เอเจนซีส์ – “โจชัว หว่อง” นำทีมนักเคลื่อนไหวประท้วงของฮ่องกง ไปเรียกร้องเมื่อวันอังคาร (17 ก.ย.) ให้รัฐสภาสหรัฐฯ ผ่านกฎหมายต่อต้านการล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชนในเขตบริหารพิเศษของจีนรวมทั้งช่วยกดดันปักกิ่ง พร้อมทั้งบอกสมาชิกรัฐสภาอเมริกันว่า มีความเป็นไปได้ที่ผู้นำจีนจะใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามการประท้วงในฮ่องกงก่อนถึงวันครบรอบ 70 ปีการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนวันที่ 1 ตุลาคม ด้านโฆษกแดนมังกรออกมาเตือนซ้ำ ต่างชาติอย่ามาแทรกแซงกิจการภายใน
ระหว่างไปให้ปากคำแก่ “คณะกรรมาธิการรัฐสภา-ฝ่ายบริหารว่าด้วยจีน” (Congressional-Executive Commission on China) ที่อาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตันคราวนี้ เดนิส โฮ นักร้องและนักเคลื่อนไหวประท้วงของฮ่องกงกล่าวว่า สิ่งที่เขาและผู้นำการประท้วงของฮ่องกงคนอื่นๆ มาพูดในคราวนี้ ไม่ใช่การร้องขอให้ต่างชาติเข้าแทรกแซงกิจการภายในของฮ่องกง หรือเพื่อเรียกร้องเอกราช แต่เป็นการเรียกร้องประชาธิปไตยและเสรีภาพในการเลือก
โฮเสริมว่า หากฮ่องกงล้มเหลว ระบอบเผด็จการจีนจะได้โอกาสผลักดันกฎและเป้าหมายสูงสุดของตัวเองในต่างแดน โดยใช้อำนาจทางเศรษฐกิจบีบให้ประเทศอื่นๆ ต้องปรับตัวเข้ากับค่านิยมคอมมิวนิสต์
คณะกรรมาธิการรัฐสภา-ฝ่ายบริหารว่าด้วยจีน เป็นคณะกรรมาธิการของรัฐบาลสหรัฐฯที่จัดตั้งขึ้นโดยรัฐสภาและสมาชิกมาจากทั้งพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครต เพื่อทำหน้าที่เฝ้าติดตามเรื่องสิทธิมนุษยชนในประเทศจีน
การรับฟังความคิดเห็นของนักเคลื่อนไหวประท้วงฮ่องกงครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการพิจารณาร่างกฎหมายที่จะให้สหรัฐฯยกเลิกสถานะพิเศษทางการค้าของเขตบริหารพิเศษของจีนแห่งนี้ แล้วเปลี่ยนมาเป็นกำหนดให้กระทรวงการต่างประเทศอเมริกันเป็นผู้ให้การรับรองสถานะดังกล่าวแก่ฮ่องกงแบบปีต่อปี โดยพิจารณาจากการเคารพสิทธิมนุษยชนและหลักนิติธรรมของรัฐบาลฮ่องกง
ทางด้านโจชัว หว่อง หนึ่งในแกนนำการประท้วงของฮ่องกง กล่าวว่า ปักกิ่งไม่ควรได้ทั้งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากฮ่องกง แต่ขณเดียวกันกลับลิดรอนอัตลักษณ์ทางสังคมและการเมืองของฮ่องกง
หว่องอ้างว่า ฮ่องกงกำลังเผชิญหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ และบอกว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง อาจใช้กำลังปราบปรามผู้ประท้วงฮ่องกงก่อนวันครบรอบ 70 ปีการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนในวันที่ 1 ตุลาคม ขณะที่ แคร์รี ลัม ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษแห่งนี้ ก็อาจใช้กฎเหล็กคุมเข้มซึ่งรวมไปถึงการปิดระบบอินเทอร์เน็ตและระบบขนส่งมวลชน
ที่ผ่านมา พวกผู้ประท้วงฮ่องกงเคยไปชุมนุมหน้าสถานกงสุลอเมริกา โบกธงชาติอเมริกันและร้องเพลงชาติอเมริกัน พร้อมกับเรียกร้องให้นานาชาติสนับสนุนการเรียกร้องประชาธิปไตยของพวกเขา
กระนั้น คณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พยายามรักษาท่าทีวางเฉย ซึ่งนักวิเคราะห์บางคนอธิบายว่า เพื่อป้องกันไม่ให้ปักกิ่งตราหน้าผู้ประท้วงในฮ่องกงว่า รับใบสั่งจากต่างชาติมาปลุกปั่นยุยงให้เกิดความวุ่นวาย
ปักกิ่งและลัม ต่างกล่าวหาอยู่แล้วว่า อเมริกาและชาติตะวันตกอื่นๆ แทรกแซงกิจการฮ่องกง โดยที่จีนยังเรียกเอกอัครราชทูตเยอรมนีมาพบเพื่อยื่นประท้วง หลังจากหว่องเดินทางเยือนเมืองเบียร์ โดยรัฐมนตรีต่างประเทศให้เข้าพบด้วยเมื่อเร็วๆ นี้
ในระหว่างการรับฟังปากคำเมื่อวันอังคาร วุฒิสมาชิกมาร์โก รูบิโอ แห่งพรรครีพับลิกัน ซึ่งเป็นประธานร่วมของคณะกรรมาธิการ กล่าวว่า อเมริกาและประเทศต่างๆ จะต้องใช้ทางเลือกที่ชัดเจนแจ่มแจ้งอยู่แล้ว เนื่องจากจีนกำลังได้ประโยชน์จากสถานะพิเศษทางการค้าของฮ่องกง
ก่อนหน้านี้ของปีนี้ ทั้งในสภาสูงและสภาล่างของสหรัฐฯ ต่างมีผู้เสนอร่างกฎหมายว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยฮ่องกง ที่กำหนดให้วอชิงตันต้องหันมาทบทวนเพื่อให้สิทธิพิเศษแก่ฮ่องกงแบบปีต่อปี ซึ่งรวมถึงสิทธิพิเศษทางการค้าและธุรกิจ
ร่างกฎหมายเหล่านี้ยังระบุว่า อาจลงโทษแซงก์ชั่นเจ้าหน้าที่ฮ่องกงและจีนที่บ่อนทำลายอำนาจการปกครองตนเองของฮ่องกง
สัปดาห์ที่แล้ว สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ยังเสนอร่างกฎหมายปกป้องฮ่องกง ที่จะห้ามการส่งออกผลิตภัณฑ์ควบคุมมวลชนบางรายการ เช่น แก๊สน้ำตาและกระสุนยาง ให้แก่สำนักงานตำรวจฮ่องกง โดยร่างกฎหมายนี้ได้รับการสนับสนุนจากทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน
ถึงแม้กลุ่มอุตสาหกรรมบางกลุ่มในสหรัฐฯแสดงความกังวลว่า ร่างกฎหมายเหล่านี้จะคุกคามการเจรจาการค้าที่อ่อนไหวระหว่างอเมริกากับจีน ทว่า วุฒิสมาชิกแองกัส คิง แสดงความหวังว่า สภาจะอนุมัติเนื้อหาบางส่วนในกฎหมายเพื่อส่งสัญญาณชัดเจนต่อปักกิ่งว่า ประชาธิปไตยมีคุณค่าความสำคัญ
ทางด้าน หวา ชุนอิง โฆษกหญิงของกระทรวงการต่างประเทศจีน ได้กล่าวระหว่างการแถลงข่าวตามปกติที่กรุงปักกิ่งเมื่อวันอังคาร (17) ว่า พวกนักการเมืองชาติตะวันตกได้พบปะกับพวก “นักแบ่งแยกดินแดน” ฮ่องกง ตามงานปาร์ตี้เลี้ยงค็อกเทล และเวลานี้ก็ทำเช่นนี้ในสหรัฐฯ
“ฮ่องกงเป็นกิจการภายในของประเทศจีน” เธอกล่าว “ไม่มีรัฐบาล, องค์การ, หรือบุคคลต่างชาติใดๆ สามารถเข้ามาแทรกแซงได้ เราแนะนำพวกเขาให้มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับสถานการณ์ และถอนมือสกปรกของพวกเขาออกไปจากฮ่องกง”