหนึ่งในภารกิจท้ายๆ ที่ ทรัมป์ ทำในค่ำคืนวันอังคาร (19) ก่อนจะเดินทางออกจากทำเนียบขาว

ทั้งนี้ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะอำลาตำแหน่งมีธรรมเนียมในการเขียนจดหมายถึงผู้ที่จะเข้ารับหน้าที่ต่อจากตนเอง โดยจะวางเอาไว้บนโต๊ะ “Resolute Desk” ภายในห้องทำงานรูปไข่

ไบเดน เริ่มภารกิจในวันแรกของเขาด้วยการเซ็นคำสั่งบริหาร (executive orders) รวม 15 ฉบับ โดยมีทั้งคำสั่งเพิกถอนนโยบายเก่าของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ รวมไปถึงมาตรการใหม่ๆ ที่มุ่งผลในการต่อสู้โรคระบาดโควิด-19 และแก้ไขปัญหาโลกร้อน

“คำสั่งบริหารบางอย่างที่ผมจะเซ็นในวันนี้จะช่วยเปลี่ยนแนวโน้มของวิกฤตโควิด-19 เราจะต่อสู้กับความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศอย่างชนิดที่ไม่เคยทำมาก่อน รวมถึงส่งเสริมความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ และสนับสนุนชุมชนอื่นๆ ที่ยังขาดโอกาส... ทั้งหมดนี้เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น” ไบเดน กล่าว พร้อมทั้งระบุว่า “ไม่มีเวลาให้เสียอีกต่อไปแล้ว”

ผู้ช่วยทำเนียบขาวเปิดเผยว่า ไบเดนได้เซ็นคำสั่งให้เจ้าหน้าที่รัฐรวมถึงประชาชนทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในอาคารสถานที่ของรัฐบาล, เปิดสำนักงานประสานงานตอบสนองไวรัสโคโรนาประจำทำเนียบขาว และสั่งยุติกระบวนการถอนตัวออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ ทรัมป์ ได้ดำเนินการเอาไว้

ไบเดน ยังลงนามในเอกสารเริ่มกระบวนการกลับเข้าสู่ความตกลงปารีส (Paris Agreement) และออกคำสั่งเพื่อจัดการปัญหาสภาพอากาศอย่างครอบคลุม หนึ่งในนั้นคือการยกเลิกคำสั่งอนุญาตโครงการท่อส่งน้ำมัน คีย์สโตน เอ็กซ์แอล

ผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่ยังยกเลิกประกาศฉุกเฉินของ ทรัมป์ ที่อนุมัติงบสำหรับก่อสร้างกำแพงกั้นพรมแดนตอนใต้ และยุติคำสั่งห้ามพลเมืองจากชาติมุสลิมบางประเทศเดินทางเข้าสหรัฐฯ

เจน พีซากี (Jen Psaki) เลขานุการฝ่ายสื่อมวลชนของไบเดน แถลงว่า แผนในวันแรกนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการใช้อำนาจบริหาร (executive actions) ที่ ไบเดน เตรียมจะลงมือทำทันทีหลังเข้ารับตำแหน่ง

“ในช่วงหลายวันและหลายสัปดาห์ข้างหน้า เราจะประกาศคำสั่งจากคณะบริหารเพิ่มเติมเพื่อเผชิญหน้ากับความท้าทายต่างๆ และทำตามคำมั่นสัญญาที่ประธานาธิบดีให้ไว้ต่อชาวอเมริกัน” พีซากี ระบุ

สำหรับแผนการขั้นต่อๆ ไปของ ไบเดน ยังรวมถึงการเพิกถอนคำสั่งห้ามคนข้ามเพศเข้ารับราชการทหาร และยกเลิกนโยบายห้ามสหรัฐฯ ให้ทุนสนับสนุนโครงการในต่างแดนที่เชื่อมโยงกับการทำแท้ง

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ลงนามคำสั่งบริหารที่ห้องทำงานรูปไข่ในทำเนียบขาว ภายหลังสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 20 ม.ค.
ในด้านเศรษฐกิจ ไบเดนได้ขอให้ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐฯ (CDC) ขยายเวลาผ่อนผันการไล่ที่อยู่ (moratorium on evictions) ไปจนถึงปลายเดือน มี.ค. และให้กระทรวงการศึกษาพักชำระหนี้แก่นักศึกษาไปจนถึงสิ้นเดือน ก.ย. นี้

CNN อ้างข้อมูลจากพีซากี และเจ้าหน้าที่ระดับสูงซึ่งระบุว่า ไบเดน ได้กำหนด “ธีมการทำงาน” ในวันแรกๆ เอาไว้แตกต่างกันไป โดยวันพฤหัสบดี (21) ซึ่งเป็นวันแรกของการทำงานเต็มวันจะเน้นไปที่แผนรับมือโควิด-19 ส่วนในวันศุกร์ (22) ก็จะดูเรื่องมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจจากผลกระทบของโรคระบาด รวมถึงระบบตาข่ายความปลอดภัยของสังคม (safety net) อย่างเมดิเคด และเงินประกันกรณีว่างงาน เป็นต้น

ไบเดน ยังมีแผนปรับปรุงกฎระเบียบด้านการค้าเพื่อรณรงค์ “ซื้อสินค้าอเมริกัน” โดยคาดว่าจะมีการเซ็นคำสั่งบริหารในวันจันทร์ (25) ให้หน่วยงานของรัฐจัดซื้อสินค้าและบริการจากบริษัทสัญชาติเมริกันเป็นหลัก และตามมาด้วยประเด็นอื่นๆ เช่น ยกเลิกระบบเรือนจำเอกชน, ตั้งสภาที่ปรึกษาประธานาธิบดีว่าด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อต่อสู้ปัญหาโลกร้อน, ดูแลระบบสาธารณสุข, แก้ไขนโยบายเกี่ยวกับผู้อพยพ รวมถึงการ “ฟื้นฟูสถานะของอเมริกาในเวทีโลก”

คณะทำงานของไบเดน ได้เชิญ เซียว บี คิม (Hsiao Bi-Khim) ผู้แทนไต้หวันประจำสหรัฐฯ มาร่วมพิธีสาบานตนในวันที่ 20 ม.ค. ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณเรียกความเชื่อมั่นจากไทเปว่าสหรัฐฯ ภายใต้การนำของเขาจะยังให้การสนับสนุนและช่วยเหลือไต้หวันไม่ต่างจากในยุคสมัยของ ทรัมป์

รัฐบาลไบเดนยังมีแผนที่หารือกับประเทศหุ้นส่วนและพันธมิตรเพื่อต่ออายุและเสริมข้อจำกัดด้านนิวเคลียร์ต่ออิหร่าน โดยผู้นำสหรัฐฯ เคยประกาศเอาไว้แล้วว่า หากเตหะรานยอมหวนกลับไปทำตามเงื่อนไขของข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2015 อย่างเคร่งครัด สหรัฐฯ เองก็พร้อมที่จะรักษาสัญญาผ่อนคลายคว่ำบาตรให้เช่นกัน

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และนางเมลาเนีย ทรัมป์ โบกมืออำลา ก่อนขึ้นเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวันเดินทางกลับไปยังรัฐฟลอริดา เมื่อวันที่ 20 ม.ค.

ครอบครัวของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยืนถ่ายรูปหมู่ที่ฐานทัพอากาศแอนดรูว์ ก่อนจะเดินทางออกจากกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันที่ 20 ม.ค.
กำลังโหลดความคิดเห็น